16 ก.ย. 2022 เวลา 00:52 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
จักรวาลในการรับรู้ของมนุษย์ที่ใช้ประสาทสัมผัสเพียง ตา หู จมูก สัมผัส ความคิด เป็นเพียงมายาที่ไม่มีอยู่จริง สมองของมนุษย์ตีความสิ่งที่เห็นด้วยตา โดยที่เราไม่รู้ หรือโดนหลอกว่ามันเป็นวัตถุ ก้อนตันมีตัวมีตน อย่างสีแดง เขียว ขาว ดํา ที่เราเห็นนั้นความจริงไม่มีอยู่จริง เกิดจากสมองแปลงแถบความยาวคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เสียงสูงต่ำทุ้มแหลมเกิดจากความถี่ของคลื่นเสียง แสงที่เราเห็นมันสว่างเป็นเนื้อเดียวเช่นเดียวกับหลอดไฟความจริงมันเป็นคลื่นที่มีการ เกิด-ดับ อย่างต่อเนื่องด้วยความรวดเร็วจนสายตาเรามองไม่ทัน
วัตถุสิ่งของที่เราเห็นอยู่นิ่งไปไม่เปลี่ยนแปลง มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั้งเซลของเราเอง เราเห็นวัตถุ เป็นตัวตน เป็นคนสัตว์ สิ่งของ เราแน่ใจได้อย่างไรว่า ความจริงมันเป็นเช่นนั้น มีนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคิดทฤษฎีโฮโลแกรม บอกว่าจักรวาลอาจมีรูปแบบที่ไม่ใช่ 3+1 มิติ ข้อมูลหรือสิ่งที่เราเห็น ในความจริงเก็บอยู่ในโลกสองมิติแบบ ดิจิตอล ตัวเราเป็นเพียงข้อมูล 2 มิติ
แต่ที่เราเห็นเป็น 3+1 มิติเกิดจากกระบวนการโฮโลแกรมที่เกิดขึ้นในสมอง หลอกเราให้เชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้น ลองนึกถึงเครื่องฉายภาพโฮโลแกรม ที่ฉายภาพ3 มิติ ข้อมูลของมันเก็บในแผ่นฟิล์มโฮโลแกรมแบบ 2 มิติ เราดูหนัง ดูโทรทัศน์ ดู Netflix ข้อมูลที่เก็บก็เป็นดิจิตอลสองมิติเช่นกัน เราเคยดูหนังเรื่อง The matrix ที่พระเอกนีโอ ตอนที่บรรลุแล้วมองเห็นโลกและจักรวาลเป็นแถบสีเขียวแบบสองมิติ
ดังนั้น มนุษย์จะไม่มีวันเข้าใจจักรวาลได้เลย เพราะประสาทสัมผัสของเราถูกสร้างขึ้นมาให้รับรู้แค่ 3+1 มิติลงไป เรารับรู้แค่ จุด( 1มิติ) , เส้นตรง, กว้าง+ ยาว ( 2 มิติ), ลูกบาศก์ กว้าง+ ยาว+ลึก ( 3 มิติ ) เราไม่รู้จักลูกบาศก์ Tesalac หรือ Hypercube ที่มีมากกว่า 3 มิติ เราไม่รู้จักมิติที่อยู่สูงขึ้นไป ซึ่งมีมากถึง 11 มิติ เรามองไม่เห็นว่าในที่ว่าง ( space) ที่เราเข้าใจว่ามันว่าง ไม่มีอะไรอยู่ในนั้น แต่ในความจริงในระดับที่เล็กมากๆที่เรียกว่าระดับควอนตัม มีมิติอื่นๆซ่อนเร้นขดตัวอยู่ในควอนตัม
ที่ว่างมันไม่ได้ว่างอย่างแท้จริง ในนั้นมันมีความพัวพันในระดับควอนตัม มีกลุ่มหมอกของอนุภาคมูลฐานที่เกิดๆดับๆ อยู่ๆโผล่มาและหายไปในที่ว่าง ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ควอนตัม เริ่มจะเข้าใจแล้วว่า ในระดับควอนตัม มีอนุภาคสตริงที่เป็นสิ่งที่เล็กที่สุด สั่นและเคลื่อนไหวไปมาในแทบทุกมิติ สตริงสั่นด้วยความถี่ต่างๆก่อกํสเนิด เลปตรอน ควากซ์ โบซอนซื่งประกอบเป็นอะตอม เป็นธาตุ ในตัวของมนุษย์
