30 ก.ย. 2022 เวลา 13:40 • ธุรกิจ

รอย ดิสนีย์: พี่ชาย ผู้ร่วมก่อตั้ง และผู้เนรมิตฝันให้เป็นจริง

หากชีวิตคนเป็นเหมือนซีรี่ย์หรือภาพยนตร์ บทบาทของรอย ดิสนีย์คงถูกจดจำเพียงในฐานะพี่ชายพระเอก เป็นตัวละครรองที่หลายคนไม่รู้จัก ทั้งที่เขามีส่วนสำคัญในการพยุงดิสนีย์ให้อยู่รอดปลอดภัยไม่ล้มละลายจนกลายเป็นตำนาน
เพจ เขาคนนั้นในวันวาน ขอพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ "รอย ดิสนีย์" ชายผู้มีความเชื่อมั่นในตัวน้องชายอย่างแรงกล้า คือคนที่มีส่วนสำคัญในการเนรมิตฝันของวอลต์ ดิสนีย์ให้เกิดขึ้นจริง
วอลต์คิด รอยเนรมิตให้เป็นจริง
ครั้งหนึ่งวอลต์ ดิสนีย์เคยกล่าวถึงพี่ชายของเขาว่า
รอยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับธุรกิจนี้เลย เขาไม่รู้ว่าเรากำลังทำอะไร อยู่ในสถานการณ์แบบไหน แต่รอยเชื่อมั่นในตัวผมเสมอ เหมือนกับตอนที่เราอยู่แคนซัสซิตี้ที่เขาส่งเช็คเงินพวกนั้นมา รอยทำหลายอย่างที่ขัดกับวิจารณญาณของตัวเองเพียงเพราะเขารู้ว่าผมต้องการทำสิ่งนั้นจริงๆ
วอลต์ ดิสนีย์
แน่นอนว่าการจะตามฝันเป็นนักวาดการ์ตูนหรือเป็นนักวาดภาพเคลื่อนไหวในศตวรรษที่ 20 เมื่อคุณเกิดในครอบครัวที่การเงินฝืดเคืองแถมมีพ่อขี้หงุดหงิดย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย (อ่านเรื่องของวอลต์ ดิสนีย์เพิ่มเติมในบทความก่อนของเราได้นะคะ ขายของๆ 555)
แต่ในความลำเค็ญและชีวิตลุ่มๆดอนๆ การมีคนที่เชื่อมั่นในตัวเรา และพร้อมจะขึ้นเขาลงห้วยไปกับเราจนสุดทาง เป็นเรื่องที่หาได้ยากและอัศจรรย์มาก ซึ่ง "รอย ดิสนีย์" คือคนๆนั้นของ "วอลต์ ดิสนีย์"ค่ะ
รอยเคยทำงานในธนาคารและเป็นหุ้นส่วนของวอลต์มาตั้งแต่เริ่มต้นตั้งสตูดิโออนิเมชั่นแห่งแรกของพวกเขาที่แคนซัสซิตี้ ชื่อ Laugh-O-Grams เขาเป็นคนสนับสนุนทุนให้น้องเสมอจนกระทั่งสตูดิโอแห่งแรกของพวกเขาล้มละลายในเวลาต่อมา
รอยซึ่งขณะนั้นรักษาตัวจากเชื้อวัณโรคที่เขาติดมาจากการไปร่วมรบเป็นนาวิกโยธินในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ส่งเงินก้อนหนึ่งที่เขามีและแนะนำให้วอลต์ขนข้าวของขึ้นรถไฟไปเริ่มต้นใหม่ที่แคลิฟอร์เนีย ไปยังฮอลลีวู้ด
หลังจากนั้นไม่นาน รอยตามวอลต์ไปแคลิฟอร์เนีย และก่อตั้งสตูดิโออนิเมชั่นด้วยกันอีกครั้ง (พี่รอยแกไม่เข็ดเอาซะเลย) โดยตอนแรกวอลต์เสนอให้ตั้งชื่อว่า Disney Brothers แต่รอยกลับปฏิเสธแล้วบอกให้ตั้งว่า Walt Disney Studio เถอะ (แถมรักน้องสุดๆด้วย)
