26 ก.ย. 2022 เวลา 03:03 • หุ้น & เศรษฐกิจ
บันทึก Perfect Storm ... W38/156
2
นานๆ เศรษฐกิจจะเกิดวิกฤตที่สำคัญ
ครั้งสำคัญในช่วงที่ผ่านมา ก็คงเป็น
The Great Depression 1929-1939
Oil Price Shocks 1970s
Global Financial Crisis 2008
การได้อยู่ร่วมสมัยกับวิกฤต สำหรับนักเศรษฐศาสตร์ ต้องถือว่าเป็นโชคดีของชีวิต
เพราะวิกฤตเป็นสิ่งที่อาจารย์ไม่ค่อยสอนในโรงเรียน
แต่ต้องเรียนรู้เองจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
น่าจดบันทึกไว้เป็นความทรงจำ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง :)
1
ทั้งนี้ จากการประเมินเบื้องต้น
วิกฤตรอบนี้คงใช้เวลาประมาณ 3 ปี นับแต่ต้นปี 2022
ซึ่งถ้าเรานับจากจุดนั้น สัปดาห์ที่ผ่านมา ก็จะเป็นสัปดาห์ที่ 38 จาก 156
ผ่านมาได้ประมาณ ¼ ของระยะทางทั้งหมด
1
ที่จะประกอบด้วย 4 ช่วงคร่าวๆ
• ช่วงแรก (6 เดือนแรกของ 2022) - นักลงทุนเร่ง Exit ออกจากตลาด ซึ่งช่วงนี้ได้ผ่านไปมากแล้ว ส่งผลให้เกิด Investment Storm ในตลาดการเงินโลกในช่วงที่ผ่านมา โดยผู้ที่เก็งกำไรในช่วงตลาดกระทิงระหว่างโควิด พยายามหนีตายออกจากตลาด หลังชัดเจนว่า Party is over
• ช่วงสอง (ต้นปี 2022-ปลายปี 2023) - เฟดพยายามเร่งขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสู้ศึกเงินเฟ้อ และเงินเฟ้อเริ่ม Peak และลงมาบางส่วน ซึ่งช่วงที่สองนี้ได้เริ่มมาแล้วประมาณ 6 เดือน คงเหลือเวลาในช่วงนี้อีกประมาณ 1 ปี ระหว่างที่เฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย ไปสู่ระดับที่น่าจะสูงพอกับการจัดการเงินเฟ้อ โดยอย่างน้อยก็ต้อง 5% ขึ้นไป และคงไว้ระดับนั้นระยะหนึ่ง โดยในช่วงเวลานี้ เงินเฟ้อก็จะเริ่มลดลงมาบ้าง แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงอยู่
1
• ช่วงที่ 3 (กลางปี 2023-ปลายปี 2024) – จากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมากในช่วงที่ 2 โลกจะเข้าสู่ภาวะ Global Recessions ที่ชัดเจนในปี 2023 โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วจะต้องเผชิญหน้ากับเศรษฐกิจถดถอย คนที่ตกงานเพิ่มขึ้น สุดท้ายเงินเฟ้อก็จะลดลงมาใกล้เป้าหมาย 2% ขณะเดียวกันอีกข้างหนึ่ง ปัญหาใน Emerging Markets ก็จะสุกงอมมากขึ้น ทำให้เกิดวิกฤตใน Emerging Markets
1
• ช่วงที่ 4 (กลางปี 2024 เป็นต้นไป) - เฟดก็จะเริ่มที่จะลดดอกเบี้ยลงมา หลังมั่นใจว่าเอาเงินเฟ้ออยู่แล้ว และเข้าสู่ช่วงของการกระตุ้นเพื่อฟื้นเศรษฐกิจรอบใหม่ และ Emerging Market Crisis ก็จะค่อยๆ สงบลงในปี 2025 โลกก็จะเข้าสู่ช่วงใหม่ของการเจริญเติบโต
 
โดยในระหว่าง 3 ช่วงแรก
จะมีปัญหาเกิดขึ้น 3 ระลอก ใน 3 จุด
ตลาดการเงิน เศรษฐกิจจริง และ Emerging Markets
ส่วนในช่วงสุดท้าย ระหว่างการกลับคืนสู่ปกติ
ก็จะมีความผันผวนในตลาดการเงินอีกแบบ จากดอกเบี้ยที่ลดลง และค่าเงินที่กลับสู่ปกติอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม เส้นทาง 4 ช่วงนี้ เป็นมุมที่มองจากกลไกด้านเศรษฐกิจเป็นสำคัญ
ได้แต่แอบหวังว่า Geopolitics ระหว่างสหรัฐ รัสเซีย จีน จะไม่ลุกลามบานปลาย
จนทำให้เกิดวิกฤตซ้อนวิกฤต
กระทบกับ Timeline ข้างต้น และนำไปสู่เส้นทางใหม่ที่ยาวไกลกว่าเดิม
สำหรับบันทึก Perfect Storm สัปดาห์ที่ 38 ที่เพิ่งผ่านมา นั้น
คงต้องบอกว่า
วิกฤตได้เริ่มเข้าสู่ช่วงใหม่เต็มรูปแบบ
ที่กล่าวเช่นนี้ เพราะชัดเจนว่า
(1) การประชุมเฟดในกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา
เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ ที่ทำให้ทุกคนเห็นชัดว่า
เฟดเอาจริง
จะจัดการเงินเฟ้อ ให้ได้
โดยความเสียหายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น
เฟดรับได้
ต้องชนะศึกเงินเฟ้อเท่านั้น
