3 ต.ค. 2022 เวลา 08:11 • ความคิดเห็น
เรื่องราวตกผลึกไม่ได้มาทุกวัน
ช่วงนี้ได้รับการสื่อสารเรื่องราวในองค์กรเก่า ที่กลับมาหาเราอีก ด้วยประเด็นปัญหาเดิมที่เคยเจอ แล้วทำไมคนอื่น ก็ได้รับแบบเดียวกัน
และด้วยการที่เราไม่ได้อยู่ในปัญหานั้น และมีโอกาสได้ฟัง Podcast ดี มากมาย ก็ดันมาเจอ 7 พฤติกรรมที่ลูกน้องร้องยี้ ของ A cup of culture ซึ่งบอกว่าได้มาจากการเก็บรวบรวมข้อมูล แล้วเห็นข้อคิดเห็นที่เหมือนๆ กัน และบอกว่าจะเกิดเมื่อเจ้านายเครียด หรือในสภาวะกดดัน แต่จะเศร้าขนาดไหน ถ้าเราต้องเจอ 7 พฤติกรรมนี้ ตลอดเวลา และที่พีคคือทั้ง 7 ก็เจอครบในหนึ่งเดียว
ไม่รอช้ามาพูดกันเรื่องแรกเลย คือการลงรายละเอียด Micromanagement หัวหน้าลงรายละเอียดจนอยากจะบอกว่ามาทำเองเถอะค่ะ พี่มองว่าช่วยเหลือลูกน้อง แต่ลูกน้องกลับคิดว่าหัวหน้าไม่เชื่อ
และสุดท้ายลูกน้องเรียนรู้อะไรในงาน เราทำงานเป็นเหมือนเงาทำในสิ่งที่เค้าต้องการ ไม่ได้คิดหรือตัดสินใจเองเลย จะมีฉันทำไมนะ
“Trust” เป็น key word สำคัญ ของหัวข้อ ถ้าไม่เชื่อสิ่งที่ลูกน้องทำ ก็คงต้องทำเองค่ะพี่
เรื่องถัดมา คือการใช้อารมณ์...อารมณ์ไหนไม่รู้ แต่คิดว่าคงหนีไม่พ้น ความหงุดหงิด ความโกรธ แต่ก็จะมีหัวหน้าหลายคนบอกว่า ฉันไม่ได้แสดงอารมณ์นะ... พี่ค่ะ การแสดงอารมณ์ ไม่ต้องตะโกน หรือตบโต๊ะนะคะ เพราะอารมณ์ มันคือการสื่อสารค่ะ ถึงจะทำอะไรถ้ามีอารมณ์ ถูกสื่อสารออกมา อีกฝั่งก็รับสารนั้นไปแล้วค่ะ
ในกระบวนการโค้ช การสื่อสารแบบนี้ แม้จะไม่มีการแสดงออกแบบตรงไปตรงมา ก็สามารถฟังเข้าใจถึงความไม่พอใจได้ มันคือการสื่อสารสิ่งที่ไม่ได้พูด
แล้วสุดท้ายลูกน้องก็เลือกจะไม่รายงานทุกเรื่อง เพราะเด๋วจะงานเข้าสิ ก็บอกแค่สิ่งที่พี่อยากได้ยินตอนนั้น เอาให้ผ่านค่ะ เดี๋ยวที่เหลือค่อยว่ากัน
"บอกวันนี้โดนด่าวันนี้ ไม่บอกก็ไม่โดน" แต่เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่ลูกน้องไม่อยากบอกนะคะ แต่เพราะไม่อยากรับอารมณ์ ก็เลยยังไม่บอก และกว่าจะรู้อาจจะสายไปได้
เรื่องที่ 3 Result Oriented จะเอาแต่ผลของงาน ไม่สนใจลูกน้อง สุดท้ายผลงานนั้นลูกน้องกลับมองว่า พี่ก็ต้องรับผิดชอบมากกว่า และเค้าก็ไม่แคร์ งานบางงาน หัวหน้าสนใจแต่ผลของงาน ไม่สนใจสิ่งที่จะเกิดขึ้น การกำหนดระยะเวลา แบบไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อน เพราะอยากได้แต่งาน ก็ไม่แปลกลูกน้องอาจจะไม่รู้สึกว่า ฉันจะต้องแคร์เรื่องนี้ แล้วคนที่เดือนร้อนที่สุดคือหัวหน้า พอไม่ได้งาน กลับไปอ่านข้อ 2 ค่ะ
เรื่องที่ 4 ปราศจาการชื่นชม หัวหน้าอาจจะคิดว่า ไม่ต้องชมหรอก เพราะเดี๋ยวผลงานก็ออกมาเอง ... อย่าคิดเอง ลูกน้องแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความสำคัญที่เค้าอยากได้ก็ไม่เหมือนกัน บางคนยิ่งให้พื้นที่ยิ่งชื่นชมยิ่งทำได้ดี บางคนมีโครงสร้างหลักการให้เดินทำได้ดี แต่เมื่อทำได้ดีทุกคนก็อยากให้มีคนเห็นโดยเฉพาะหัวหน้าของตัวเอง แต่การไม่ชื่นชม มันบอกว่าคุณก็ไม่ได้แคร์เค้าเท่าไรนะ
