19 ก.ย. 2022 เวลา 08:00 • ไอที & แก็ดเจ็ต
ชั่วโมงนี้ แทบไม่มีใครไม่รู้จัก 𝗗𝘆𝗻𝗮𝗺𝗶𝗰 𝗜𝘀𝗹𝗮𝗻𝗱 ฟีเจอร์ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดบน iPhone 14 Pro ซึ่งเราจะขอพาส่องกันชัด ๆ อีกสักทีว่าฟีเจอร์นี้มีดีอย่างไร
หลังจากเปิดตัว iPhone X ซึ่งมาพร้อมดีไซน์หน้าจอไร้ขอบ แต่กลับมีรอยบากที่ขอบจอบน (Notch) ให้เกะกะสายตา ในที่สุด Apple ก็หาวิธีจัดการรอยบากนั้นได้ด้วยการเปลี่ยนให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงผล (User Interface) บนแต่ละแอปพลิเคชันอย่างสร้างสรรค์
ซึ่ง Apple เรียกสิ่งนี้ว่า ‘ไดนามิก ไอแลนด์’ (Dynamic Island) โดยดึงเอาคุณสมบัติของพาเนล OLED มาประยุกต์ได้อย่างชาญฉลาด ทำ Dynamic Island ออกมาให้กลมกลืน ราวกับมันเป็นส่วนหนึ่งของหน้าจอ ยืดก็ได้ หดก็ได้ หรือจะขยายเป็นวิดเจ็ตที่แสดงข้อมูลก็ได้อีก สมกับที่ตั้งชื่อว่า “ไดนามิก” จริง ๆ
ตัวอย่าง การแสดงผลฟีเจอร์ที่ Dynamic Island รองรับ เช่น…
▸การชำระเงิน เมื่อยืนยันตัวตนด้วย Face ID
▸การรับส่งไฟล์ผ่าน AirDrop
▸ทิศทางการนำงานของ Apple Maps
▸ภาพหน้าปกอัลบั้มเมื่อเล่นเพลงผ่าน Apple Music
▸สถานะการเชื่อมต่อกับ AirPods (รวมถึงเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี)
▸สถานะการชาร์จ iPhone (รวมถึงเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี)
▸ระยะเวลาที่ใช้ในการโทรและการบันทึกเสียง
▸การตั้งนาฬิกาจับเวลาและแสดงระยะเวลาที่เหลือ
▸จุดบ่งชี้การทำงานของกล้องหน้าและไมโครโฟน
▸ไอคอนขณะเปลี่ยนโปรไฟล์เสียง
▸แสดงสายโทรเข้าและสามารถกดรับได้
พูดง่าย ๆ ว่า เมื่อไม่สามารถนำรอยบากออกได้แบบหมดจด แทนที่จะปล่อยไว้เป็นพื้นที่นิ่ง ๆ ไร้ประโยชน์ ก็สร้างฟังก์ชั่นให้เกิดประโยชน์สูงสุดแทน สมแล้วที่เค้าว่ากันว่าเป็นฟีเจอร์ที่ชื่ออาจจะไม่เท่ แต่แก้ปัญหาได้เก๋สุดๆ นับเป็นเคสพลิกวิกฤตเป็นโอกาสอย่างสร้างสรรค์จริง ๆ
โฆษณา