4 ต.ค. 2022 เวลา 12:29 • ความคิดเห็น
จริงๆแล้ว ทุกคนล้วนเกิดมาเป็นอัจฉริยะ กันทั้งนั้น แต่ด้วยวิธีการเลี้ยงลูก และชุดข้อมูลที่ผู้ใหญ่ใส่ให้แต่ละคน ค่ะ ทุกคนจะเชื่อตามที่คนอื่นบอก
ครั้งหนึ่ง เราเคยไปเป็นครูอาสา โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ในจังหวัดภาคใต้ ได้สอนห้องระดับประถม 3,4 มีน้องคนหนึ่ง ทำงานช้ามาก ส่งงานช้า ที่สุด เราถามน้องว่า ไม่เข้าใจ หรือ มีอะไรถึงส่งงานช้า
น้องผู้หญิงคนนี้บอกว่า หนูไม่เก่ง และเขียนไม่ค่อยเป็น
เราแย้งว่า “เขียนหนังสือสวยนะ”
น้องบอกกลับมาว่า “หนูไม่เก่งเพราะหนูโง่ “
เราถาม “ ใครบอก หนูคะ” น้องบอกว่า “ครูบอก และแม่ก็บอกด้วย” ได้ยินแค่นี้ ใจหายเลย สงสารจับใจ
“ ไม่จริงหรอกหนูเป็นเด็กดีนะและหนูไม่ได้โง่ “ เราบอกไป
คืออันนี้คือชุดข้อมูลที่เด็กได้รับมาค่ะ เราได้เปลี่ยนชุดข้อมูลทางความคิดให้เด็กคนนี้ใหม่ และน้องมีพัฒนาการที่ดีมาก และส่งงานก่อนคนที่ได้ที่หนึ่งของห้อง แล้วยังทำถูกหมดทุกข้ออีกด้วย
พอถึงวันที่ส่งงาน เราเรียกน้องคนนี้มาดู ว่างานของเขาได้คะแนนเต็ม เราบอกน้องว่า “เห็นมั้ย หนูเป็นคนเก่งและฉลาด” วันนั้น เราได้เห็นสีหน้าของเด็กน้อยคนหนึ่งเปล่งประกายของความสุข และมีหน้าตาเบิกบาน แสดงความฉลาดออกมาอย่างชัดเจน
บางทีการเลี้ยงดูและการบอกข้อมูลให้เด็กก็มีผลอย่างมาก เช่น พ่อแม่ พี่ป้าน้าอา และครู ใช้คำพูดแง่ลบ เด็กก็จะเป็นแบบนั้นไปจนโต หรือจนกว่าจะมีอะไรไปทำให้เขาตื่นรู้เอง
และคนที่เรียนจบมหาวิทยาลัยตั้งแต่เด็กหรือเรียนก่อนเกณฑ์ได้หลายปี ก็เพราะคนที่เลี้ยงดูเขา มีวิธีสอนให้เด็กเกิดศักยภาพของการเป็นอัจฉริยะขึ้นมาใช้ได้เร็วค่ะ
ควรถึงเวลาทีสังคมไทยเลิกใช้คำพูดเชิงลบกับเด็กได้แล้ว
ดังนั้นการสร้าง เป็นการสร้างจากการยอมรับ ไม่ได้สร้างจากการเปรียบเทียบและต้องสร้างด้วยความรักและความเมตตา รวมถึงต้องมีความเข้าใจด้วย
โดยเฉพาะ อาชีพครู ที่ควรมีอะไรมากกว่าการสอนให้ความรู้ ครูหลายคนสามารถสร้างสมองน้อยๆของเด็กอนุบาล ประถม ให้เป็นเด็กที่มีสมองมีคุณค่า มีคุณภาพให้ประเทศชาติได้
และต้องเห็นภาพในอนาคตได้ด้วย เรียกครูต้องมีดี มีวิสัยทัศน์ที่ดี แต่เมื่อใดที่ครู กะเกณฑ์ให้เด็กมีความแตกต่างกันด้วยคะแนน ก็เท่ากับตีตราให้เด็กแต่ละคนแล้ว
ระบบคะแนนจึงเป็นระบบที่สามารถทำลายความคิดสร้างสรรค์พื้นฐานของเด็กไปในอนาคตได้
แก้ที่ชุดข้อมูลทางความคิดค่ะ ก็สามารถเป็นอัจฉริยะได้
โฆษณา