8 ต.ค. 2022 เวลา 00:00 • ประวัติศาสตร์
เปลือกหอยทะเล : เครื่องประดับและสิ่งของแลกเปลี่ยนจากชุมชนชายฝั่ง
บทความโดย วลัยลักษณ์  ทรงศิริ
ในพื้นที่ประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เปลือกหอยทะเลเป็นวัสดุที่ถูกใช้นำมาทำเป็นเครื่องประดับหรืออาจจะใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนในช่วงยุคก่อนเหล็ก เรื่อยมาจนถึงยุคเหล็ก และหมดความนิยมไปเมื่อเข้าสู่สมัยทวารวดี เปลือกหอยทะเลดังกล่าว ได้แก่ เปลือกหอยมือเสือ เปลือกหอยมุก เปลือกหอยสังข์ และเปลือกหอยเบี้ย
แหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ เราพบเครื่องประดับที่ทำจากหอยในหลุมฝังศพหลายๆ ที่ เช่นเปลือกหอยแครงและหอยขมเจาะรูจากการขุดค้นที่บ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี  ส่วนที่ท่าแค จังหวัดลพบุรี พบว่า มีกระบวนการทำเครื่องประดับจากเปลือกหอยทะเล ซึ่งทำจากเปลือกหอยสองชนิด คือ หอยกาบขนาดใหญ่หรือหอยมือเสือในพันธุ์ Tridacna และหอยมุก พันธุ์ Trochus ซึ่งอยู่ในประเภทหอยสองฝา
และสร้างแบบจำลองขั้นตอนการผลิตตั้งแต่การตัดออกมาเป็นก้อนสี่เหลี่ยม  ขัดฝนให้เป็นแท่งทรงกระบอก  เจาะแท่งทรงกระบอกที่กึ่งกลางจากหัวและท้าย โดยอาจจะใช้โลหะหรือไม้ไผ่เป็นสว่าน  เลื่อยขอบนอกให้เป็นวงส่วนวงในนำไปใช้ทำลูกปัดหรือต่างหูที่มีขนาดเล็กได้อีก  ขัดฝนกำไลเปลือกหอยกับแท่นหินทรายให้เรียบและโค้งมนตามต้องการ ด้วยวิธีการผลิตเช่นนี้ ทำให้เข้าใจว่าน่าจะมีความสัมพันธ์อย่างยิ่งกับการผลิตโลหะ [Ciarla, Roberto 1992]
ในแหล่งโบราณคดีโดยเฉพาะในลุ่มลพบุรี ภาคกลางของประเทศไทย พบเครื่องประดับที่ทำจากเปลือกหอยทะเลฝังอยู่ในหลุมศพ โดยเฉพาะหอยมือเสือซึ่งมีขนาดใหญ่  แยกย่อยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้จำนวนมาก จากรายงานการศึกษาทางโบราณคดีโดยการขุดค้นในบริเวณนี้ กล่าวว่ากำไลลูกปัด และต่างหู ที่ทำจากเปลือกหอยทะเลปรากฏตั้งแต่ในช่วงวัฒนธรรมยุคแรกก่อนมีการใช้โลหะ และใช้อยู่ในช่วงวัฒนธรรมยุคที่ มีการผลิตทองแดงระดับอุตสาหกรรมแถบเขาวงพระจันทร์และอยู่ในช่วงยุคสำริดในประเทศไทย
ในขณะที่เมื่อเข้าสู่ยุคเหล็กก็ยังมีการใช้เปลือกหอยทะเลอยู่  แต่หลังจากนั้นไม่พบว่ามีการใช้วัสดุจากเปลือกหอยทะเลมาทำลูกปัดหรือกำไลข้อมือ แต่เปลี่ยนวัสดุเป็นหินและแก้วแทน (สุรพล นาถะพินธุ  ๒๕๓๙)
