Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เธอๆอ่านเรื่องนี้หรือยัง
•
ติดตาม
23 ก.ย. 2022 เวลา 04:43 • การ์ตูน
EP : 646 (Repost)
ดอกหญ้าวันฟ้าใส
ไม่รู้เพราะตอนเด็กผมเป็นเด็กทั่วไปที่ไม่ได้มีจุดเด่นอะไร แต่ก็ไม่ได้ดึงดูดให้เพื่อนๆในห้องมาแกล้งอะไรผมหรือเปล่า ตอนเด็กๆ การโดนกลั่นแกล้ง ... พวกนี้ผมไม่เคยได้สัมผัสมันหรอกนะครับ แล้วจริงๆ เด็กรุ่นผมนี้การแกล้งที่เจ็บปวดที่สุดคงคือ การเรียกชื่อพ่อชื่อแม่ หรือการเรียกตามลักษณะรูปร่างหน้าตาอย่าง ไอ้อ้วน ไอ้ดำ อะไรแบบนี้ เลยทำให้ผมถวินหามังงะที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับการกลั่นแกล้งกันมาอ่านอยู่เป็นประจำหรือเปล่า .... อันนี้ไม่รู้จริงๆนะครับ 555
แต่ท่ามกลางการ์ตูนแนวบูลลี่และการกลั่นแกล้งที่มีออกมาให้เห็นกันเป็นสิบเป็นร้อยเรื่องที่ผมเคยอ่านมา หนึ่งในเรื่องที่ถือว่าอยู่ในอันดับท๊อปเท็นเนื้อหาที่เกี่ยวกับการบูลลี่คงจะมีเรื่อง “MISUMISOU” ถูกจัดอันดับอยู่ด้วยแน่นอน เพราะเรื่องนี้คือหนึ่งในเรื่องที่ใส่การบูลลี่กันอย่างหนัก และเป็นเรื่องที่ถ่ายทอดมุมมองหลายๆด้านที่เกี่ยวข้องได้อย่างน่าสนุก พร้อมกับจุดที่คนอ่านแนวนี้ต้องการอ่าน
นั่นก็คือ “การแก้แค้น” อย่างเจ็บแสบกลับไป ทุกอย่างมันรวมอยู่ในเรื่องนี้ที่มีความรุนแรงนำเสนอตลอดทั้งเรื่องอย่างไม่กลัวว่าคนอ่านจะเจ็บปวดกับการกระทำทุกๆการกระทำที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ และแม้ผมจะเคยอ่านเรื่องนี้ตอนอยู่ในเพจที่มีคนใจดีแปลให้อ่านแล้วก็ตาม แต่ครั้งนี้จะขอรีวิวเรื่องนี้ในโอกาสที่ได้อ่านฉบับหนังสือนะครับ กับชื่อภาษาไทยที่มีการเปลี่ยนแปลงจาก “ลำนำดอกโศก” สู่ “ดอกหญ้าวันฟ้าใส” ครับ
เพราะพ่อของเธอต้องย้ายที่ทำงานมายังเมืองเล็กๆแห่งนึงในจังหวัดที่ห่างไกล ทำให้ “ฮารุกะ” ตัดสินใจย้ายตามครอบครัวของเธอมายังเมืองเล็กๆแห่งนี้ แม้เธอกำลังจะจบ ม.ต้น อีกไม่กี่เดือนก็ตาม แต่เพราะอยากที่จะดูแล “โชโกะ” น้องสาวคนสำคัญของเธอที่ต้องมาเริ่มต้นใหม่ในที่แห่งใหม่ด้วย ทำให้เธอขอตามครอบครัวเธอมายังที่แห่งนี้
ณ ที่นี้คือเมืองเล็กๆ ที่ห่างไกลผู้คน เมืองเล็กๆที่ประสบปัญหาเหมือนเช่นเมืองต่างๆทั่วประเทศญี่ปุ่น นั่นคือปัญหาประชากรเพิ่มน้อยลงเป็นอย่างมาก ทำให้เมืองเล็กๆแห่งนี้ เงียบเหงาเป็นอย่างมาก การที่เมืองแห่งนี้เงียบสงบแตกต่างจากเมืองที่เธอมาเป็นอย่างมากนั้น ไม่ได้ก่อปัญหาอะไรให้กับ ฮารุกะ ผู้มาใหม่ แต่ปัญหาที่แท้จริงที่เกิดขึ้นกับเธอ กลับเกิดในสถานที่ที่ไม่ควรเกิดเรื่องเลวร้ายกับเธอ อย่าง “โรงเรียน” เล็กๆที่อยู่ในเมืองนี้
สำหรับผู้มาใหม่ ที่เข้ามาเรียนในช่วงสุดท้ายก่อนที่จะจบการศึกษาเพียงไม่กี่เดือน อย่าง “ฮารุกะ” แล้ว โรงเรียนเล็กๆที่เงียบสงบแห่งนี้ควรจะเป็นที่ที่เธอใช้เวลาอีกสองสามเดือนก็จะจบการศึกษานั้น ได้อย่างเรียบง่าย แต่ทั้งๆที่ โรงเรียนแห่งนี้ที่มีแผนจะปิดทำการโดยให้นักเรียนรุ่นนี้เป็นรุ่นสุดท้าย อันเนื่องด้วยเด็กในเมืองมีน้อยมากขึ้นๆเรื่อยๆ กลับกลายเป็นว่า สถานการณ์ของ ฮารุกะ กับเพื่อนๆ บางกลุ่มในชั้นเรียนเป็นไปอย่างเลวร้าย
