21 ก.ย. 2022 เวลา 11:00 • ธุรกิจ
สรุป Big C ในไทย เซ็นทรัลปั้นแบรนด์ ตอนนี้เจ้าสัวเจริญ เป็นเจ้าของ
1
รู้หรือไม่ ? ห้าง “บิ๊กซี” (Big C) มาจากคำว่า “บิ๊ก เซ็นทรัล”
เพราะว่ากลุ่มเซ็นทรัล เป็นคนปลุกปั้นแบรนด์นี้ขึ้นมา ให้เป็นห้างสรรพสินค้าแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต แห่งแรกของเมืองไทย
9
ในเวลาต่อมา ห้าง Big C ก็เปลี่ยนมือหลายครั้ง
จนมาถึงเจ้าของคนปัจจุบัน คือกลุ่ม BJC บริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ของเมืองไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจของ เจ้าสัวเจริญ เจ้าของเบียร์ช้าง
6
แล้วเส้นทางของ Big C มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ?
BrandCase จะสรุปเรื่องราวมุมนี้ที่หลายคนยังไม่รู้ ให้อ่านกัน
3
ราว 30 ปีก่อน ในปี 2536 กลุ่มเซ็นทรัล ได้เปิดห้างค้าปลีกชื่อ “เซ็นทรัลซูเปอร์สโตร์” ที่แยกวงศ์สว่าง
โดยตั้งใจให้เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตที่จำหน่ายสินค้าหลากหลายประเภท ในราคาย่อมเยา
3
จนกระทั่งกลุ่มเซ็นทรัล ได้ปั้นแบรนด์ซูเปอร์มาร์เก็ต ที่มีชื่อว่า “Big C” ขึ้นมา
โดยร่วมทุนกับ กลุ่มอิมพีเรียล ซึ่งเป็นเจ้าของศูนย์การค้าอิมพีเรียลเวิลด์ ในปัจจุบัน
3
ชื่อห้าง Big C เปิดตัวที่แจ้งวัฒนะเป็นสาขาแรกในปี 2537
ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้า รูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ต แห่งแรกของเมืองไทย
ไล่เลี่ยกับการเปิดตัวห้าง Lotus ของกลุ่ม CP ซึ่งเปิดตัวในช่วงปลายปีเดียวกัน
3
ส่วนกลุ่มโรบินสันในเวลานั้น ก็ได้จับมือกับ Land & House เปิด Save One Supercenter ที่ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต
5
และในเวลาต่อมา ซูเปอร์มาร์เก็ต หลาย ๆ แห่งของกลุ่มเซ็นทรัล ได้ถูกรีแบรนด์เป็นห้าง Big C อย่างเช่น
4
- ห้างเซ็นทรัลซูเปอร์สโตร์ ของกลุ่มเซ็นทรัล ทั้ง 2 สาขา ก็ได้เปลี่ยนเป็น Big C วงศ์สว่าง และ Big C ราษฎร์บูรณะ
2
- ในช่วงที่กลุ่มเซ็นทรัล ได้เข้าซื้อกิจการของกลุ่มโรบินสันในปี 2539
Save One Supercenter ถูกโอนมาอยู่กับ Big C ซึ่งในเวลาต่อมาก็คือ Big C สาขารังสิต
2
โดยในช่วงแรก ห้าง Big C มักจะขยายสาขา โดยใช้ที่ดินของกลุ่มเซ็นทรัล โดยการทำสัญญาเช่าระยะยาว
ซึ่งห้าง Big C ก็ได้ขยายสาขาไปเรื่อย ๆ จนมีจำนวนมากกว่า 20 สาขา
2
จนกระทั่งถึงปี 2541 กลุ่มเซ็นทรัลได้ประสบปัญหา ภาระดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นมาก จากการปล่อยลอยตัวค่าเงินบาท เพราะวิกฤติต้มยำกุ้ง
3
ทำให้กลุ่ม Big C ได้ตัดสินใจหากลุ่มนายทุนต่างชาติเข้ามาช่วยเหลือ
และก็มีบริษัทชื่อ Casino Group จากฝรั่งเศส ได้เข้ามาถือหุ้นใหญ่ใน Big C ด้วยสัดส่วน 63%
4
และในช่วงเวลานั้น กลุ่ม Tesco จากประเทศอังกฤษ ก็เข้ามาซื้อกิจการ Lotus จากกลุ่ม CP ที่เจอปัญหาคล้าย ๆ กันกับกลุ่มเซ็นทรัล ด้วยเช่นกัน
3
หลังจาก Casino Group เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ Big C ก็ได้ขยายสาขาออกไปในต่างจังหวัดมากขึ้น
จนเริ่มมีสาขาในต่างจังหวัด มากกว่าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในปี 2550
4
ต่อมาในปี 2553 Casino Group ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Big C ได้เข้าซื้อกิจการห้าง “Carrefour” ในประเทศไทย และเปลี่ยน Carrefour ทุกสาขา ให้กลายเป็น Big C ทั้งหมด
ซึ่งในบางสาขา ก็จะอัปเกรดเป็น Big C Extra เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนมากขึ้น
6
นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ห้าง Carrefour ที่หลายคนคุ้นเคยในช่วงเวลานั้น หายไปเลย เพราะถูกเปลี่ยนเป็น Big C แทน
3
