16 ก.ย. 2022 เวลา 09:36 • หนังสือ
📚🎧 รีวิวหนังสือ The First 90 Days จะปรับตัวอย่างไรดีเมื่อได้งานใหม่หรือได้รับตำแหน่งใหม่? 🎧📚
1
“The First 90 Days” ⏳
Proven Strategies For Getting Up to Speed Faster and Smarter
เขียนโดย Michael D. Watkins
📍 หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ผมอ่านจบไปนานแล้วเหมือนกันครับ แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้มีโอกาสกลับมาเปิดอ่านอีกครั้ง เนื่องจากเนื้อหาที่สามารถนำไปใช้งานได้จริงและรู้สึกว่ามันมีประโยชน์จริง ๆ นะครับสำหรับใครก็ตามที่ต้องย้ายงาน ไปทำงานที่ใหม่ ได้รับการโปรโมตไปทำงานในตำแหน่งใหม่ หรือแม้กระทั่งการย้ายแผนกไปทำงานในงานใหม่ ๆ ก็ตามครับ
👉🏻 หนังสือได้ให้แนวทางหรือกลยุทธ์ที่เค้าบอกว่า “proven” หรือพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลจริงสำหรับการปรับตัว (transition) เข้าสู่ตำแหน่งใหม่ที่เรียกได้ว่าเป็นช่วงสำคัญหรือชี้เป็นชี้ตายเลยทีเดียวครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยิ่งคุณอยู่ในตำแหน่งที่สูงในองค์กร ความกดดันต่าง ๆ ก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อเรามาใหม่ ทุกฝ่ายก็จะคาดหวังให้เราปรับตัวได้อย่างเร็วที่สุดและสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและที่สำคัญสามารถทำประโยชน์ให้กับบริษัทได้เต็มที่ตามความคาดหวังขององค์กรนั่นแหละครับ
⚠️ หนังสือยังได้ให้ข้อมูลค่าเฉลี่ยที่เค้าทำการสำรวจว่ากว่าที่คนแต่ละคนจะเข้าที่เข้าทางในงานใหม่นั้น หรือเข้าถึงจุดที่เค้าเรียกว่า “Break Even Point” หรือจุดที่เราเริ่มสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรนั้นใช้เวลาเฉลี่ยถึง 6 เดือนกว่า ๆ ครับ ซึ่งเป็นเวลาที่มองว่านานพอสมควรครับ
สำหรับบ้านเรานั้นโดยส่วนใหญ่เวลารับพนักงานใหม่เราก็จะมีช่วงทดลองงาน หรือ “Probation period” อยู่ประมาณ 3 เดือนครับ
ผู้เขียนนั้นให้หลักการในการปฏิบัติไว้อยู่ 10 ข้อครับ ที่จะช่วยให้เราปรับตัวได้อย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (ภายใน 90 วัน) และให้เราสามารถเริ่มต้นได้อย่างเป็นระบบ และลดความผิดพลาดที่เราอาจจะทำพลาดได้ในช่วงแรก ๆ ที่เรายังมีข้อมูลน้อยอยู่หรือยังไม่คุ้นเคยกับองค์กรใหม่ครับ 😁
……………..