เจอพีคกว่าจะต้องชื่นชมอย่างไร หรือชื่นชมในสิ่งที่เราก็ยิ้มแหย่ๆๆ อย่างนี้อย่าชมดีกว่า เรื่องนี้บอกว่าการเป็นหัวหน้าเก่งคน สำคัญพอๆ กับเก่งงานนะคะ
เรื่องที่ 5 การให้ Constructive feedback แม้จะเป็นในทางที่ต้องปรับปรุง ลูกน้องก็พร้อมจะรับฟัง แต่หัวหน้าก็ต้องให้ด้วยความจริงใจ และไม่มีอคติใดๆ การให้ Feedback เพื่อให้เค้าพัฒนาในบางจุดที่เค้าอาจจะยังมองไม่เห็น แต่เราเห็นในศักยภาพนั้น ก็จะเป็นการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับลูกน้อง บางครั้งหัวหน้าจะต้องผสมผสานการเป็นโค้ชที่รับฟัง และการเป็นเมนทอร์ที่จะแนะนำ ต้องเป็นสิ่งที่หัวหน้าในยุคปัจจุบัน ควรต้องมีในการทำงาน
เรื่องที่ 6 ละเลยคำแนะนำของลูกน้อง บางครั้งอย่าเรียกว่าละเลย เรียกว่าไม่ฟัง เอาประสบการณ์ของตัวเองมาตัดสินใจ บอกว่าให้ทำแบบนั้น แบบนี้ หรือบางทีลูกน้องทำเสนออะไรไป ก็ไม่ชม ไม่ Feedback แต่กลับถามว่า อันเก่าที่เคยทำอยู่ไหน มันเป็นการส่งสัญญาณนะ ว่าฉันจะเอาอันนั้น เพราะถ้าหาอันอื่นไป ก็ยังกลับไปอันเดิม สรุปลูกน้องก็เลยไม่คิดหละ Idea อะไรก็ไม่เสนอ เพราะไม่สนใจฟังฉันเลย
ถ้าลูกน้องเริ่มเงียบเวลาถามความคิดเห็นลองคิดดูว่าเราละเลย Idea เค้าก่อนหน้านั้นไหม
เรื่องสุดท้าย ไม่จัดการคนที่ไม่ Perform ในทีม อันนี้พีคจริงๆ เป็นความล้มเหลวของหัวหน้าในการบริหารจัดการคนมา การที่เราให้โอกาสคนเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องไม่เพิกเฉยต่อคนที่ทำได้ดี และที่สุดกว่าคือ ใครทำได้โดนใช่บ่อยกว่า แต่พอประเมิน ดันไม่ใช่ KPI ที่ทำดี ไม่ได้รับการประเมิน อ่ะหนักกว่าเดิม ก็จุดนี้ ส่วนคนทำไม่ได้ ก็สบายไป
พอฟังทั้ง 7 พฤติกรรม ก้อคิดว่าจริงเลยที่จะร้องยี้ เพราะมันทำให้เราไม่เติบโตและก้าวหน้า แล้วสิ่งที่จะทำคือ อยู่ไปแบบวันๆๆ เอาให้รอด หรือจะลาออกเพื่อไปหาสิ่งที่ดีกว่า ก็อยู่ที่บริบทของแต่ละคน
ทุกคนอยากที่จะได้รับการพัฒนา และก้าวไปข้างหน้า เพราะเราต้องมีเป้าหมาย และใช้ศักยภาพในตัวเราให้บรรลุเป้าหมายนั้น
การโค้ชจะช่วยปลดล็อคพัฒนาการเหล่านี้ สิ่งที่ได้ฟังมาแล้วมาจดบันทึกเอาไว้ จะคอยเตือนตัวเองว่า ถ้าเรารู้สึกไม่ก้าวหน้าเมื่อไร เราต้องเริ่มกลับมามองตัวเองแล้ว การก้าวออกจากสถานการณ์อาจจะไม่ใช่การยอมแพ้ แต่เป็นการหาสมดุลใหม่ก็เป็นได้
เกือบลืมเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว ช่วงนี้รับสายบ่อยจนมันกลับมา
ขอบคุณ Podcast ดีๆ ที่ทำให้เอามาอธิบายเพิ่มได้มากมาย
ขอบคุณตัวเอง ที่ก้าวออกมา แล้วมองเห็นเรื่องราวที่จะทำให้เราเติบโต
Coach Gift
โฆษณา