เพราะสำหรับคนในห้องนี้นั้น ฮารุกะคือ เด็กสาวที่มาจากโตเกียวเมืองใหญ่ …. เป็นคนนอกที่อยู่ๆก็เข้ามาโดยไม่ได้รับการยอมรับจากคนอื่น ทำให้เธอเจอการกลั่นแกล้งอย่างรุนแรงตลอดมา ... แน่นอนเธอเลือกที่จะทน เพราะอีกแค่ 2 เดือนเธอก็จะจบชั้น ม. ต้นจากที่นี่ แต่สิ่งที่เธอไม่รู้ก็คือ อีกแค่ไม่ถึง 2 เดือนที่เธอคาดหวังว่ามันจะผ่านไปได้อย่างที่เธอต้องการนั้น กำลังจะเกิดโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายจนเธอไม่อาจคงอยู่เป็นเธอคนเดิมได้และนั้นจะเปลี่ยนเธอไปตลอดกาล...................
จริงๆ ผมค่อนข้างจะมีปัญหาในการรีวิวเรื่องนี้ให้อ่านกันพอสมควรนะครับ ด้วยเรื่องนี้มันออกแนวดาร์กเลยก็ว่าได้ ด้วยตัวมันเองนำเสนอเรื่องราวการกลั่นแกล้งได้รอบมุมมาก รวมถึงหลายมุมมอง หลายตัวละครที่แวดล้อมตัวเอกอย่าง “ฮารุกะ” ทำให้ผมตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเขียนเล่าออกเป็นแนวไหนดี ทั้งๆที่อ่านจบตั้งแต่วันที่สองที่ได้รับหนังสือนี้แล้ว
แต่ก็ยังหาข้อสรุปออกมาไม่ได้ว่าควรสื่อสารออกมาในรูปแบบไหนที่จะทำให้คนอ่านเข้าใจเนื้อหาเรื่องนี้ที่สุดนะครับ เพราะฉะนั้นหากในครั้งนี้ผมรีวิวสะเปะสะปะไปซักหน่อยต้องขออภัยนะครับ เพราะคิดแล้วคิดอีกว่าควรออกเป็นแนวไหน สุดท้ายก็นำเสนอแบบคิดอะไรพิมพ์แบบนั้น การเรียงประโยคอาจดูไม่ต่อเนื่องเท่าที่ควร ถ้าอ่านแล้วงง โปรดรู้ไว้เลยว่าผมก็พิมพ์แบบงงๆนี่แหล่ะครับ 5555
ในมุมมองผมเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่หยิบจับพล็อตเรื่องแนวกลั่นแกล้งมาเล่นได้อย่างสนุกและน่าประทับใจมากๆครับ มองภาพกว้างเรื่องนี้สมบูรณ์ทั้งในแง่เหตุ และ ผล ทั้งฝั่งคนกระทำ และผู้ถูกกระทำ และมีความรอบด้านของคนที่เกี่ยวข้องค่อนข้างดี ซึ่งหลายๆเรื่องที่เคยนำเสนอเรื่องแนวนี้มักจะมองข้ามไปครับ
เรื่องนี้นำเสนอเรื่องราวของความ “กดดัน” ให้กับตัวละครในเรื่องได้อย่างครบถ้วน จนผมรู้สึกได้ว่า เพราะอะไร มันถึงเกิดการกลั่นแกล้งในเรื่องนี้ขึ้นมาครับ ด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมของเมืองเงียบๆ แห่งนึงที่มีหิมะตกหนักอยู่เสมอ
ในเมืองที่เงียบนี้กลับมีความกดดันมากมายที่สมกับเป็นญี่ปุ่นและสมกับที่ทำให้เรื่องราวเกิดการระเบิดขึ้นมาจนเป็นเหตุให้เกิดเรื่องเลวร้ายอย่างนี้ ตั้งแต่ สถานการณ์ที่เด็กเกิดมาน้อยโรงเรียนกำลังจะต้องปิดตัวลง ความกดดันของครอบครัวที่มีต่อเด็กๆ จนเด็กๆต้องหาที่ลงซักที่ และ ตรงจุดนั้นมันก็เลยต้องมาลงกับ “คนนอก” อย่าง ฮารุกะ ครับ