ทำให้ในต้นปี 2554 Big C ในตอนนั้น มีสาขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จาก 71 สาขา เป็น 105 สาขา และสามารถตีตื้นพี่ใหญ่แห่งวงการค้าปลีกอย่าง Tesco Lotus
ที่มีสาขาไฮเปอร์มาร์เก็ตอยู่ราว 121 สาขาในขณะนั้น
2
ต่อมา ตลาดค้าปลีกเริ่มแข่งขันกันอย่างรุนแรงมากขึ้น และผู้คนเริ่มมองหาความสะดวกสบาย จากร้านสะดวกซื้อใกล้บ้านมากขึ้น
1
ทำให้ Big C ต้องหันมาศึกษา และพัฒนาโมเดลธุรกิจร้านสะดวกซื้ออย่าง Mini Big C
และร้านขายยา Pure ขึ้นมาอย่างจริงจัง เพื่อเจาะตลาดคนในชุมชนมากขึ้น
2
รวมถึงแข่งขันกับ Tesco Lotus Express ที่ได้พัฒนาโมเดลร้านสะดวกซื้อมาก่อน
4
จุดเปลี่ยนสำคัญของ Big C เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2559
เมื่อทาง Casino Group ประสบปัญหาด้านการเงิน จึงได้ทำการเปิดประมูลเพื่อขายกิจการ
6
โดยกลุ่ม TCC Group ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้กิจการ Big C ในประเทศไทยไป
4
ขณะที่ผู้ปลุกปั้นเดิมอย่าง กลุ่มเซ็นทรัล ประมูลได้สิทธิ์บริหาร Big C ในประเทศเวียดนาม
4
เรื่องนี้ทำให้ Big C ในไทย มาอยู่ภายใต้บริษัท BJC หรือ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)
ที่เป็นหนึ่งในเครือ TCC Group
1
และทำให้ BJC มีทั้งธุรกิจต้นน้ำ ที่คอยผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคในหลากหลายแบรนด์ แล้วส่งให้กับห้างร้านต่าง ๆ
และธุรกิจปลายน้ำ ที่เป็นซูเปอร์มาร์เก็ตอย่าง Big C คอยกระจายสินค้าที่ตัวเองผลิต ให้ถึงมือผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น
9
อย่างไรก็ตาม Big C เองก็ยังคงต้องเจอกับคู่แข่งตลอดกาลอย่าง Tesco Lotus
ที่ทำห้างสรรพสินค้าและร้านค้า เพื่อเจาะตลาดลูกค้ากลุ่มเดียวกัน
2
ซึ่งในปี 2563 Tesco จากประเทศอังกฤษ ได้ขายกิจการ Tesco Lotus
ในประเทศไทย กลับคืนให้กับกลุ่ม CP
2
และกลุ่ม CP ก็ได้มีการรีแบรนด์ Tesco Lotus ใหม่ทั้งหมด และปรับปรุงห้างร้าน เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่
2
โดยเปลี่ยนจาก Tesco Lotus เป็น Lotus’s และเปลี่ยนจาก Tesco Lotus Express เป็น Lotus’s Go Fresh
1
ส่วนทาง Big C เอง ก็ได้ออกโมเดลซูเปอร์มาร์เก็ตใหม่
ในชื่อ Big C Food Place เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่อยู่ในเมือง
1
และมีแผนในการเปลี่ยนโฉมห้างสรรพสินค้า ในบางสาขาของตัวเองเช่นกัน
เช่น ปรับปรุงห้าง Big C สาขารัชดาภิเษก ให้กลายเป็น Big C Place ภายในปี 2565
4
หากพูดถึงสภาพการแข่งขันในปัจจุบัน เราลองไปดูสาขาของซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งสองแบรนด์ ในปี 2565
5
กลุ่ม BJC มี Big C ไฮเปอร์มาร์เก็ต 154 สาขา และ Mini Big C 1,431 สาขา
กลุ่ม CP มี Lotus’s ไฮเปอร์มาร์เก็ต 224 สาขา และ Lotus’s Go Fresh 2,171 สาขา
2
จะเห็นว่า ถ้าเทียบกันแบบไซซ์ต่อไซซ์
ห้าง Big C จะมีช่องทางในการขายที่น้อยกว่า Lotus’s ทั้ง 2 รูปแบบนี้
2
ทีนี้ถ้ากลับไปพูดถึง กลุ่มเซ็นทรัล
หากยังจำกันได้ ในช่วงต้นของบทความนี้ Big C สมัยที่เซ็นทรัลเป็นผู้ปลุกปั้นนั้น หลายสาขาตั้งอยู่บนที่ดินของกลุ่มเซ็นทรัล และทำสัญญาเช่าที่ดินระยะยาว
7
เช่น Big C โคราช, Big C ขอนแก่น ที่ทำสัญญาเช่าที่ดินของกลุ่มเซ็นทรัลเป็นเวลา 30 ปี มาตั้งแต่ปี 2539
หมายความว่า กลุ่มเซ็นทรัล ก็น่าจะยังได้ประโยชน์จาก Big C ทางอ้อม จากการเก็บค่าเช่า สำหรับสาขาที่ยังตั้งอยู่บนที่ดินของกลุ่มเซ็นทรัล
1
สรุปเรื่องนี้ก็คือ ห้าง Big C ในประเทศไทย มีกลุ่มเซ็นทรัลเป็นผู้ปลุกปั้น
2
ก่อนจะต้องขายกิจการให้ต่างชาติ ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง
2
และปัจจุบัน Big C ในไทย ก็อยู่ในการดูแลของกลุ่ม BJC ในเครือ TCC Group
ซึ่งเป็นเครือธุรกิจของ เจ้าสัวเจริญ และตระกูลสิริวัฒนภักดี นั่นเอง..
1
โฆษณา