1
“Prepare Yourself” 🎉
อย่างแรกเลยเราต้องเตรียมตัวเราเองก่อนให้พร้อมที่จะเริ่มงานใหม่หรือเริ่มต้นในตำแหน่งใหม่ ซึ่งสิ่งสำคัญที่หลาย ๆ คนทำผิดพลาดคือเรามักจะคิดว่าสิ่งที่เราเคยทำแล้วสำเร็จมานั้นจะสามารถนำมาใช้ต่อได้ในงานใหม่หรือตำแหน่งใหม่ ซึ่งหลายครั้งนั้นไม่เป็นความจริง
1
⭐️ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเราได้รับการโปรโมทแล้วต้องไปทำงานในตำแหน่งที่สูงขึ้น เช่น ตำแหน่งผู้บริหารนั้น ทักษะหรือความเชี่ยวชาญที่เรามีและใช้มาจนทำให้เราประสบความสำเร็จและได้รับการโปรโมตนั้นมักจะเป็นคนละส่วนกับทักษะใหม่ในตำแหน่งบริหาร ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องเข้าใจก่อนว่าทักษะอะไรที่เราจำเป็นต้องใช้ในตำแหน่งงานใหม่ และอย่าติดกับดักกับความสำเร็จเก่า ๆ
นอกจากนี้การจัดความสมดุลระวังความรู้เชิงลึกกับความรู้องค์รวมในภาพใหญ่ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่เราจะต้องจัดสรรให้ได้ ซึ่งนั่นรวมไปถึงการ delegate หรือกระจายงานบางอย่างออกไปให้คนอื่นในทีมทำครับ
💡 ซึ่งในหนังสือได้ให้ตัว “Onboarding checklists” ไว้สำหรับเราอีกด้วย
ซึ่งเค้าได้แบ่งเรื่องที่เราควรเตรียมตัวเป็น Business orientation หรือความเข้าใจในธรุกิจและข้อมูลต่าง ๆ ขององค์กร, Stakeholder connection ความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นหัวหน้า ลูกน้อง เพื่อนร่วมงาน, Expectations alignment ความเข้าใจในความคาดหวังในตำแหน่งงานนั้น ๆ โดยเฉพาะจากหัวหน้าใหม่ของเราครับ แล้วก็ที่สำคัญอีกอย่างเลยคือ Cultural adaptation ซึ่งก็คือวัฒนธรรมองค์กร วิถีการทำงานขององค์กรที่เราต้องเรียนรู้และปรับตัวครับ
……………..
“Accelerate Your Learning” 📚
ข้อถัดไปเราจำเป็นต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ที่เราจะต้องเจอให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นทักษะเรื่องของงาน ความรู้ในงานที่ทำ รวมไปถึงวัฒนธรรมขององค์กรใหม่ รวมไปถึงการเมืองในองค์กรนั้นด้วย (เช่น ใครมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ อันนี้สำคัญนะครับ ใครมักจะมีความเห็นที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของคนอื่น ๆ เป็นต้น)
สิ่งสำคัญคือเราจำเป็นต้องมีแผนการเรียนรู้ว่าในแต่ละสัปดาห์ แต่ละเดือนว่าเราจะเรียนรู้เรื่องอะไร และเป้าหมายเป็นอย่างไร โดยการทำสิ่งที่เรียกว่า “Learning Plan” ขึ้นมาครับ ว่าก่อนทำงานเราต้องรู้อะไรบ้าง อะไรที่เราต้องเรียนรู้ให้เร็วที่สุด และภายใน 1 เดือนแรกนั้นเราต้องเรียนรู้อะไรบ้าง และมาลองประเมินสิ่งที่เราได้เรียนรู้ดูว่าเป็นอย่างไร มีอะไรที่เราต้องปรับเปลี่ยนจากสมมติฐานตอนแรกที่เราตั้งไว้บ้างมั้ยครับ
💡 ตัวช่วยเราที่สำคัญเลยในการเรียนรู้ ก็คือคนที่อยู่รอบ ๆ ตัวเรานี่แหละครับที่อยู่มาก่อนหน้าเรา ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน หรือลูกน้องก็ตามครับ
……………..