ทำให้คำถามของสังคมและผู้สื่อข่าวเริ่มเปลี่ยนไป
จากเดิม ที่ถามกันมากว่า
เฟดขึ้นดอกเบี้ยช้าไปหรือไม่
เฟดขึ้นน้อยไปหรือไม่
เฟดจะเอาเงินเฟ้ออยู่หรือไม่
ตอนนี้ คำถามเริ่มกลายเป็นว่า
เฟดทำมากไปหรือไม่ overdoing it หรือ gone too far หรือไม่
เฟดจะหยุดการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อรอดูผลบ้างหรือไม่
เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยไปถึงไหน
เมื่อไหร่จะลดดอกเบี้ย
แล้วเฟดจะทำให้คนตกงานเท่าไหร่
เฟดเคยคิดถึงคนที่จะตกงานเหล่านี้ หรือไม่
เป็นหนังคนละม้วนกับช่วงก่อนหน้า
(2) เศรษฐกิจสหรัฐได้เริ่มเปลี่ยน
จาก “คึกคัก” “ร้อนแรง” มาสู่โหมด “ชะลอตัว” อย่างชัดเจน
โดยการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด กำลังเข้าสู่ Restrictive Zone
ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยยะสำคัญ
ดอกเบี้ยพันธบัตร 2 ปี เพิ่มมาที่ 4.2% จากที่เคยอยู่ที่ 0.25% เมื่อ 1 ปีที่แล้ว
ดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน 30 ปี เพิ่มมาที่ 6.29% จากที่เคยอยู่ที่ 3.0%
ถ้าช่วงแรก นักลงทุนสะเทือน จากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ต่างๆ
ช่วงนี้จะกลายเป็น ภาคการผลิต ภาคอสังหาริมทรัพย์ เศรษฐกิจจริง คนทั่วไป สะเทือนแทน
(3) นักลงทุนที่หวนเข้าตลาดนับแต่กลางมิถุนายนที่ผ่านมา
กำลังเผชิญปัญหารูปแบบใหม่
จากเดิมหุ้นตกเพราะคนแย่งกันออก
แต่ผลประกอบการที่ยังดี
ทำให้หลายคนเข้าตลาดอีกครั้ง
แต่ตอนนี้ เมื่อเศรษฐกิจจริงเริ่มได้รับผลกระทบ
ผลประกอบการบริษัทต่างๆ เริ่มไม่ได้ตามเป้า
สำนักวิเคราะห์จึงปรับลดราคาเป้าหมายของหุ้นต่างๆ ลงมา
ส่งผลให้นักลงทุนเร่งออกจากตลาดในรอบที่ 2
ล่าสุด ดัชนี Dow Jones ได้ลดลงต่ำกว่า 30,000 จุด
ต่ำกว่าที่เคยลงไปในรอบแรกเมื่อมิถุนายนที่ผ่านมา
และต่ำกว่าช่วงก่อนที่จะเกิดโควิดเรียบร้อย
ทำให้ฟองสบู่ที่เกิดขึ้นช่วงโควิด หายไปอีกฟอง !!!
ส่วนเป้าถัดไป ก็คงเป็น Nasdaq และ S&P
(4) แนวรบด้านตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเริ่มเข้มข้นขึ้น
ทุกคนเริ่มพูดถึงปัญหาใหม่ Strong Dollar
ล่าสุด ค่าเงินดอลลาร์ล่าสุดทะลุ 113 เรียบร้อย
ทำให้ดอลลาร์กลายเป็นหนึ่งใน Best Performing Assets
ปีนี้ แข็งขึ้นประมาณ 20% !!!
ส่งผลให้เงินของหลายสกุลทำ New Low แล้ว Low อีก
และทำให้ธนาคารกลางต่างๆ อยู่ไม่ติดที่
ต้องชี้แจง ต้องเข้าแทรกแซง ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยตาม
โดยเงินเยน หนึ่งในสกุลเงินหลักของโลก
จากที่เคยอยู่ประมาณ 115 เยน/ดอลลาร์ ได้อ่อนทะลุ 146 เรียบร้อย
กดดันให้ทางการญี่ปุ่นต้องเข้าแทรกแซง เป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี !!!!
ซึ่งคงต้องบอกว่า ปัญหา Strong Dollar ก็ยังไม่จบง่าย
จะยังกดดันทุกประเทศไปอีกระยะ
แม้วันต่อวัน ช่วงสั้นๆ จะเอาแน่ไม่ได้ ว่าจะอ่อนหรือแข็ง
แต่ในระยะยาว จากความแตกต่างของนโยบายของประเทศหลักๆ และส่วนต่างดอกเบี้ยที่กว้างขึ้นเรื่อยๆ
ทำให้ Carry Trades กำลังหวนกลับคืนมา
ทำให้เราได้เห็นสถิติค่าเงินใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ซึ่งเป้าหมายถัดไปที่น่าจับตามอง ก็คือ เงินปอนด์
ที่เราอาจจะเห็น 1 ปอนด์ ต่อ 1 ดอลลาร์ได้
(5) ด้าน Geopolitics ก็เข้มข้นไม่แพ้กัน
กับข่าวท่านปูตินบุกต่อ และข่าวลือท่านสี
จึงนับว่าเป็นสัปดาห์ที่มีสีสันอย่างยิ่ง
ส่วนสัปดาห์นี้ เรามาลุ้นกันต่อเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของ กนง ว่าจะขึ้นเท่าไหร่
และลุ้นข้อมูลเศรษฐกิจไทยล่าสุดว่า จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตมากน้อยแค่ไหน ครับ
#บันทึกPerfectStorm #ดรกอบ
ผู้เขียน : กอบศักดิ์ ภูตระกูล
โฆษณา