เรื่องราวทำท่าว่าจะไปได้ดี เมื่อพวกเขาได้ดีลจากทาง New York ให้ทำซีรี่ย์สั้น ตัวละคร Oswald the Lucky Rabbit ที่ถูกคิดขึ้นสำหรับโปรเจคนี้ดังเปรี้ยง ทำให้ดิสนีย์เป็นที่รู้จัก แต่ชีวิตมันไม่ง่ายขนาดนั้นเมื่อดิสนีย์กลับไม่มีสิทธิในตัวละครที่สร้างเลย
ระหว่างที่วอลต์นั่งคิดไอเดียใหม่ รอยก็ทำหน้าที่เดินเข้าออกธนาคารหาทุนอย่างบ้าคลั่ง เพราะการสร้างตัวละครใหม่ที่ชื่อ Mickey Mouse ยังไม่สามารถการันตีได้ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่
แถมยังต้องหาทุนจ้างวงออเคสตร้าและใช้เทคนิคการอัดเสียงแบบ synchronized sound ในการถ่ายทำ(ถ่ายภาพเคลื่อนไหวไปพร้อมกับการอัดเสียงตามจุดที่ทำเครื่องหมายไว้ให้ตรงกัน) มันเป็นการวางเดิมพันที่สูงมาก สำหรับสตูดิโอหน้าใหม่แบบพวกเขา
สุดท้ายเขาก็สามารถกู้เงินจากธนาคารแห่งหนึ่งมาได้ และเดิมพันที่วางไว้ก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ด้วยคำพูดโน้มน้าวของรอยที่ว่า
สำหรับคุณที่ให้งบกับเรา วอลต์อาจจะดูเป็นคนหุนหันพลันแล่น แถมยังมีแนวโน้มจะล้มละลายสูง แต่สำหรับผม เขาคือน้องชายที่มีความพิเศษยิ่ง และผมรู้ว่าเขาสามารถทำความฝันที่ดูไม่น่าเป็นไปได้ให้เกิดขึ้นจริงได้
รอย ดิสนีย์
1
ซึ่งในคราวนี้รอยไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับปัญหาเรื่องลิขสิทธิ์ตัวละคร ในขณะที่วอลต์รับเงินจำนวน 300 ดอลลาร์มาง่ายๆ สำหรับการให้สิทธิ์พิมพ์ลาย Mickey Mouse ลงบนสมุดฉีก แต่รอยไม่ยอมอีกต่อไป เขาขึ้นศาลต่อสู้คดีจนได้รับสิทธิ์ในการผลิตและขายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับตัวละครจากดิสนีย์ทั้งหมด และทำให้มูลค่าจากการขายสินค้าไปถึงกว่า 100 ล้านดอลลาร์
ระหว่างดำเนินกิจการมาด้วยกัน วอลต์เป็นนักคิด และรอยเป็นผู้เนรมิตให้มันเกิดขึ้นจริง หลายๆครั้งพวกเขาโต้แย้งกัน บางครั้งแรงถึงขั้นไล่อีกฝ่ายออกจากห้องประชุม แต่ไม่ว่าจะรุนแรงแค่ไหน รอยก็มักจะวกกลับมาช่วยน้องเสมอ
ทั้งเรื่อง Snow White ที่เป็นโปรเจคอนิเมชั่นขนาดยาวเรื่องแรกที่รอยไม่เห็นด้วย เพราะวอลต์ประเมินทุนสร้างไว้ถึง 400,000-500,000 ดอลลาร์ แต่สุดท้ายพี่รอยก็ยอมไปหาทุนมาให้ เขาระดมทุนครั้งแล้วครั้งเล่าจนได้ทุนรวมมาทั้งหมด 1.5 ล้านดอลลาร์ ก่อน Snow White จะติดลมบนและทำรายได้ไป 8 ล้านดอลลาร์
