16 ก.ย. 2022 เวลา 10:52 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Woke แต่พองาม
ก่อนอื่นมาเล่นเกมส์กันครับ ทุกคนเปิดGoogle แล้วพิมพ์คำว่า white men จากนั้นคลิกที่ images จะมีรูปภาพเรียงเป็นแถว แถวละประมาณ7ภาพ สังเกตดีๆจะพบว่า ในแต่ละแถวมีภาพคนผิวสีปะปนมาด้วยอย่างน้อย1ภาพเสมอ…
ถัดมาพิมพ์คำว่า Straight Couples คลิกที่รูปภาพเช่นเดิม คราวนี้ในแต่ละแถว เราจะเห็นคู่รักLGBTQ แทรกเข้ามาอย่างน้อยแถวละ2ภาพ พร้อมกับบทความหลายชิ้นที่มีเนื้อหาทำนองว่า “30ข้อคิดที่คู่รักStraight ควรเรียนรู้จากคู่รักเกย์”
เราเสิร์ชหาสิ่งนี้ใช่หรือไม่ ไม่เลย ก็พิมพ์ลงไปอย่างจำเพาะเจาะจง แต่ด้วยความใจดีของกูเกิล พวกเขาจึงแถมสิ่งที่เราไม่ได้ขอมาด้วย ไม่สำคัญหรอกว่าต้องการรึเปล่า แต่เราต้องรับสารทางการเมืองที่พวกเค้าผลักดันอยู่เสมอ นี่คือสิ่งที่คนทั้งโลกกำลังเผชิญ ทั้งจากโซเชียลมีเดีย ภาพยนตร์ ซีรีย์ หรือแม้กระทั่งเสิร์ชเอนจินอย่างกูเกิล
ทุกองค์กรที่น้อมรับอุดมการณ์Woke พร้อมที่จะใช้อำนาจทั้งหมดที่มี เพื่อทำให้คนอื่นคิดเหมือนพวกเขา… เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ทุกด้านทุกมุมของแนวคิดที่ทำให้คนทะเลาะกันมากที่สุด มาครับ เข้าเรื่อง
1.The Origin
คำว่า Woke ปรากฎครั้งแรกในช่วงปี 1930 ถูกใช้อย่างแพร่หลายในหมู่คนผิวสี โดยมีความหมายว่า การตระหนักรู้ ถึงปัญหาทางสังคมและการเมือง ที่ส่งผลกระทบต่อคนผิวสี “Stay woke, brother!” “ตื่นรู้เข้าไว้น้องชาย” อย่าลืมว่าเราถูกกดขี่ อย่าลืมว่าเราถูกเลือกปฎิบัติอย่างไม่เป็นธรรม จงตระหนักรู้ถึงสิ่งนี้!
ปัจจุบันก็ถูกใช้ในลักษณะเดียวกัน แต่ไม่ได้อ้างอิงถึงแค่คนผิวสีอีกต่อไป ขอบเขตของมันได้ขยายใหญ่ขึ้นมาก คราวนี้ครอบคลุมไปถึงคนเอเชีย ฮิสแปนิก อาหรับ ผู้หญิง ผู้ที่เป็นเพศทางเลือกทั้งหลาย เอาง่ายๆคือ ทุกคนที่ไม่ใช่ชายผิวขาว หรือ Caucasian Male เพราะในปัจจุบัน ชายผิวขาวถูกมองว่าเป็นปีศาจ เป็นคนกลุ่มเดียวที่คอยกดขี่ผู้อื่น พวกเค้าเท่านั้นที่คิดเรื่องชั่วร้ายได้ ในโลกนี้ไม่มีเกย์ชั่ว ผู้หญิงเลว หรือคนเอเชียคลั่งอำนาจเผด็จการ ไม่มี๊!
เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวทางสังคมอื่นๆ Wokeในช่วงแรก เกิดจากเจตนาอันดีของคนกลุ่มหนึ่ง ที่อยากให้ทุกคนถูกปฎิบัติอย่างเท่าเทียม หรืออย่างน้อยก็“ดีกว่าเดิม” เพราะการเหยียดผิว เชื้อชาติ เพศ คงอยู่กับมนุษย์มาทุกยุคสมัย มันจะดีกว่ามั้ยถ้าเราช่วยกันกำจัดอคติแย่ๆเหล่านี้ให้หมดไป ซึ่งเป้าหมายดังกล่าว ถือเป็นเรื่องดีงามอย่างไม่ต้องสงสัย
2.The Bad
แล้วปัญหาอยู่ตรงไหน? ไม่มีใครเค้ากังขาเรื่อง“เป้าหมาย”ของชาวโว้กหรอกครับ แต่เป็นผลกระทบด้านลบที่ติดพ่วงมาด้วยต่างหาก รวมไปถึง“วิธีการ” วิธีที่พวกเขาใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งความเท่าเทียม บางครั้งเหมือนหลุดมาจากหนังสยองขวัญ
ในปี 2017 ณ วิทยาลัย เอเวอร์กรีน รัฐวอชิงตัน มีนักศึกษาออกมาเดินขบวนเรียกร้อง ให้เปลี่ยนกฎของ“วันแห่งการขาดหาย” หรือ The Day of Absence ซึ่งเป็นธรรมเนียมดั้งเดิมของวิทยาลัย ที่จะอนุญาติให้นักศึกษาและอาจารย์ผิวสี รวมไปถึงชนชาติอื่นที่ไม่ใช่คนขาว หยุดเรียน/ทำงานหนึ่งวัน เพื่อสร้างความตระหนักถึงคุณค่าที่พวกเค้าอุทิศให้กับสังคม ประมาณว่า“อยากรู้มั้ยถ้าไม่มีพวกเราจะเป็นยังไง”
ทำมาเป็น10ปี ไม่เคยมีปัญหา จนกระทั่ง…กลุ่มนักศึกษาสายโว้ก อยากเปลี่ยนกฎของธรรมเนียมดังกล่าว โดยจะเปลี่ยนให้คนขาว เป็นฝ่ายหยุดเรียน/ทำงานแทน และพวกเค้าต้องไม่ย่างกรายเข้ามาในบริเวณวิทยาลัยเด็ดขาด หากฝ่าฝืนเหล่านักศึกษาจะใช้มาตรการรุนแรงเพื่อขับไล่ออกไป
บรรยากาศของ The Day of Absence ในปีนั้น คือการที่มีกลุ่มนักศึกษาถือไม้เบสบอล เดินลาดตระเวนรอบๆวิทยาลัย พร้อมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายคอยเฝ้าระวังอยู่นอกรั้ว(เข้าไปไม่ได้) เพราะกังวลถึงความรุนแรงที่อาจปะทุขึ้น
มีคนไม่เห็นด้วยกับการเรียกร้องดังกล่าวนะครับ โดยเค้าเป็นศาสตราจารย์ด้านชีววิทยา ชื่อ Bret Weinstein เบรทได้ส่งอีเมลเปิดผนึกไปยังอธิการบดี ขอให้ท่านโน้มน้าวนักศึกษาให้ล้มเลิกการรณรงค์เสีย โดยให้เหตุผลว่า “มันมีความแตกต่างมหาศาล ระหว่างการหยุดเรียนโดยสมัครใจ เพื่อประท้วงระบบที่กดขี่ เทียบกับการบังคับให้ผู้อื่นหยุดเรียนด้วยกำลัง เพื่อประท้วงระบบที่กดขี่ ซึ่งนั่นอาจหมายความว่า เราได้กลายเป็นผู้กดขี่เสียเอง”