“Match Strategy to Situation”
ในสภาพแวดล้อมหรือองค์กรที่ต่างกัน เราก็จำเป็นที่ต้องมีกลยุทธ์ในการปรับตัวที่ต่างกันออกไป โดยในหนังสือนั้นได้แบ่งองค์กรหรือสภาพแวดล้อมที่เราเข้าไปใหม่ได้เป็น 5 รูปแบบที่เค้าเรียกว่า “STARS Model” ⭐️⭐️⭐️
🔴 Start-Up
หากเราเข้าไปในองค์กรที่เป็นลักษณะะแบบ start-up เราจะต้องสร้างอะไรขึ้นมาหลาย ๆ อย่างมากครับ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้าง ระบบ หรือกลยุทธ์ขององค์กรจากที่ไม่มีอะไรเลย การทำงานก็จะไม่มีระบบหรือกรอบอะไรมากมาย แต่ข้อดีคือเราก็จะได้วางรากฐานทุกอย่างใหม่เองเลยให้ถูกต้องแต่แรก จ้างคนเข้ามาให้เหมาะกับที่เราต้องการ
🟠 Turnaround
ธุรกิจแบบ Turnaround คือธุรกิจที่เราต้องแก้ปัญหาเพื่อให้กลับมาดำเนินการได้ดีเป็นปกติ ความท้าทายคือแรงกดดันที่สูง อาจจะต้องมีการปลุกระดมพนักงานหรือสร้างความเชื่อมั่นให้กับทีมงานอย่างมาก และอาจจะต้องมีการตัดสินใจหลาย ๆ อย่างที่ยากลำบาก โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับคนครับ
🟡 Accelerated Growth
ธุรกิจที่ต้องการการเติบโตอย่างมาก ต้องการความรวดเร็ว และต้องการคนเข้ามาเพิ่มอย่างมาก ซึ่งการที่บริษัทกำลังเติบโตมาก ๆ ก็จะช่วยสร้างแรงจูงใจได้ดีให้กับพนักงาน
🟢 Realignment
ธุรกิจที่เคยประสบความสำเร็จมาก่อน แต่ตอนนี้อาจจะประสบปัญหาบางอย่างที่ต้องการการแก้ไขเพื่อให้สามารถกลับไปดีได้เหมือนเดิม ความท้าทายก็คือองค์กรจะต้องการความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเราจะต้องเป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงและชักจูงให้พนักงานหรือคนในทีมพร้อมเปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน อาจมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรหรือทีมงานเช่นกัน
🔵 Sustaining Success
สำหรับองค์กรที่ต้องการรักษาความสำเร็จที่มีอยู่ไว้และเติบโตต่อไปนั้น เมื่อเราเข้าไปอาจจะมีโอกาสแสดงฝีมือได้น้อยเนื่องจากคนก่อนหน้าทำผลงานว่าไว้ดี องค์กรแบบนี้ก็น่าจะมีทีมงานที่ดีเยี่ยมอยู่แล้ว เราจำเป็นต้องคิดถึงวิธีการที่ทำอย่างไรองค์กรหรือทีมจะโตได้อีกอย่างไรในระยะยาว
1
ซึ่งรูปแบบการทำงานหรือการเรียนรู้ของเราต้องเหมาะสมกับลักษณะความต้องการขององค์กรด้วยครับ เราถึงจะสามารถประสบความสำเร็จได้
……………..
“Negotiate Success” 🗣
เนื่องด้วยหัวหน้างานของเรานั้นจะมีส่วนสำคัญมากกับการทำงานของเรา ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์กับเจ้านายใหม่ของเราและทำความเข้าใจกับความคาดหวังของเขาต่อตำแหน่งงานของเราครับ นั่นคือเราจำเป็นต้องวางแผนการพูดคุยกับหัวหน้าของเราอย่างถี่ถ้วนในเรื่องของความคาดหวัง สไตล์การทำงาน (อันนี้ส่วนตัวมองว่าสำคัญสุด ๆ ) ทรัพยากรที่มีให้ว่าเพียงพอกับความคาดหวังในผลลัพธ์ของงานไหม รวมไปถึงของของการพัฒนาตัวเราในก้าวต่อ ๆ ไป ด้วยครับ
วิธีการสร้างความสัมพันธ์กับหัวหน้าที่ก่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพนั้นก็มีอยู่หลายอย่างครับ เช่น ให้พยายามสื่อสารและติดต่ออยู่เสมอให้แน่ใจว่าเจ้านายเค้าทราบว่าเรากำลังทำอะไรและเจอปัญหาอะไรอยู่ รวมไปถึงความคาดหวังในงานแต่ละงานด้วยครับ
นอกจากนี้เค้าบอกว่าอย่าให้เจ้านายเราทราบข่าวร้ายจากคนอื่นครับ จะเป็นสิ่งที่แย่มาก ๆ เราควรจะสื่อสารให้ทราบอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าจะเป็นข่าวไม่ดีก็ตาม ยิ่งควรสื่อสารให้รับทราบแต่เนิ่น ๆ
💡 อีกอย่างที่สำคัญมาก ๆๆๆๆ คืออย่าเอาแต่ปัญหาไปบอกหัวหน้า ให้เรามีแผนการรองรับว่าเราจะจัดการอย่างไรด้วย
ยังมีอีกเรื่องที่ว่า อย่าคาดหวังให้หัวหน้าเราเปลี่ยนแปลงครับ (555) เราต่างหากครับที่มีหน้าที่ต้องปรับตัวตามสไตล์การทำงานของหัวหน้า
นอกจากนี้ให้เราพยายามทำสิ่งที่หัวหน้าเราให้ความสำคัญให้สำเร็จเป็นสิ่งแรก ๆ อย่างรวดเร็วครับ (Secure Early Wins)
❤️ อ้อ มีอีกสิ่งที่ผมชอบมาก ๆ เลยคือ ให้ “Underpromise and Overdeliver” คือให้สัญญาไว้น้อย ๆ ไว้ก่อน แต่ทำให้ได้เยอะกว่าที่สัญญาครับ มันจะทำให้เราดูดีและสร้างความน่าเชื่อถือขึ้นมาเลยครับ
……………..