ด้วยพื้นเพที่ ฮารุกะ เป็นคนที่ย้ายเข้ามาเรียนใหม่ ทำให้เธอเป็นคนนอกและคนแปลกหน้าสำหรับทุกคนในห้องนี้ แถมยังเป็นห้องที่กำลังจะปิดตัวลงภายในไม่ 2-3 เดือนข้างหน้านี้ด้วยแล้ว ไม่แปลกที่หลายๆคนจะยังไม่รู้จักและรวมถึงไม่ยอมรับฮารุกะ ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ครับ เพราะฉะนั้นหากจะต้องลงความกดดันหรือหาใครซักคนที่จะต้องเป็นที่ระบาย ก็ต้องเธอนี่แหล่ะครับ
แต่ในขณะเดียวกันเนื้อเรื่องก็เล่นตรงจุดนี้ได้ดีไม่ใช่แค่ให้เห็นว่ามันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้นะสำหรับคนนอกที่มาใหม่ เรื่องคนนอกนี้เป็นประเด็นนึงที่ทำให้เราเข้าใจเหตุผล แต่เรื่องก็ใส่ความสัมพันธ์ระหว่างนักเรียนแทรกขึ้นมาหลังจากเล่าเรื่องที่เหตุการณ์มันเลยเถิดไปถึงระดับนึงแล้ว เหมือนตีหัวคนอ่านหลังจากที่เข้าใจมาตลอดว่าเพราะแค่เธอเป็นคนนอก ซึ่งความจริงนี้ มันช่างเจ็บปวดเหลือเกินสำหรับคนอ่านอย่างเรา และตัวละครอย่าง ฮารุกะครับ
ประเด็นตรงจุดนี้เรื่องนี้สร้างเหตุผลรองรับไว้หลายชั้นมากๆ จนผมแปลกใจว่าทำไมถึงสร้างไว้หลายๆข้อแบบนี้ แต่พอมาอ่านแล้วเราก็จะเข้าใจได้ว่า เพราะมันหลายชั้นนี่แหล่ะเรื่องนี้มันถึงสนุกและเข้าถึงอารมณ์ได้ถึงขนาดนี้ครับ
ผมพูดถึงตัวเหล่าผู้กลั่นแกล้งเป็นพวกแรก เพราะไม่ใช่แค่ว่าเป็นตัวเดินเรื่องให้เรื่องมันบานปลายเท่านั้นแต่ผมมองว่ามันเป็นมิติที่เรื่องนี้ใส่มาได้อย่างดี จนผมไม่พูดถึงคงไม่ได้ครับ ด้วยเรื่องนี้ใส่จำนวนคนกลั่นแกล้งเอาไว้หลายคนมากๆ แต่ใส่รายละเอียดเอาไว้ในระดับที่เราผูกผันได้ ไม่ใช่ตัวละครลอยๆ มันเลยมีหลายตัวละครในกลุ่มนี้ที่ผมจดจำได้ดีและพยายามทำความเข้าใจพวกเขาว่าทำไมถึงทำให้เรื่องเลวร้ายนี้เกิดขึ้นมาได้ครับ
หนึ่งในตัวละครที่เป็นผู้กลั่นแกล้งที่มีรายละเอียดน่าสนใจเพราะเป็นตัวสุดท้ายที่โผล่ยาวถึงตอนท้ายเรื่องที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้นั้นก็คือ “รูมิ” ครับ..เอาจริงๆ ผมว่าเป็นตัวละครที่มีพัฒนาการดีเยี่ยมไม่แพ้นางเอกเรา รวมถึงมีประวัติที่น่าเห็นใจจนบางช่วงจังหวะเราอาจจะคิดเห็นใจเธอขึ้นมาบ้าง เพราะเธอไม่ใช่ตัวละครที่เป็นตัวร้ายตั้งแต่ตอนต้นครับ แต่เธอเคยเป็นคนที่เคยโดน “กลั่นแกล้ง” มาก่อน
เป็นเสมือนที่ระบายอารมณ์ของเพื่อนๆ ในชั้น ซึ่งเธอก็โดนหนักมาก แต่เมื่อเป้าหมายเปลี่ยนไปด้วยเหตุผลที่สมกับเกิดขึ้นจากเด็กๆ... กลายมาเป็น “ฮารุกะ” สถานะของ รูมิ จากคนโดนกระทำ ก็เปลี่ยนไปทันที เพราะฉะนั้นสำหรับ รูมิ แล้ว ฮารุกะ คือคนที่ในชั้นเรียนนี้จะขาดไปไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้น ตัวเธอเองจะต้องกลับมาอยู่ในสภาพโดยกลั่นแกล้งอีกครั้งครับ ซึ่งถามจริงๆ พวกคุณไม่เห็นใจ รูมิ เหรอครับ ถ้าเป็นแบบนั้น
แม้ถ้ามองจากมุมมองผม ผมคงไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กที่ถูกกลั่นแกล้งอย่างรูมิ ถึงไม่ยอมใช้ความกล้าเพื่อตอบโต้ไปหาคนที่กระทำผิด ทั้งๆที่ตัวเองโดนขนาดนั้นแล้วก็ตาม แต่เลือกที่จะโยนภาระความซวยนี้ไปให้ฮารุกะ แน่นอนเธอรับรู้ถึงความเจ็บปวดตรงจุดนั้นดี แต่ทั้งๆที่เป็นอย่างนั้น รูมิกลับเลือกที่จะผสมโรงเข้ามาหาฮารุกะ ซึ่งมันเป็นความเจ็บปวดซ้ำซ้อนที่เรารู้สึกว่ามันไม่ควรจะเกิดขึ้นเลยนะครับ