แน่นอนว่าข้อความของเบรทถูกเพิกเฉย น้ำเชี่ยวขนาดนี้คงไม่มีใครกล้าเอาเรือไปขวาง หรือถ้าหากเราอาจหาญพอ เรือของเราก็จะมีสภาพเหมือนเบรทในพารากราฟถัดไป
ไม่กี่วันหลังจากนั้น เบรทถูกม็อบโว้กกล่าวหา ว่าเป็นพวกเหยียดเชื้อชาติ เหยียดเพศ ฯลฯ ท้ายที่สุด เค้าและภรรยาก็ถูกบังคับให้ลาออกจากวิทยาลัย มันน่าสลดตรงที่ เบรทคือนักคิดหัวเอียงซ้าย100% เค้าเห็นด้วยกับแนวคิดของโว้กด้วยซ้ำ แต่กลับถูกเขี่ยทิ้งอย่างง่ายดาย เพราะการเห็นต่างเพียงครั้งเดียว(มีลิ้งค์วิดีโอที่แกโต้แย้งกับนักศึกษาอยู่ด้านล่างครับ)
เหตุการณ์คล้ายกันนี้ เกิดขึ้นในสถานศึกษาอีกหลายแห่งทั่วอเมริกา มันคือต้นตอของพฤติกรรม Forced Compliance หรือการบังคับให้ทำตาม ซึ่งปัจจุบันมีให้เห็นเกือบทุกสัปดาห์ บังคับให้ออกมาขอโทษ(ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง) บังคับให้ออกมาแสดงจุดยืน หรือแม้กระทั่งบังคับให้ออกมาแสดงความเสียใจ(อลิซาเบธ โอลเซ่น ในช่วงที่แชดวิก โบสแมนเสียชีวิต)
หากไม่กระทำตามที่ขอ จะถูกลงโทษ ไม่ใช่ทางกฎหมาย แต่เป็นกฎหมู่ของม็อบบนโลกอินเทอร์เน็ท ซึ่งคือการประจานให้อับอาย พาพรรคพวกมารุมฉีกทึ้งด้วยคำพูดปรักปรำเกินจริง คล้ายกับที่เบรทโดนไม่มีผิด ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ปรากฏการณ์โว้กก็ส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ
3.The Ugly
วง การ ภาพยนตร์! คอหนังคงรออ่านพาร์ทนี้อยู่ ช่วงนี้ทุกคนคงอิ่มเอมไปกับการได้เห็นตัวละครที่ชื่นชอบ เปลี่ยนเพศเปลี่ยนเผ่ากันอลหม่าน ถูกใจสิท่า รู้ๆ55555 กังวลเหมือนกันว่าเอี้ยก้วยกับเซียวเหล่งนึ่ง อาจกลายเป็นคนเม็กซิกันในเร็ววัน คำถามคือ…สตูดิโอเหล่านี้เค้าสนับสนุนความหลากหลายจริงๆ หรือเค้าแค่อยากได้เงินจากเรา หากมองแง่บวกคงต้องตอบว่า ทั้ง2อย่างอะแหละ รวยด้วยก้าวหน้าด้วย Win-Win
งั้นขอถามต่อ สมมติว่าถ้าเราข้ามเวลา ไปยังวันที่30มกราปีหน้า แล้วผลประกอบการไตรมาสที่4 ของบริษัทเหล่านี้ออกมาติดลบ คิดว่าพวกเค้าจะยังโว้กอยู่มั้ย?.....ทุกคนคงมีคำตอบในใจแล้ว ง่ายกว่าที่คิดใช่มั้ยครับ
มันก็แค่การแปลงกระแสสังคมให้เป็นกระแสเงินสด