ทฤษฎีสตริง จึงพยายามเชื่อมโยงสิ่งที่เล็กที่สุดในระดับอะตอมและใหญ่ที่สุดในจักรวาลเข้าด้วยกัน ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์สามารถอธิบายสิ่งที่ใหญ่ที่สุดในระดับจักรวาล ดวงดาว กาแล็คซี่ หลุมดํา แรงโน้มถ่วง ได้เป็นอย่างดี แต่สัมพัทธภาพไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เล็กที่สุดในระดับอะตอมได้ ในทํานองกลับกัน ทฤษฎีควอนตัมก็ไม่สามารถอธิบายสิ่งที่ใหญ่ที่สุดในระดับจักรวาลได้
จะเห็นได้ว่าธรรมชาติได้เล่นตลกกับเรา ซ่อนความจริงบางอย่างไม่ให้เรารับรู้ ใหญ่คือเล็ก เล็กก็คือใหญ่ จักรวาลกําเนิดมาจากเล็กนั่นคือ Bigbang ที่เกิดมาจากความว่าง นั่นก็เป็นเรื่องประหลาดแล้ว ก่อนหน้า bigbang มีสภาพเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ เราจะรู้ใหญ่ได้จึงจะต้องรู้เล็กก่อน จึงเป็นที่มาของการศึกษาสิ่งที่เล็กในระดับควอนตัมและสร้างทฤษฎีที่สามารถอธิบายสิ่งที่เล็กและใหญ่หรือรวมทฤษฎีควอนตัมกับสัมพัทธภาพเข้าด้วยกัน เรียกว่า ทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง( The theory of everything) ปัจจุบันยังไม่มีใครคิดค้นได้
นักวิทยาศาสตร์เมื่อศึกษาสิ่งที่ใหญ่ ที่สุดในระดับจักรวาลก็มาถึงทางตัน เมื่อค้นพบว่าจักรวาลกําลังขยายตัว แต่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันกําเนิดมาได้อย่างไร มีสิ่งที่ยังเป็นความลับเต็มไปหมดเข่น แรงโน้มถ่วง สสารมืด พลังงานมืด หลุมดํา ความลับเรื่องเวลา ความเร็วแสง เร็วที่สุดในจักรวาลจริงหรือไม่ ในขณะเดียวกัน นักวิทยาศาสตร์ควอนตัมที่ลงไปศึกษา คุณสมบัติของอนุภาคมูลฐานในระดับอะตอม กลับเจอสิ่งเร้นลับเช่นเดียวกัน
ฟิสิกส์ควอนตัมเมื่อศึกษาลึกลงไปเรื่อยๆกลับค้นพบกับความไม่แน่นอน เป็นสิ่งที่ย้อนแย้งกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ ที่สามารถคํานวณ ทํานายเหตุการณ์ได้ทุกอย่าง คือมีความแน่นอน และคุณสมบัติของอนุภาคมูลฐานก็ทําตัวเหมือนผี มีทั้งล่องหนได้ ปรากฏตัวทะลุลอดอุโมงค์ได้ สื่อสารกันเองได้ด้วยความเร็วมากกว่าแสง ไม่มีที่อยู่แน่นอน เกิดๆดับๆหายไปในที่ว่าง
จะเห็นว่าต้องใช้เวลาอีกนานแสนนานมาก กว่านักวิทยาศาสตร์จะเข้าใจธรรมชาติของสรรพสิ่ง และผมเชื่อว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำความเข้าใจธรรมชาติด้วยประสาทสัมผัสแบบมนุษย์
โฆษณา