“Secure Early Wins” 🏆
ข้อนี้เราได้พูดถึงมาบ้างแล้ว คือให้หาสิ่งที่จะทำให้สำเร็จได้ใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ ช่วงแรก หรือ “Quick Wins” เพื่อเรียกความน่าเชื่อถือให้กับตัวเราเอง (Creditability) รวมถึงมันจะเป็นการสร้างความมั่นใจและสร้างโมเมนตัมที่สำคัญต่อไปให้เราทำงานต่อ ๆ ไปง่ายขึ้นอีกด้วยครับ 👍🏻
โดยใน 2-3 สัปดาห์แรกเราต้องพยายามมองหาสิ่ง ๆ นี้ให้เจอครับว่ามีโอกาสอยู่ตรงไหนที่จะให้เราได้แสดงความสามารถ การสร้าง value ให้กับองค์กรรวมถึงพัฒนาปรับปรุงสิ่งที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้นครับ และพยายามทำมันให้เป็นเห็นรูปธรรมภายใน 90 วันแรกของเราครับ
……………..
“Achieve Alignment” 📏
1
ข้อนี้สำหรับคนที่ยิ่งมีตำแหน่งที่สูง ก็ต้องยิ่งเข้าไปเกี่ยวข้องกับการสร้างองค์กรหรือทีมให้เหมาะสมและสอดคล้องกับเป้าหมายทางกลยุทธ์ขององค์กรหรือเป้าหมายของทีมครับ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการออกแบบกระบวนการทำงานต่าง ๆ ในทีมด้วยเช่นเดียวกันครับ
……………..
“Build Your Team” 👫🏻👭👬
การสร้างทีมงานของเรา ซึ่งหากเราได้รับทีมงานที่มีอยู่แล้วมา เราจำเป็นต้องทำการประเมิน และอาจจะต้องทำการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน
💡 ลองนึกเปรียบเทียบกับผู้จัดการทีมฟุตบอลที่คุณได้รับการแต่งตั้งใหม่ แต่เมื่อมาพบว่านักฟุตบอลที่มีอยู่ในทีมนั้นไม่สามารถเล่นตามระบบที่คุณวางแผนไว้ได้ ก็จำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยน หรือซื้อผู้เล่นใหม่เข้ามาถูกมั้ยครับ
👉🏻 ซึ่งเค้าบอกว่าการเลือกคนที่ถูกต้องนี่แหละเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะชี้ชัดความสำเร็จของเราครับ
……………..
“Create Alliances” 🤝
การหาแนวร่วมหรือพูดง่าย ๆ ว่าพรรคพวกหรือคนที่จะเห็นด้วยกับเราหรือมีแนวความคิดใกล้เคียงกันนั่นเองครับ
การที่เราจะทำอะไรให้สำเร็จได้นั้นแน่นอนเลยว่าคนอื่น ๆ ทั้งภายในทีมของเราเอง และนอกทีมนั้นจะมีผลกับความสำเร็จของงานเราด้วยครับ
เราจึงจำเป็นต้องมองให้ออกว่าใครที่เราต้องการการสนับสนุนและหาวิธีที่จะเข้าหาและผูกมิตรหรือสร้างควาสัมพันธ์ที่ดีกับคนกลุ่มนั้นครับ
……………..