นั่นคือมุมมองของสตูดิโอ มาดูมุมมองของผู้ชมกันบ้าง ล่าสุดหนังเรื่อง Top Gun: Maverick ทำรายได้ Box Office แซงหน้าหนังมาร์เวลไปหลายเรื่อง ได้ไง? ในเมื่อหนังเรื่องนี้แทบจะรวมทุกอย่างที่ผู้ตื่นรู้เกลียดเข้าไส้ ทั้งผู้ชายผิวขาว ผู้ชายนิสัยToxic(Hang Man) แถมไม่มีเกย์โผล่มาเลย แต่คนอเมริกากลับโปรดปรานหนังเรื่องนี้มาก ฮึ่มมมม น่าสนใจนะ จากข้อเท็จจริงนี้เราอนุมานได้มั้ยว่า 1.)คนอเมริกาส่วนใหญ่ ไม่ได้โว้กอย่างที่หนังหรือซีรีย์หลายเรื่องพยายามบอกเรา 2.)ผู้ชมยังให้ความสำคัญกับคุณภาพของหนังเหนืออุดมการณ์ใดๆ
มาเจาะลึกไปทีละข้อ ถ้าถามว่าพี่กันโว้กแค่ไหน สิ่งที่คนไทยจำเป็นต้องรู้คือ มีคนจำนวนมากออกมาพูดต่อต้านแนวคิดดังกล่าว โดยเฉพาะในหมู่นักเขียน/นักคิด แล้วดันเป็นนักคิดคนละสาย แต่กลับเห็นพ้องกันในเรื่องความอันตรายของโว้ก ไม่ว่าจะเป็น…
อนุรักษ์นิยมประชาธิปไตย - Douglas Murray
เสรีนิยมประชาธิปไตย - Bret Weinstein
คอมมิวนิสต์-มาร์กซิสต์ - Slavoj Zizek
สิทธิคนผิวสี - John McWhorter
อเทวนิยม - Sam Harris
ขอยกมาเล่าคนนึงละกัน John McWhorter ศาสตราจารย์และนักปราชญ์ผิวสี ผู้เขียนหนังสือ Woke Racism: How a New Religion Betrayed Black America แกอ้างว่าลักษณะหลายอย่างของแนวคิดโว้ก คล้ายคลึงกับศาสนา เช่น มีกฏเกณฑ์เหมือนบัญญัติ10ประการของคริสต์ เพียงแต่ไม่ได้ถูกเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร และหากไม่ปฏิบัติตามจะถือว่าเป็นพวกนอกรีต ตามด้วยการถูก“ล่าแม่มด”(บนโลกออนไลน์)
เหล่าท่านผู้ตื่นรู้ยังเชื่ออีกว่า พวกเค้ามีศีลธรรมสูงส่งกว่าคนอื่น เอาง่ายๆคือ ฉันเป็นคนดีเพราะฉันโว้ก ซึ่งส่งผลให้องค์กรหลายแห่ง รีบเร่งเอาแนวคิดนี้ไปปรับใช้ เพราะใครบ้างไม่อยากรับบทเป็นคนดีของสังคม แม้ยังไม่มีหลักฐานใดๆมาสนับสนุนว่า ทำไปแล้วจะเกิดแต่ผลดี บริษัทเหล่านี้ก็หาได้รีรอ รีบกระโจนลงไปเล่นเกมส์การเมืองอย่างทันควัน
แปลกมั้ยที่เสียงของนักเขียนเหล่านี้มาไม่ถึงไทย ส่วนใหญ่ที่แปลมาให้เราอ่าน มักจะเป็นบทความจาก The New York Times ซึ่งเป็นสื่อโว้กอย่างเปิดเผยมาตั้งแต่ปีมะโว้ จึงทำให้คนไทยหลายคนติดอยู่ในห้องเสียงสะท้อน เกิดเป็นภาพลวงตา ว่าคนทั้งอเมริกาเค้าคิดแบบนี้ ซึ่งในความเป็นจริง อัตราส่วนคนเห็นด้วยกับเห็นต่าง อาจจะเป็น 50:50 ก็ได้ (คล้ายกับเหตุการณ์วิล สมิธ ที่สื่อไทยเกือบทุกเจ้าประโคมว่าคริสผิด สุดท้ายคดีพลิกที่เมกา)
