26 ก.ย. 2022 เวลา 03:26 • หุ้น & เศรษฐกิจ
News Update: ‘หยวน-เยน’ จุดชนวนวิกฤติการเงินเอเชียครั้งใหม่ อ่อนค่าหนัก แตะระดับช่วง ‘วิกฤติต้มยำกุ้ง’ 1998 หลังเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคต่อเนื่อง
1
ตลาดเอเชียเสี่ยงเกิดวิกฤติอีกครั้ง หลังสกุลเงินที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคทั้ง ‘เงินหยวนและเงินเยน’ อ่อนค่าลงอย่างหนักจากการแข็งค่าต่อเนื่องของดอลลลาร์
1
เงินเยนและหยวนยังอ่อนค่าลงจากความแตกต่างระหว่างนโยบายการเงินเข้มงวดของสหรัฐฯ กับนโยบายการเงินผ่อนคลายของจีนและญี่ปุ่น ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียกำลังจัดการกับทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเพื่อลดความเสียหายจากดอลลาร์แข็งค่า แต่การอ่อนค่าของเยนและหยวนอาจทำให้ทุกอย่างแย่ลง
ที่ผ่านมา เงินเยนมีการอ่อนค่าไปถึงระดับ 145 เยนต่อดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการอ่อนค่ามากที่สุดในรอบกว่า 24 ปี ซึ่งเงินเยนเคยอ่อนค่าแตะระดับนี้ในปี 1998 เป็นช่วงเดียวกับวิกฤติการณ์การเงินในเอเชีย ‘ต้มยำกุ้ง’ โดยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน เงินเยนได้อ่อนค่าไปแล้วกว่า 24% เมื่อเทียบกับดอลลาร์
Jim O’Neill อดีตหัวนักเศรษฐศาสตร์ด้านสกุลเงินของ Goldman Sachs มองว่า หากเยนลงไปอ่อนค่าหนักถึงระดับ 150 เยนต่อดอลลาร์ อาจทำให้เกิดความวุ่นวายเช่นเดียวกับวิกฤติการณ์การเงินในเอเชีย
1
Vishnu Varathan หัวหน้านักกลยุทธ์และนักเศรษฐศาสตร์จาก Mizuho Bank ในสิงคโปร์กล่าวว่า เงินหยวนและเยนมีอิทธิพลในภูมิภาค ดังนั้น การอ่อนค่าลงของทั้ง 2 สกุลเงิน ทำให้เกิดความไม่มั่นคงต่อการซื้อขายและการลงทุนในเอเชีย
Varathan กล่าวว่า ในบางแง่มุมเรากำลังมุ่งหน้าไปสู่ความตึงเครียดในระดับวิกฤติการเงินโลก และหากการสูญเสียรุนแรงขึ้น ขั้นตอนต่อไปอาจจะเป็นวิกฤติการเงินในเอเชีย
1
ทั้งจีนและญี่ปุ่นทรงอิทธิพลต่อประเทศที่เหลือในภูมิภาคมาก โดยจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเวลา 13 ปีติดต่อกัน ขณะที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก และเป็นผู้ส่งออกเงินทุนและเครดิตรายใหญ่
การอ่อนค่าลงของเยนและหยวนอาจขยายตัวกลายไปเป็นวิกฤติครั้งใหญ่ หากกองทุนต่างประเทศดึงเงินออกจากประเทศในภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้ยังอาจนำไปสู่วงจรการแข่งขันด้านนโยบายค่าเงินอ่อน (Competitive Devaluations) รวมถึงอุปสงค์และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง
ข้อมูลจาก Bloomberg รายงานว่า เงินไหลออกจากภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ กองทุนทั่วโลกได้นำเงินออกไปประมาณ 44,000 ล้านดอลลาร์ในหุ้นไต้หวัน 20,000 ล้านดอลลาร์จากหุ้นอินเดีย 13,700 ล้านดอลลาร์จากหุ้นเกาหลี และ 8,200 ล้านดอลลาร์ในหุ้นอินโดนีเซีย
2
โฆษณา