แต่อย่างที่บอกเรื่องนี้ไม่ค่อยใส่เหตุผลชั้นเดียวมาให้ตัวละครหลักของเขา เรื่องนั้นรวมถึงตัว รูมิ ด้วยครับ เพราะเราจะได้เห็นอีกหนึ่งเหตุผลและตัวตนของเธอที่ทำไมเธอถึงร่วมผสมโรงและก่อเกิดปัญหาใหญ่อย่างในเรื่องนี้ได้อย่างไร้เหตุผลอันสมควร เพียงเพราะ “คนๆนั้น” คนเดียว แต่หากมองจากมุมมองผมแล้ว มาคิดอีกทีก็เข้าใจได้นะครับ ว่าเพราะอะไร .. เพราะสำหรับชีวิตเด็กๆทั่วไป
รวมถึงผู้ใหญ่อย่างเราด้วย การได้รับการยอมรับจากคนที่ตัวเองยกให้เหนือกว่า เป็นไอดอลของตัวเรานั้น มันเป็นความสุขอีกแบบที่มนุษย์หลายๆคนต้องการได้รับมัน .... เพราะแบบนั้น ตัวรูมิ ถึงเป็นอีกตัวละครในเรื่องที่ครบครันทั้งในแง่ของคนโดนกลั่นแกล้ง และ แปลเปลี่ยนเป็นผู้กลั่นแกล้งและผู้ทำลายชีวิตอย่างในเรื่องนี้ในท้ายที่สุดครับ
จากที่ผมบอกไป ในเรื่องของมิติและรายละเอียดของตัวละครในกลุ่มผู้กลั่นแกล้งเรื่องนี้ใส่มาได้ดี ไม่เยอะ แต่คนอ่านอย่างผมเข้าใจได้อย่างสบาย รับรู้ถึงสถานการณ์ได้โดยไม่ตกหล่น ซึ่งจริงๆผมอยากพูดอีกหลายตัวละครในกลุ่มเด็กพวกนี้ แต่ขอข้ามไปกลัวว่ามันจะเยอะไปครับ
ในแง่ครอบครัวอันนี้ในเรื่องจะชัดเจนมากๆว่ามันเป็นสาเหตุใหญ่ที่ส่งมอบความกดดันสูพวกเด็กจนพวกเด็กต้องส่งมอบความเจ็บปวดนี้ให้กับใครซักคนเพื่อระบาย ตามกลไกอันทุเรศของมนุษย์เรา ประโยคเด็ดที่มันสามารถบ่งบอกถึงกลุ่มผู้ปกครองของเด็กที่กลั่นแกล้งคนอื่นในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี คงหนีไม่พ้น ฉากที่เหล่าผู้ปกครองของเด็กพวกนี้มาทวงถามการหายตัวไปลูกๆของพวกเขากับคุณครูและหนึ่งในนั้นก็พูดออกมาว่า
“พวกเธอเองก็รู้ดีใช่ไหมล่ะ .. ว่าลูกตัวเองเป็นฝ่ายที่ถูกรังแก... หรือเป็นฝ่ายที่รังแกนะ....ฉันมั่นใจเลยละว่า...ลูกตัวเองเป็นฝ่ายรังแก เพราะถ้าเป็นฝ่ายถูกรังแกละก็ ....ฉันคงไม่มาทุกข์ร้อนจนถึงตอนนี้หรอก....” จากประโยคคำพูดนี้ คุณรู้สึกอะไรบ้าง คุณเข้าใจอะไรขึ้นไหม คุณคิดว่าคนที่พูดนี้เขาจะมีครอบครัวและเลี้ยงดูลูกออกมาเป็นแบบไหน ... นี่เป็นอีกหนึ่งประโยคในเรื่องที่ตอบคำถามและทำให้เข้าใจถึงสาเหตุในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีประโยคนึงเลยครับ
หลายๆเรื่องในแนวนี้ เรามักจะเห็นว่าอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เรื่องนี้บานปลาย นั่นก็คือ ครูประจำชั้น ที่เผิกเฉยและไม่ยอมแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง เอาละ ผมพอเข้าใจได้นะครับว่า ครูที่ออกมาปกป้องนั้นหลายครั้งจะเจอการตอบกลับที่รุนแรง เพราะที่นี่ให้ค่ากับเด็กมากๆ จนหลายๆคนเลือกที่จะปล่อยผ่านและเลือกที่จะไม่สนใจ พร้อมกับภาวนาให้เรื่องนี้มันจบแค่การแกล้งกันเล็กๆน้อยๆ