2.)คุณภาพ > อุดมการณ์ อีกอย่างนึงที่ Top Gun พิสูจน์ให้เห็นคือ ผู้ชมแค่อยากดูหนังคุณภาพ ถึงแม้ไม่มีสารทางการเมืองที่เป็นประเด็นเผ็ดร้อนแทรกเข้ามา หนังก็สามารถประสบความสำเร็จด้านรายได้ และได้รับคำชื่นชมจากแฟนๆทั่วโลก ไม่เห็นต้องโหนกระแสเลยสักนิด นี่อาจเป็นสัญญาณเรียกสติฮอลลีวูด ให้กลับมาใส่ใจคุณภาพ ทั้งการเขียนบท กำกับ ออกแบบฉากแอ็คชั่น พร้อมกับละทิ้งสิ่งอื่น ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวงานออกไป หยุดเทศนาผู้ชม แล้วเปลี่ยนมาเอนเตอร์เทนพวกเค้าแทน
คำถามสุดท้าย…กระแสสังคมคลื่นนี้ มีข้อดีบ้างมั้ย
4.The Good
บง จุน โฮ ไม่มีทางชนะรางวัลออสการ์ ถ้าไม่มีกระแสโว้กครับ อันนี้พูดกันตรงๆ หลายครั้งหลายคราที่ผู้กำกับเอเชียหรือยุโรปทำผลงานได้ดี สุดท้ายก็ชวดรางวัลบนเวทีออสการ์ โดยเฉพาะในสาขาอันทรงเกียรติ อย่างกำกับยอดเยี่ยม หรือภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ส่วนใหญ่สิ่งที่อเมริกาทำ คือการโยนรางวัลภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยมให้เรา(เพราะเป็นสาขาเดียวที่หนังชาติเค้าเข้าแข่งไม่ได้) มันมีการเหยียดอยู่จริง มีมานานแล้วด้วย ไม่อย่างงั้น อากิระ คุโรซาวะ คงได้ออสการ์อย่างน้อย8ชิ้นตลอดอาชีพการกำกับไปแล้ว
ในปี2020 แม้ว่าบงจุนโฮจะกวาดสาขาใหญ่ๆได้ทั้งหมด แต่มันกลับสุขได้ไม่สุด เพราะลึกๆเรารู้ว่า ที่พวกเค้าให้แกชนะ ส่วนนึงก็เพราะโดนกระแสบีบ ทั้งที่จริงๆแล้ว Parasite ของบงจุโฮ คุณภาพนำหนังเรื่องอื่นไปไกลมาก และคู่ควรกับรางวัลที่สุดแล้ว มันก็เลยเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฉลองได้ไม่เต็มที่ เช่นเดียวกับลีจองแจที่พึ่งชนะ Emmy Award ปาดหน้าบ็อบ โอเดนเคิร์กและเจเรมี สตรอง ซึ่งการแสดงของพวกเขาโดดเด่นกว่าอย่างชัดเจน แต่ทำไงได้ล่ะ ในเมื่อไฟโว้กมันลนก้น เลยต้องจำใจยกรางวัลให้คนเอเชีย
แล้วเราจะลิ้มรสชัยชนะอย่างปิติยินดีได้ยังไง ถ้ารู้อยู่แก่ใจว่าเราไม่คู่ควร
ข้อดีในไทยมีมั้ย? มีสิ แต่เป็นข้อดีทางอ้อมนะ ในเพจหนังแทบทุกเพจมีการถกเถียงเรื่องโว้ก และความเจ๋งของปรากฏการณ์นี้คือ เมื่อเราเห็นต่างกัน พวกเราบางคนเลือกใช้วิธี อธิบายความคิดหรือเหตุผลให้คนอื่นฟังอย่างละเมียดละไม แทนการด่าทอแบบหยาบคาย(ซึ่งพวกนี้ก็มีเยอะเหมือนกัน) จุดนี้เนี่ย เราขอชื่นชม เพราะเราเคยคิดว่า คนไทยชอบหลับหูหลับตาคล้อยตามความเห็นส่วนใหญ่