เรื่องนี้นอกจากทำกำไรเกินคาด ยังทำให้วอลต์ได้รางวัลออสการ์ในปี 1939 ด้วย โดยในปีนั้นได้มีการทำถ้วยรางวัลแบบพิเศษ เป็นรูปตุ๊กตาทองขนาดปกติ และตุ๊กตาทองขนาดเล็กยืนเรียงกัน 7 ตัว เป็นเชิงสัญลักษณ์ถึง Snow White and the Seven Dwarfs
ภาพวอลต์ ดิสนีย์และรางวัลออสการ์สำหรับเรื่อง  Snow White and the Seven Dwarfs ที่มา: https://unbelievab.ly/so-you-think-you-know-disney-heres-15-facts-you-probably-didnt-know/
หรืออย่างโปรเจค Disneyland ที่รอยมองว่ามันเป็นไอเดียที่ฟุ้งเกินไป แต่สุดท้ายก็ไปจัดการทำข้อตกลงกับช่องโทรทัศน์ให้มาทำข่าวประชาสัมพันธ์ และร่วมลงทุนในการสร้าง Disneyland รวมทั้งหาผู้ลงทุนรายอื่นๆมาร่วมลงทุนก่อสร้าง ก่อนจะรีบซื้อหุ้นกลับมาเมื่อเห็นว่ากิจการ Disneyland มีแนวโน้มจะไปด้วยดี (เป็นคนอ่อนโยนกับน้อง แต่ผลประโยชน์ก็ไม่ทิ้งนะคะ)
การทุ่มเทครั้งสุดท้ายเพื่อความฝันของน้องชาย
หลังจากสองพี่น้องผ่านช่วงเวลายากลำบากมาด้วยกันอย่างยาวนาน เรื่องราวที่จะกล่าวถึงต่อจากนี้ ตราตรึงใจแอดมินที่สุด ซึ่งก็คือเรื่องราวเบื้องหลังการสร้าง Walt Disney World ที่ฟลอริดานั่นเอง
เมื่อเปิด Disneyland ทางฝั่งตะวันตกไปแล้วในปี 1955 วอลต์ยังคงมีความฝันที่อยากจะเปิดสวนสนุกเพิ่มอีก และ Project Florida ก็เป็นโปรเจคในใจเขา
พวกเขาสองพี่น้องได้จัดแถลงข่าวด้วยกันครั้งหนึ่งที่ฟลอริดา วอลต์ยังคงทำหน้าที่เป็นหัวเรือคอยตอบคำถามทุกอย่าง แถมยังพูดติดตลกในงานแถลงข่าวเมื่อมีคนถามถึงจำนวนเงินลงทุน โดยเขาตอบว่า "เงินลงทุนเราในโปรเจคนี้โคดเยอะเลยครับ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรามีเงินเยอะขนาดนี้ แต่รอยบอกว่าเราทำได้ รอยเขาเป็นผู้เนรมิตเงินหน่ะครับ"
เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ปี 1966 ซึ่งเป็นช่วง 1 ปีให้หลังจากการแถลงข่าวครั้งนั้น วอลต์เสียชีวิตลงที่โรงพยาบาลเซนต์โจเซฟ เหล่านักลงทุนในวอลสตรีทต่างพูดกันว่า โปรเจคที่ค้างเติ่งนี่ไม่มีวันเป็นรูปเป็นร่างแน่
และตอนนั้นเอง เป็นตอนที่รอยในวัย 73 ปีตัดสินใจโยนแผนเกษียณอายุของตัวเองทิ้ง รีบพุ่งตัวมาที่ฟลอริดาเพื่อคุมโปรเจคต่ออย่างแข็งขัน เขามีภาพในใจที่วอลต์คุยกับเขาครั้งสุดท้ายในโรงพยาบาลว่าอยากให้โปรเจคฟลอริดาออกมาอย่างไร
เขาไม่ยอมลดต้นทุนในการสร้าง Magic Kingdom ตามที่บอร์ดเสนอ และเขาก็ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะตั้งชื่อที่นี่ว่า Walt Disney World ตามชื่อน้องของเขาให้ได้ แม้ว่าบอร์ดจะเสนอว่าในทางการตลาด ตั้งชื่อว่า Disney World หรือ Disneyland เหมือนเดิมดีกว่า