แม้ท้ายที่สุดเรื่องจะจบแบบที่น่าเศร้าที่สุดในเรื่อง ผมว่าครูหลายๆคนก็ยังเลือกที่จะเฉยอยู่ดี ซึ่งเรื่องนี้ ก็ตามเดิมครับ ครูในเรื่องก็เลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่ผมชอบการใส่รายละเอียดของครู “เคียวโกะ” คนนี้ออกมาในรูปแบบนี้นะครับ เพราะเธอเป็นหนึ่งในตัวจักรสำคัญให้เรื่องนี้สะเทือนใจมากขึ้น
สำหรับผม ครูเคียวโกะ แทบ ไม่ต่างจาก รูมิ เด็กที่โดนกลั่นแกล้งเลย เพราะเธอเป็นคนที่มีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อนและในฐานะแบบเดียวกันซะด้วย ซึ่งหากเป็นเรื่องปกติทั่วไป แนวฟิลกู๊ด เราอาจได้เห็นเธอมาเป็นครูเพื่อปกป้องไม่ให้เกิดปัญหานี้เกิดขึ้นกับเด็กคนอื่นที่เธอรับผิดชอบ แต่ทั้งที่ควรเป็นแบบนั้น ทั้งๆที่เธอก็รับรู้ถึงความเจ็บปวดนั้น
แต่เมื่อถึงเวลาเกิดขึ้นจริงๆ เธอก็เลือกที่จะเงียบ แม้นั่นจะทำให้ความทรงจำเลวร้ายในอดีตกลับมาหาเธออีกครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่สะท้อนให้เห็นชัดๆอีกครั้งว่าเรื่องการกลั่นแกล้งนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหยุดหรือทำให้มันหายไปได้เลย แม้แต่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ใหญ่ แม้แต่คนที่ถูกเรียกว่าคุณครู ก็ตามครับ
ชะตากรรมในเรื่องของ ครูเคียวโกะ สำหรับผมถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่มีชะตากรรมน่าเห็นใจครับ ทั้งในฐานะคนที่เคยเจ็บมาก่อน และคนที่ต้องหาทางแก้ไขปัญหาการกลั่นแกล้งในชั้นแต่ท้ายสุดเธอก็พ่ายแพ้ให้กับความจริงอันโหดร้ายว่าเธอไม่แข็งแกร่งพอที่จะยอมเจ็บปวดแทนตัวเด็ก จนสุดท้าย ถึงมีจุดจบอย่างในเรื่อง ที่เธอก็ต้องการเพียงแค่ ต้องการให้การศึกษาในปีนี้ที่เป็นปีสุดท้าย จบลงอย่างที่ควรจะเป็นก็ตาม... เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่น่าเห็นใจและสร้างความสะเทือนใจได้ดีมากๆครับ
เอาละครับ คราวนี้เรากลับมามองที่ฝั่งของ ฮารุกะ ผู้โดนกลั่นแกล้งบ้างนะครับ ผมจะบอกว่านี่เป็นตัวละครเด็กแกร่งอีกคนนึงที่เคยเห็นมาเลยครับ จริงๆ ตัวเนื้อเรื่องถ้าเราเก็บรายละเอียดมาจะพบว่า เธอที่เดินทางมาจากโตเกียวเพราะคำว่า “ครอบครัว” นั้น ต้องรับบทที่น่าสงสารแค่ไหนกับการเดินทางมาที่แห่งนี้ ... ผมชอบมากๆนะครับ ที่เรื่องเปิดมาให้เห็นถึงเธอที่โดนกลั่นแกล้งแล้ว
และได้เห็นเหตุผล ซึ่งยอมรับได้มากๆในสังคมญี่ปุ่น อย่างคำว่า “คนนอก” แต่ก็ยิ่งชอบขึ้นไปอีกเมื่อเห็นการแทรกตอนพิเศษที่ทำให้เราเห็นว่าจริงๆแล้วมันมี “สาเหตุ” อีกหนึ่งสิ่ง ที่สำคัญและเป็นจุดเปลี่ยนที่แท้จริงๆ ซึ่งตรงจุดนี้ผมคิดว่า “มันเป็นเหตุผลที่เหมาะกับเด็กๆหรือวัยรุ่นมากๆ” นะครับ ใครจะคิดว่าเพราะเรื่องนี้ ต่างหากที่มีส่วนผลักวิธีชีวิตที่เดินอยู่บนทางที่ราบเรียบและไม่มีอันตรายของเธอ ให้ตกไปยังขอบเหวลึกลงเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลเรื่องนี้แหละ !!!