แต่เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นแล้วว่า คนไทยที่มี Critical Thinking ก็เยอะเช่นกัน(จากทั้งสองฝ่ายนะครับ คนโว้กฉลาดมีถมเถไป) พอเห็นอย่างงี้ก็ชื่นใจ ศรัทธาในคนไทยเริ่มฟื้นคืน
แล้วการเหยียดต่างๆมันลดน้อยลงมั้ย? ส่วนตัวไม่รู้สึกอย่างนั้นครับ เพราะนี่คือยุคที่เราโฟกัสเรื่องสีผิว เชื้อชาติ เพศ ที่สุดละ เหมือนเรามองทุกอย่างผ่านเลนส์โว้ก ยิ่งมองหา ก็จะยิ่งพบเจอ ถ้าย้อนเวลาไป10ปีก่อน ไม่มีใครดู Blade(1998) แล้วคิดว่า“อ๋อ เป็นหนังสนับสนุนคนดำ” ไม่อะ เราก็แค่เอนจอยไปกับมัน
แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า ทุกคอนเทนต์ต้องถูกกรองด้วยมาตรวัดความโว้ก ทั้งก่อนดู ระหว่างดู และหลังดู มันถึงจุดที่เราทำไปแบบอัตโนมัติด้วยซ้ำ เพราะเทรนด์ตื่นรู้ได้ติดตั้งโปรแกรม ให้สมองเรามองหาสิ่งนี้ตลอดเวลา บั่นทอนอรรถรสการดูหนังสุดๆ
5.The Solution
อยากรับชมภาพยนตร์อย่างมีความสุขในยุคโว้ก ต้องทำไง? คำตอบไม่ได้ซับซ้อน อันที่จริงมันง่ายเลยล่ะ
นานมาแล้ว ณ จักรวาลอันไกลโพ้น ปรากฏคำจำกัดความของหนังหมวดนึง คือคำว่า Chick Flick ใช้เรียกหนังที่ทำออกมาเอาใจสาวๆโดยเฉพาะ ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาตัวผู้ก็ไม่ดูกันอยู่แล้ว เช่นเดียวกับยุคปัจจุบัน มันมี Woke Flick, LGBTQ Flick, Black Flick ถ้าคุณไม่ชอบ ก็แสดงว่าคุณไม่ใช่ผู้ชมกลุ่มเป้าหมาย อย่าดู แค่นั้นแหละครับ
ถ้าหนัง Genre ใหม่เหล่านี้ คือสิ่งที่ผู้ชมต้องการจริงๆ ถึงคุณไม่ดูไปคน ก็คงไม่ส่งผลอะไรกับรายได้ แต่หากมันเจ๊งยับขึ้นมา สตูดิโอก็จะได้บทเรียนว่านี่อาจไม่ใช่เส้นทางที่ควรเดิน นอกจากสุขภาพจิตของคุณจะดีขึ้นแล้ว ยังลดโอกาสที่จะได้เห็นหนังโว้กในอนาคตอีกด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้หนูผีหลายตัว
ส่วนเรื่อง Woke ขอฝากไว้สั้นๆละกัน พิมพ์เหนื่อยแล้ว 55555
ความหลากหลาย ความเท่าเทียม รวมไปถึงการยอมรับ หากได้มาโดยความสมัครใจ ถึงจะช้าหน่อย แต่มันยั่งยืนกว่าการไปบังคับคนอื่นแน่นอนครับ 🙂
อ้างอิง
1.คำว่า Woke
2.เบรทเล่าเหตุการณ์เอเวอร์กรีน
3.เบรทโต้แย้งนักศึกษา
4.หนังสือจอห์น แม็คฮอร์ทเทอร์(เราซื้อเป็นหนังสือเสียง ถูกกว่ามาก)
โฆษณา