“Manage Yourself” 🧘🏻‍♂️
ให้เราสำรวจตัวเองแล้วเตรียมตัวเองให้พร้อมกับงานใหม่หรือตำแหน่งใหม่ครับ ให้เราลองถามตัวเองว่าเราคิดว่าอะไรเป็นสิ่งที่ยากที่เราจะต้องเจอในงานใหม่หรือตำแหน่งใหม่แล้วเราจะจัดการกับมันอย่างไร
นอกจากนี้ให้เราวางแผนว่ามีนิสัยส่วนตัว หรือ personal disciplines อะไรบ้างที่เราต้องพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงเพื่อให้เหมาะกับงานในตำแหน่งใหม่นี้ โดยเราอาจจะสอบถามจากคนที่เราสนิทมาก ๆ ก็ได้ในลักษณะการขอ feedback แล้วดูว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องปรับเปลี่ยน
นอกจากตัวเราเองแล้ว เรายังจำเป็นต้องดูว่ามีเรื่องอะไรมั้ยสำหรับครอบครัวของตัวเราที่ต้องปรับเปลี่ยนเพื่องานใหม่นี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสถานที่ทำงานในกรณีที่ต้องย้ายสถานที่ทำงาน เรื่องของเวลา และเราต้องการการสนับสนุนในเรื่องใด ๆ จากครอบครัวเราบ้าง 👨‍👩‍👧‍👦
……………..
“Accelerate Everyone” 🏎 💨
สุดท้ายเราจำเป็นต้องช่วยเหลือและสนับสนุนทุกคนในองค์กรหรือในทีมในการปรับตัวด้วย การที่เราต้องปรับตัวเข้ามาอยู่ในองค์กรใหม่หรือทีมใหม่ นั่นก็หมายถึงคนที่เกี่ยวพันกับเราก็ต้องปรับตัวด้วยเช่นกันครับ ยิ่งเราปรับตัวได้เร็ว คนรอบข้างเราปรับตัวได้เร็วก็จะยิ่งส่งผลให้ผลงานของเราออกมาดีครับ
……………..
📌 “The First 90 Days” เป็นหนังสือที่เรียกได้ว่าเป็น “how-to” ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง ๆ เลยนะครับสำหรับคนที่ต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ซึ่งเราจะหาหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ค่อนข้างยากพอสมควรครับ และหนังสือเล่มนี้ค่อนข้างขายดีและโด่งดังพอสมควรเลยครับ
ใครที่ต้องการอ่านเพิ่มเติมถึงเทคนิคในแต่ละข้อ ผมแนะนำให้หามาอ่านเลยครับ จะได้รายละเอียดที่ครบถ้วนและนำไปใช้ได้จริงเลยครับ 📖
✨ และสำหรับใครที่ชอบหนังสือเล่มนี้ แต่ยังไม่มีเวลาอ่าน ทางเพจขอเสนอแนวทางอีกทางคือการฟังหนังสือเสียงจาก Storytel แทนครับ 🎧 ผมเองก็พบว่าหนังสือแนวนี้ก็มีอยู่ใน Storytel เช่นกันครับ เรียกว่าดีมาก ๆ เลย ผมก็เลยมีโอกาสได้ฟังซ้ำอีกรอบผ่าน Storytel ด้วยครับ!
❤️ พิเศษสุดสำหรับแฟนเพจสิงห์นักอ่านครับ ดาวน์โหลดและสมัครเป็นสมาชิก Storytel วันนี้ ฟังหนังสือเสียงได้ไม่จำกัดใน 2 เดือนแรก ราคาเพียง 99 บาท! (เหลือเพียงแค่เดือนละ 49 บาท!) จากราคาปกติ 149 บาท/เดือน 🤗
รับสิทธิ์ได้เลยที่นี่ 👉🏻 https://www.storytel.com/th/th/c/TheCrazyBookReader 👍🏻👍🏻👍🏻
ดาวน์โหลดแอปได้เลยที่ storytel.com/app
#BookReview #รีวิวหนังสือ #สิงห์นักอ่าน #storytel
ป.ล. ถ้าไม่อยากพลาดการติดตามการรีวิวหนังสือดี ๆ แบบละเอียดยิบ ฝากกด Like กดติดตามเพจ รวมถึงยังติดตามได้อีกหนึ่งช่องทางใน facebook : สิงห์นักอ่าน
โฆษณา