ตัวฮารุกะอาจจะมีมิติที่ไม่หลากหลายซักเท่าไหร่หากมองจากทั้งเรื่องที่มีตัวละครจี๊ดจ๊าดมากมาย เพราะเราจะเห็นบทชัดเจนของเธอเมื่อเธอเดินเกมส์การแก้แค้นแล้วนั้น แต่หากมองในแง่ของความสำคัญและการรับบทที่ลึก ตัวละครนี้เป็นตัวละครที่น่าเห็นใจมากๆ ไม่ใช่เพราะแค่เธอเป็นคนโดนกลั่นแกล้งเท่านั้น
แต่เป็นเพราะว่าเป็นผมก็ไม่เข้าใจว่า เธอ “ทำผิดพลาดมันตรงไหน” ถึงทำให้เรื่องกลายเป็นแบบนี้ เพราะเธอเหรอ ซึ่งหากเป็นผม มันคงเป็นคำถามที่ติดอยู่ในใจแน่นอนครับ การเป็นตัวละครที่ต้องระเบิดด้วยสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร มันน่าเห็นใจในสิ่งที่เธอต้องเจอมากๆครับ
เอาจริงๆแม้ในเรื่องนี้ ฮารุกะ คือนางเอกและหัวใจของเรื่อง แต่ผมขอบอกว่า รางวัล MVP ของเรื่องนี้สำหรับผมคงต้องยกให้กับ “มิตสึรุ” คนสำคัญของ ฮารุกะ ผู้ที่จุดเปลี่ยนแปลงของเรื่องอย่างแท้จริงและเป็นผู้ที่มีบทบาทพลิกผันอย่างไม่น่าเชื่อสำหรับผมครับ
ตัว มิตสึรุ คือเพื่อนชายที่มีลักษณะไม่แตกต่างจาก ฮารุกะ ในแง่ที่ว่า เขาก็คือคนนอกที่เดินทางย้ายมาอยู่ในเมืองเล็กๆแห่งนี้ ก่อนหน้า ฮารุกะ ไม่นาน ซึ่งสำหรับทุกคนในห้องเขาควรเป็น “คนนอก” เช่นกัน แต่ตอนแรกผมไม่เอะใจว่าทำไม มิตสึรุ ถึงไม่โดนกลั่นแกล้ง ในเมื่อเขามีสถานะความเป็นมาเหมือนกับ ฮารุกะ ตรงจุดนี้ผมไม่พลาดที่จะคิดไปในตอนแรกครับ
แต่ถ้าการที่ผมพูดอย่างนี้แล้วทุกคนที่ยังไม่ได้อ่านจะคิดว่า แท้จริงแล้วเขาเป็นบอสหรือคนต้นเรื่องกลั่นแกล้งหรือเปล่า ก็ขอบอกเลยว่าไม่ใช่แบบนั้นครับ เขาเป็นเด็กผู้ชายที่รัก และเห็นใจ เป็นเพื่อนคนสำคัญสำหรับ ฮารุกะ เป็นคนที่หยิบยื่นความอบอุ่นและทำให้เธอรู้สึกว่าในเมืองเล็กๆแห่งนี้ยังมีคนอื่นที่ทำให้เธอมีความสุขอยู่ .... แต่เพราะแบบนั้นเมื่อถึงจุดเปลี่ยนมันถึงสะเทือนใจมากขนาดนั้นครับ
ผมไม่คิดจริงๆนะครับ ว่าเรื่องจะให้เขาเล่น “บท” แบบนี้ ทั้งๆที่เขาควรจะเล่นตามบทที่เราได้เห็นกัน แต่อยู่ๆ มาจังหวะที่ใส่รายละเอียดบางอย่างของเขาเข้าไป ผมก็ตูม ระเบิดเป็นโกโก้ครันเลยครับ กับสิ่งที่เขาเจอ กับสิ่งที่เขาคิด กับสิ่งที่เขาทำ โดยที่ทุกอย่างเขาคิดได้ตรงกับชีวิตของมนุษย์ที่กำลังมีความรัก นั่นก็คือความสุขของตัวเอง และ คนที่เขารักอย่าง ฮารุกะ เท่านั้นครับ
แต่นั่นก็เหมาะกับบทบาทของการเป็นเด็กของเขาได้ดีว่า สุดท้ายเขาก็คืออีกหนึ่งภาพสะท้อนของสังคมญี่ปุ่น ที่ไม่เคยห่างหายจากคำว่าแรงกดดันเลย ... เป็นอีกตัวละครที่ใครได้อ่านคงรู้สึกไม่ต่างจากผมครับ เพราะฉะนั้นเอาไปเลย รางวัล MVP ของเรื่องนี้ครับ
