28 ก.ย. 2022 เวลา 21:39 • ความคิดเห็น
พูดถึงสังคม มันกว้างมาก
อยู่ที่คุณต้องการสังคมแบบไหน
คุณก็ทำตัวแบบนั้นค่ะ
อยากได้สังคม ก็เข้าสังคมนั้นๆ
หรือเข้าสังคมที่เป็นแบบคุณต้องการได้ เช่น สังคมวิปัสสนา สมาธิ เกษตร การเมือง การกุศล ธุรกิจ LGBT แล้วแต่เลือกค่ะ ก็ขึ้นอยู่กับคนที่เชื่อมต่อกัน
ถ้าเข้ากันกับเขาไม่ได้ สร้างสังคมของตัวเองได้ค่ะ หรือจะอยู่บ้านลำพังก็ไม่เลวนะ ใครว่าแย่ อาจลดเรื่องปวดหัวไปได้เยอะ มีโลกโซเชี่ยลอยู่ในมือ ก็ดีนะ ไม่เหงาแล้ว
ส่วนเรื่องนิสัยใจคอจะถูกใจคุณหรือไม่อันนี้แล้วแต่คนค่ะ ให้เลือกคบ เลือกคุยได้ คุณกำหนดเองได้ค่ะ
ก็สังเกตุว่า คลื่นพลังงานของคุณเป็นแบบไหน คุณก็จะได้คนที่มีคลื่นพลังงานเดียวกันกับคุณ แต่ถ้าไม่ใช่ จะจับขั้วไม่ได้ ก็จะผละออกไปเอง
เมื่อไหร่ที่ใจคุณปรับคลื่นพลังงานในตัวเองได้ตามที่คุณต้องการ คลื่นนี้จะไปดึงดูดคนแบบที่คุณต้องการเข้ามาเอง อันนี้ใครอื่นสร้างให้ไม่ได้ ต้องจูนคลื่นเองค่ะ
ความต้องการของสังคมก็ขึ้นอยู่กับคนในสังคมนั้นๆ ว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร มันก็คล้ายกับเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม อันนี้เขาสอนให้อยู่เป็น
สังคมกลายเป็น สังคมโลก หรือ Global ไปแล้วค่ะ อันนี้สังคมระดับใหญ่ อยู่ที่โลกโซเชี่ยลแล้ว กลายเป็นสังคมต้องการความรู้ และให้ความรู้ไปแล้ว
ถ้าพูดขำๆก็แบบว่าสังคมต้องการ ค่าเน็ต มากที่สุด แต่ถ้าพูดถึงเรื่องพื้นฐานที่ยังคงอยู่ มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์และอนาคตคือ น้ำใจ สังคมยังต้องการการแบ่งปัน การให้ การช่วยเหลือกันอยู่เสมอ
เมืองไทยจึงมีความสามารถกู้เงินได้อย่างมหาศาล เพราะทั่วโลกเขารู้ว่า สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการให้และแบ่งปัน จากการช่วยเหลือกันในระดับครอบครัว เพื่อนฝูง และระดับชาติ
สมัยคืนเงินกู้ให้ IMF มีคนนำรวมเงินคือหลวงตามหาบัวกับนายกฯทักษิณ สามารถจ่ายคืนหมดในเวลาอันรวดเร็ว แถมช่วยปลดภาระหนี้สินให้คนที่ค้างชำระสถาบันการเงิน ตั้งแต่กี่ปีขึ้นไปจำไม่ได้ ในจำนวนเงินไม่เกิน 200,000 บาท เรียกว่าช่วยล้างบัญชีกันให้เลยทีเดียว อันนี้เรียกน้ำใจของคนไทยค่ะ
ยังมีตัวอย่างดีดีให้เห็นอีกมากในสังคมไทย เมืองไทยอยู่ได้เพราะ น้ำใจ และน้ำใสใจจริง ที่มีให้ต่อกัน
ถ้าเขาไม่มีน้ำใจ เราก็อย่าไปยุ่งกับเขาค่ะ คนเราพอตายไปก็จบแล้ว ถือว่ายุติทุกอย่างบนโลกนี้แล้ว คือจบ
มีอย่างเดียวคือ ความคิดถึง เท่านั้นเอง
โฆษณา