ทำให้เกิดข้อสังเกตว่า ยุคแรก ๆ ที่ยังไม่ปรากฏการใช้โลหะ  เครื่องประดับทำจากเปลือกหอยมือเสือถูกทำขึ้นด้วยวิธีเช่นไร ในเมื่อแบบจำลองการผลิตเครื่องประดับจากเปลือกหอยของ Ciarla คาดว่าน่าจะมีความสัมพันธ์กับการผลิตโลหะ เพราะอาจจะใช้เครื่องมือโลหะแยกย่อยชิ้นส่วนต่าง ๆ ซึ่งควรเป็นวิธีการผลิตที่ง่ายกว่า เช่น การเลื่อยแยกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ  ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่จะมีเทคนิคการผลิตที่ไม่ใช้เลื่อยหรือสว่านโลหะ
กำไลเปลือกหอยมือเสือขนาดใหญ่พบเป็นจำนวนมาก  สีขาวเนื้อละเอียด แม้จะแข็งแต่เปราะแตกหักง่าย ดังนั้นจึงพบว่า กำไลเปลือกหอยมักแตกหักเสียหายและมีไม่ครบชิ้น ในส่วนที่หักจะมีการเจาะรูที่ปลายทั้งสองด้าน เพื่อประกอบเข้าด้วยกันใหม่  ดังนั้น  กล่าวได้ว่ากำไลหอยมือเสือหรือหอยทะเลอื่น ๆ เป็นสิ่งของหายากและมีค่า  มีการซ่อมและนำมาใช้ใหม่แสดงถึงอายุการใช้งานของแต่ละชิ้นอย่างคุ้มค่า
นอกจากนี้ยังมีการพบกำไลหินที่ศพร่างหนึ่งในแหล่งโบราณคดีบ้านใหม่ชัยมงคล ที่ช่วยยืนยันความสำคัญและคุณค่าของเปลือกหอยทะเล เพราะกำไลหินอ่อนนี้ทำรูปทรงเลียนแบบกำไลเปลือกหอยสังข์ทะเล และเหมือนกับกำไลเปลือกหอยสังข์ทะเลชิ้นหนึ่งที่พบในแหล่งโบราณคดีบ้านพุน้อย
ลูกปัดเปลือกหอยวงกลมแบนขนาดเล็ก ๆ เส้นผ่าศูนย์กลาง ๐.๔ และ ๐.๖  เซนติเมตร ความหนาราว ๐.๑ เซนติเมตร ความพิเศษของลูกปัดแบบนี้คือ ลูกปัดเล็ก ๆ แต่ละชิ้นจำนวนมากมายมหาศาลนี้มีขนาดเท่ากันและเกือบเท่ากันทั้งสิ้น  ใช้เทคนิคการทำลูกปัดจากเปลือกหอยทะเลที่เชื่อว่าเป็นวิธีการสากลที่ใช้กันทั่วโลก ตั้งแต่ยุคหินในอินเดีย  ยุคเหล็กในอินเดียใต้ ชาวหมู่เกาะในโอเชียเนีย หรือในไต้หวัน
ทำลูกปัดเปลือกไข่นกกระจอกเทศในทะเลทรายคาลาฮารี เรียกกันว่า วิธีการแบบ heishi  ซึ่งเป็นชื่อเรียกลูกปัดเปลือกหอยที่พวกอินเดียนใน ซานโต โดมิงโก นิวเม็กซิโก ใช้กัน  วิธีการทำคือ ทำเปลือกหอยให้เป็นแผ่นแบนเรียบ แล้วตัดออกเป็นแผ่นวงกลมเล็ก ๆ เจาะรูตรงกลาง หลังจากได้จำนวนมากพอ ใช้เชือกหนา ๆ ร้อยทั้งหมดไว้ด้วยกัน แล้วนำมาขัดฝนกับแผ่นหินหรือร่องหินในคราวเดียวกัน ก็จะได้ลูกปัดวงกลมที่มีขนาดเดียวกันทั้งหมด [Francis, Peter.Jr. 1990]
จากการพบลูกปัดเปลือกหอยขนาดเล็ก ๆ แต่เกือบทั้งหมดมีขนาดเท่ากันในแหล่งโบราณคดีลุ่มลพบุรี - ป่าสัก เทคนิคการทำให้มีขนาดเท่ากันเช่นนี้น่าจะยอมรับได้ว่าใช้วิธีการเดียวกันกับที่กล่าวมาข้างต้น