ผมชื่นชอบสไตล์การเล่าในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะเรื่องเล่าได้อย่างดีมีสไตล์มากๆครับ เล่าความจริงที่เกิดขึ้นในเรื่องมาให้เราเห็น โดยไม่ทำให้เราเอะใจเลยว่า มันคือความจริงแค่บางส่วน เพราะยิ่งเล่า เราก็จะหลงเข้าใจและเดินไปตามทางอย่างที่เรื่องต้องการเล่าโดยไม่เอะใจซักนิด
แต่เมื่อถึงจังหวะที่เขาอยากตบหน้าคนอ่าน ก็จะปล่อยหมัดหนักๆออกมา หรือ เป็นหมัดตบหน้าเบาๆ แต่สะเทือนถึงอารมณ์คนอ่านเป็นอย่างมากครับ เพราะด้วยเนื้อหาที่เต็มไปด้วยเหตุและผลอย่างในเรื่องนี้ ทุกส่วนมันคือความจริง การฉายภาพให้เห็นได้อย่างชัดเจนของเรื่องนี้ มันคือความหนักที่หลายๆเรื่องในแนวนี้ ทำไม่ได้ หรือ ทำไม่ถึง หรือแม้แต่เลี่ยงที่จะทำ หรือมองข้ามไปเลยก็มีนะครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ผมอยากจะบอกว่า คงมีไม่กี่เรื่องที่ผมต้องยอมรับว่า ภาพไม่สวย แต่มันได้เว้ยเฮ้ย ... จริงๆนะ คือสำหรับผมภาพวาดในเรื่องนี้ไม่โดนสเปคผมซักเท่าไหร่ครับ แต่กลับกลายเป็นว่าทำออกมาได้หนักแน่นและเข้าได้ดีกับเนื้อหาหนักๆ เสียดสีสังคมแบบนี้มากๆครับ ฉากการต่อสู้ ฉากการแก้แค้น หรือแม้แต่ฉากที่ต้องการสื่อสารทางอารมณ์ทั้งพลุ่งพล่าน
ทั้งเงียบเหงาของอารมณ์ ทั้งเดือนระอุ ในสภาพความหนาวเย็นของทั้งเรื่องนี้ ทุกอย่างทำได้ดีอย่างไม่มีที่ติเลยครับ ซึ่งแม้เป็นผลงานเก่า ที่ไม่เน้นรายละเอียด แต่นี้คือตัวอย่างของการวาดออกมาให้ถึง โดยไม่เน้นความสวย ผมถึงบอกว่ามีไม่บ่อยที่ผมจะรู้สึกแบบนี้กับงานวาดที่ออกมาไม่สวยและไม่ตรงสเปคผมครับ แต่เรื่องนี้ต้องยอมจริงๆครับ
MISUMISOU เป็นผลงานของ อ.RESUKE OSHIKIRI ครับ ซึ่งในเมืองไทยมีผลงานของ อ. เขาอีกเรื่องสองเรื่องนะครับ และจริงๆเรื่องนี้เป็นมังงะที่ถูกเขียนมานานแล้วนะครับ ออกมาตั้งแต่ปี 2007-2009 ได้ครับ แต่ด้วยความแรงของเนื้อหา เลยไม่ถูกซื้อมาพิมพ์ในเมืองไทย แต่สำหรับบ้านเราเรื่องนี้เคยมีผู้แปลให้อ่านกันทางเน็ทกันมานานแล้ว ซึ่งผมได้อ่านตั้งแต่ตอนนั้นแล้วครับ
แต่ครั้งนี้อย่างที่บอกว่าเป็นการรีวิวในเวอร์ชั่นหนังสือนะครับ โดยครั้งนี้ ค่ายที่หยิบจับมาพิมพ์เป็นเวอร์ชั่นหนังสือก็คือ ค่าย “Bootlegg comics” ครับที่ก่อนหน้านี้เคยได้อ่านผลงานของค่ายนี้มาบ้างแล้ว เพราะฉะนั้นคงขาดไม่ได้ที่จะไม่รีวิวว่าผลงานการพิมพ์รอบนี้สำหรับเรื่องนี้เป็นอย่างไรบ้างนะครับ
