ในทางทฤษฎี “เงิน” ทำหน้าที่สำคัญสามประการได้แก่ 1) สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Medium of Exchange) 2) เป็นมาตรฐานในการใช้วัดมูลค่า (Unit of Account) และ 3) เป็นเครื่องรักษามูลค่า (Store of Value) โดยงานศึกษาหลายชิ้นในปัจจุบันยังตั้งคำถามว่าบิตคอยน์อาจไม่สามารถทำหน้าที่ทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมาได้ในหลายมิติจาก
a) สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Medium of Exchange) บิตคอยน์จะเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนได้จะต้องเกิดจากการยอมรับของคนในวงกว้าง อย่างไรก็ตามการที่ทุกคนจะยอมรับบิตคอยน์จำเป็นต้องเห็นจำนวนผู้ใช้งานบิตคอยน์เพื่อซื้อสินค้าและบริการสูงมากพอที่จะทำให้เกิด network effect และดึงดูดคนอื่นเข้ามาใช้บิตคอยน์
c) เครื่องรักษามูลค่า (Store of Value) “เงิน” ที่ดีจะต้องทำให้ผู้ใช้มั่นใจว่าจะสามารถคงมูลค่าไว้เพื่อซื้อสินค้าและบริการในอนาคตในมูลค่าที่ใกล้เคียงกัน สำหรับบิตคอยน์ยังคงเป็นคำถามที่ยังถกเถียงกันอย่างแพร่หลายว่าบิตคอยน์เป็นเครื่องรักษามูลค่าได้จริงหรือไม่ โดยปัจจัยสำคัญที่สามารถใช้พิจารณามีดังต่อไปนี้
a. มูลค่าพื้นฐานของบิตคอยน์ ปริมาณของบิตคอยน์ที่จำกัดโดยที่ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งสามารถเพิ่มปริมาณของบิตคอยน์จากโปรแกรมที่ถูกตั้งไว้ได้เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลายคนเชื่อว่าบิตคอยน์สามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องรักษามูลค่าได้
b. ความปลอดภัย ในระบบของบิตคอยน์มีการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ซึ่งมีความโปร่งใสในการกระจายธุรกรรมทั้งหมดให้แก่สาธารณะชนได้รับรู้แต่ยังคงความปลอดภัยไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งสามารถเปลี่ยนบันทึกธุรกรรมนี้ได้
c. ความผันผวน มูลค่าที่ผันผวนของบิตคอยน์เทียบกับเงินสกุลอื่นทำให้ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องรักษามูลค่าที่ดีในปัจจุบันที่บิตคอยน์ยังไม่ได้ถูกยอมรับให้เป็นสกุลเงินฐาน ด้วยความที่ราคาของบิตคอยน์อ้างอิงกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ
3) ระบบที่ไม่มีผู้ดูแลเสถียรภาพทางการเงินจะไม่สามารถสร้างความมั่นใจในระบบการเงินในยามวิกฤตได้ หนึ่งในบทบาทที่สำคัญที่สุดของธนาคารกลางคือการเป็นผู้ดูแลเสถียรภาพของระบบการเงินในฐานะผู้ให้กู้แหล่งสุดท้าย (Lender of Last Resort)
ข้อเสนอของ John Taylor ชี้ให้เห็นว่าการดำเนินนโยบายการเงินในยุคก่อนมีการปรับดอกเบี้ยที่น้อยกว่าเงินเฟ้อ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงไม่เปลี่ยนแปลงไปตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบายที่เป็นตัวเงิน และทำให้นโยบายการเงินมีประสิทธิภาพต่ำ
เช่น Taylor rule ที่เป็นข้อเสนอของกฎในการดำเนินนโยบายการเงินโดยให้อัตราดอกเบี้ยตอบสนองต่อส่วนต่างระหว่างอัตราเงินเฟ้อและอัตราเงินเฟ้อเป้าหมายของธนาคารกลาง และ Output gap (ส่วนต่างระหว่างผลผลิตที่แท้จริงกับผลผลิตศักยภาพ) ซึ่งเป็นการลดอำนาจในการตัดสินใจของผู้ดำเนินนโยบายลงในขณะเดียวกันยังสามารถรักษาบทบาทของนโยบายการเงินในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจไว้ได้