นอกจากนี้ ยังมีลูกปัดเปลือกหอยขนาดพอ ๆ กับกระดุมที่ใช้กันในสมัยนี้ เส้นผ่าศูนย์กลางมีตั้งแต่ ๑.๐ - ๑.๒ เซนติเมตร ส่วนความหนาไม่เท่ากัน ตั้งแต่ ๑.๕ - ๒.๕ เซนติเมตร วิธีการผลิตอาจจะใช้เช่นเดียวกับเทคนิค heishi     และยังมีการทำต่างหูจากเปลือกหอยทะเล ที่มีลักษณะประณีต เช่นต่างหูคู่หนึ่งที่พบในแหล่งโบราณคดีบ้านหนองใหญ่ เป็นแผ่นแบนเรียบ ขอบนอกเป็นรูปวงกลม มีหยักหนึ่งหยัก ขอบในทำขอบเป็นครึ่งวงกลมสวยงาม ซึ่งมีการแตกหักเสียหาย
แต่ผู้ขุดพบยืนยันว่ามีการต่อเชื่อม ด้วยตัวประสานจนยึดติดกันแน่นด้วยฝีมือละเอียดอย่างยิ่ง ต่างหูชิ้นนี้ยืนยันสมมุติฐานของการผลิตว่าควรจะใช้เส้นลวดหรือเลื่อยโลหะสำหรับงานที่มีความเปราะบางและมีเส้นสายของรูปทรงที่ละเอียดประณีต  และต่างหูขนาดเล็กมีการออกแบบสำหรับใส่ในช่องที่เจาะซึ่งควรมีรูใหญ่ราว ๒.๐ เซนติเมตร รูปร่างเป็นแท่งทรงกลมปลายบานออกเล็กน้อย ความละเมียดละไมของเครื่องประดับชิ้นนี้คือ มีการทำเส้นคาดเส้นเล็ก ๆ ประดับบนแกนต่างหูอยู่ด้วย
แน่นอนว่า เปลือกหอยทะเลเป็นวัสดุธรรมชาติที่ไม่อยู่ในท้องถิ่น แต่ถูกนำมาจากแดนไกลบริเวณชายฝั่งทะเล แหล่งโบราณคดีที่โคกพนมดี เป็นชุมชนยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่อยู่ไม่ไกลจากชายฝั่งทะเลนัก กำหนดอายุอยู่ในช่วง ๒,๐๐๐ BC. - ๑,๕๐๐ BC. มีลูกปัดทำจากเปลือกหอยทะเลรูปทรงคล้ายตัว H [H beads] เหมือนกับที่พบในหลุมขุดค้นในแถบเขาวงพระจันทร์ [Higham 1996 : 258] แสดงถึงการติดต่อระหว่างชุมชนทั้งสองพื้นที่
เปลือกหอยทะเลเป็นสิ่งของที่นำมาใช้ทำเครื่องประดับตกแต่งเพื่อความสวยงาม ทั้งยังบ่งบอกสถานภาพของผู้ครอบครองได้ด้วย ในลุ่มลพบุรี - ป่าสัก และแอ่งอีสานเหนือ ผู้คนในยุคก่อนประวัติศาสตร์ให้คุณค่าของเปลือกหอยทะเลไว้อย่างสูงยิ่ง หากจะเปรียบเทียบกันแล้ว ก็อาจเทียบเคียงคุณค่าได้ใกล้เคียงกับเครื่องประดับสำริดในรุ่นต่อมา   หรือเครื่องประดับทองคำเมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อสมัยประวัติศาสตร์
ส่วนหนึ่งจากบทความ
หอยเบี้ย : เงินตราจากท้องทะเล
(วารสารเมืองโบราณ ปีที่ ๒๔ ฉ.๔ (ตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๔๑)
#สยามเทศะโดยมูลนิธิเล็กประไพวิริยะพันธุ์
ติดตามบทความ วิดีโอ และรายการต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่
โฆษณา