เขาไปที่ไซต์ก่อสร้างเพื่อดูความคืบหน้าอย่างสม่ำเสมอ ตรวจสอบและควบคุมทุกขั้นตอนจนแน่ใจว่าเป็นไปตามแผน และเป็นไปตามที่น้องชายเขาตั้งใจ จนกระทั่งได้เปิดทำการ Walt Disney World ในวันที่ 1 ตุลาคม ปี 1971 (ซึ่งเป็นการเลือกวันเปิดได้สมกับเป็นนักบัญชี เพราะเขาเล็งเปิดวันเริ่มต้นปีงบประมาณภาครัฐใหม่)
ในขณะที่วันแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้งในวันที่ 25 ตุลาคม รอยพาภรรยาของเขา และภรรยาของวอลต์น้องชายไปยืนบนเวทีด้วยกันเพื่อกล่าวสุนทรพจน์เปิดงาน
แต่ก่อนจะเปิด เขาหันซ้ายหันขวาก่อนจะหันไปกระซิบกับพนักงานคนหนึ่งว่า เรไม่มีวอลต์อยู่ที่นี่กับเราในวันนี้แล้ว ให้ช่วยพามาสคอต Mickey Mouse มาที เพราะ Mickey Mouse เป็นตัวแทนที่ดีที่สุดที่จะยืนในตำแหน่งที่น้องชายของเขาควรได้มายืนด้วยกันในวันนี้ และเริ่มกล่าวสุนทรพจน์ว่า
Walt Disney World คือสถานที่ให้เราได้ระลึกถึงปรัชญาและการใช้ชีวิตของวอลต์ อีเลียส ดิสนีย์ และสำหรับทีมงานผู้มีความสามารถ ทุ่มเท และทำงานอย่างซื่อสัตย์จนทำความฝันของวอลต์ ดิสนีย์ให้เป็นจริงทุกท่าน...หวังว่าที่นี่จะมอบความสุข แรงบันดาลใจ และความรู้ใหม่ๆให้กับทุกท่านผู้มาเยือนสถานที่แห่งความสุขแห่งนี้
รอย ดิสนีย์
หลังจากสานฝันสุดท้ายของน้องชายให้เป็นจริงได้ไม่นาน รอยก็เสียชีวิตลงในวันที่ 20 ธันวาคมในปีเดียวกัน หลายคนกล่าวว่า เขาได้ทุ่มเทเรี่ยวแรงสุดท้ายของเขาทั้งหมดเพื่อทำให้ Walt Disney World เกิดขึ้นตามที่น้องชายฝากไว้และจากไปอย่างไร้กังวลในโรงพยาบาลเซนต์โจเซฟ แห่งเดียวกับที่วอลต์จากไปก่อนหน้านี้
และเรื่องราวรอย ดิสนีย์ก็จบลงอย่างตราตรึงและซาบซึ้งใจแบบนี้ค่ะ เป็นพี่น้องที่นิสัยและความถนัดต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่กลับเอาความแตกต่างของตัวเองและความรักความเชื่อใจที่มีให้กันมาช่วยกันฝ่าฟันอุปสรรค และสร้างสิ่งมหัศจรรย์มากมายทิ้งไว้บนโลกนี้ ก่อนจากกันวันนี้ เพจเราจึงขอทิ้งท้ายไว้ด้วยอนุสรณ์ของรอยบริเวณลาน Magic Kingdom ที่ Walt Disney World นะคะ พบกันใหม่โพสหน้า ฝากติดตามด้วยนะคะ
ภาพอนุสรณ์ของรอย ดิสนีย์ กับ Minnie Mouse นั่งบนม้านั่งหน้าลาน Magic Kingdom ใน Walt Disney World ที่มา: https://www.flickr.com/photos/peterpanfan1953/3618511258/
โฆษณา