MISUMISOU หรือที่เราคุ้นชื่อกันก่อนหน้านี้อย่าง “ลำนำดอกโศก” ซึ่งในครั้งนี้ สนพ ได้แปลเปลี่ยนเป็นชื่อใหม่คือ “ดอกหญ้าวันฟ้าใส” ซึ่งผมเข้าใจว่าการใช้ชื่อนี้เพื่อให้ตรงกับดอกไม้สำคัญในเรื่องที่เป็นเสมือนตัวแทนและกิมมิคของเรื่องครับ โดยในเวอร์ชั่นหนังสือนี้ พิมพ์ออกมา 3 เล่มจบตามญี่ปุ่นนะครับ(ถ้าจำผิดต้องขออภัยนะครับ) โดยตัวเล่มมีขนาดเท่ากับหนังสือการ์ตูนทั่วไปครับ
ซึ่งใช้เป็นแบบปกนอกปกในตามความนิยมตอนนี้นะครับ ปกนอกใช้ภาพสี ซึ่งพิมพ์ออกมาได้สวยงามครับโดยวางชื่อภาษาอังกฤษตัวไม่เล็กไม่ใหญ่ไว้ด้านหน้า ตรงมุมบน และใช่ชื่อภาษาไทยตัวใหญ่วางตามแบบญี่ปุ่น ครับ งานพิมพ์ปกไม่มีปัญหาอะไรครับ สวยงามและเข้าเล่มได้ดีครับ
ปกด้านในเป็นอะไรที่ผมชอบมากเพราะแม้จะหยิบรูปที่มีอยู่ในเนื้อหามาพิมพ์ไม่ใช่รูปใหม่ แต่ก็ดีกว่าใช้รูปบนปกในเหมือนปกนอกครับ อย่างนี้ยังสร้างความต่างได้บ้างครับ โดยภาพปกข้างในพิมพ์สองสีนะครับ โดยใช้เป็นรูปอย่างเดียวไม่มีชื่อเรื่องพิมพ์กำกับไว้นะครับ
ตัวหนังสือใช้วิธีเปิดอ่านแบบญี่ปุ่นนะครับ โดยงานพิมพ์ทำได้ดีนะครับ คมชัดในระดับที่ดีใช้ได้ครับ รวมถึงงานแปลที่แปลออกมาได้ดี อ่านแล้วเข้าใจ งานพิมพ์ไม่เจอคำผิดนะครับเท่าที่อ่านมา โดยเนื้อหาเล่มที่สามจะมีขนาดที่หนากว่าสองเล่มแรกครับ คิดว่าจำนวนกระดาษน่าจะมีเยอะกว่าเล่มแรกและเล่มสองครับ โดยภาพวร
“ดอกหญ้าวันฟ้าใส” แม้หน้าหนังสืออาจจะบอกได้ว่า มันคือหนังสือการ์ตูนแนวล้างแค้นของการกลั่นแกล้งกัน แต่ผมบอกได้เลยว่าเรื่องนี้เป็นการ์ตูนในจำนวนน้อยนิดที่หยิบเรื่องราวการกลั่นแกล้ง มาเล่าได้อย่างหลากหลายมุมมอง ซึ่งแม้ผมจะบอกไม่ได้ว่าสมบูรณ์แบบ แต่ผมบอกได้เลยว่าทำทุกอย่างออกมาได้สมบูรณ์มากๆ
ทั้งเนื้อหา ความซับซ้อน การเล่าเรื่องที่กระชับ การนำเสนอภาพความรุนแรงของการกลั่นแกล้ง สภาพครอบครัว ตัวละครที่ได้รับความกดดัน เหตุผลการรองรับที่มีหลายชั้น และภาพความสะใจของการแก้แค้นที่มาพร้อมหัวใจที่สลายของคนอ่านอย่างเราๆครับ เป็นอีกเรื่องที่แนะนำให้อ่านครับ แม้จะสร้างความหดหู่และรู้สึกดาวน์ให้กับคนอ่านอยู่บ้างครับ แต่อย่างที่ย้ำครับ ว่านี่คือเรื่อง ห้ามพลาด ด้วยประการทั้งปวงครับ
ภาพ 8.9/10
เรื่อง 10/10
ความประทับใจ 10/10
#Manga #รีวิวการ์ตูน #จบ #2เล่มจบ #bootleggcomics #การ์ตูนแนวดราม่า #การ์ตูนแนวสะท้อนสังคม #MangaAnimeReviews #การ์ตูนแนวหดหู่ #10คะแนน #ดอกหญ้าวันฟ้าใส #หนังสือการ์ตูน #Rate18 #เธอๆอ่านเรื่องนี้หรือยัง
2 บันทึก
3
3
2
3
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย