16 ต.ค. 2022 เวลา 11:16 • การศึกษา
Soft power คืออะไร เรารู้จักมันดีแค่ไหน และทำไมมันคือการปฏิวัติการสร้างอำนาจทางความคิดแบบใหม่
สวัสดีคุณผู้อ่านอีกครั้งนะครับ ผมมวาวาคนเดิมครับ content จริงๆจังๆ อันแรกของเรากำลังจะเริ่มต้นแล้วนะครับ!!! หลังจากที่โพสต์ที่แล้วเราทิ้งท้ายกันไว้ว่าครั้งหน้าเราจะมาพูดกันถึงเรื่องของ soft power กัน เราจะพยายามเล่าให้ทุกๆคนเข้าใจได้ง่ายที่สุด แต่เอาตามจริงแล้ว soft power นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่วิชาการจ๋า ถึงขนาดที่เข้าใจยาก มันเป็นแนวคิดที่เข้าใจได้ และง่ายต่อการเรียนรู้ พิมพ์มาสะยาวเลย มาเข้าสาระหลักกันดีกว่า
Soft power คืออะไร มันคือแนวคิดที่ถูกพูดถึงโดยชายคนนึง คนๆนั้นก็คือ Dr.Joseph Nye อดีต รมว.กลาโหมสหรัฐฯ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งเขาพูด Concept ของมันไว้ตั้งแต่ในช่วงราวๆปี ค.ศ. 1980 เพราะฉะนั้น นี่ไม่ใช่แนวคิดที่ใหม่ขนาดนั้น แต่มันเป็นหนึ่งในแนวคิดที่หลายประเทศทั่วโลกในตอนนี้ใช้กันอยู่ เพราะมันมีส่วนช่วยในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และถูกใช้มานานตั้งแต่ชวงสมัยสงครามโลกครั้งที่2ด้วยซ้ำ!!!
Joseph Nye อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ฝ่ายความมั่นคงระหว่างประเทศในสมัยของประธานาธิบดี บิลคลินตัน
soft power หรือ อำนาจอ่อน หรือ อำนาจละมุน หรือ อำนาจนุ่ม (ชื่อจะเยอะไปไหน) ไม่ได้มีคำนิยามที่ชัดเจนถึงขนาดนั้น แต่ละองค์กรหรือประเทศต่างๆเองก็จะมีการนิยามแนวคิดนี้ไม่เหมือนกันสะทีเดียว
มันจะมีจุดร่วมที่ถ้าให้สรุปแบบเข้าใจได้ง่ายๆล่ะก็ มันคือการขยายแนวความคิด เปลี่ยนแปลงมัน ชักจูงใจมัน ทำให้มันมีอิทธิพลกับผู้คนโดยที่ไม่ได้อาศัย Hard power หรือ อำนาจแข็ง เช่น อำนาจทางการทหาร หรือ อิทธิพลทางเศรษฐกิจ เพื่อทำให้ผู้อื่นมีความพึงพอใจหรือเต็มใจเปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนทัศนคติ ยอมรับ คล้อยตามสิ่งที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้อำนาจ
เอาล่ะ ที่นี้ ข้อความด้านบนนั้น คุณคงคิดว่า “นั่นก็ยังเป็นวิชาการอยู่เลยหนิ” “ไหนบอกว่าภาษาง่าย ๆ” “ไม่เห็นเข้าใจเลย” ไม่ต้องห่วงเลยครับ ผมจะทำให้คุณเข้าใจมันง่ายๆ และเข้าใจมากขึ้นไปอีก แต่ก่อนหน้านั้น เรามารู้จัก Hard power กันก่อน (ทีอันนี้มีชื่อแปลแบบเดียว )
เจ้าแนวคิดนี้ มันคือการที่ผู้มีอำนาจ ใช้พลังของเขาในการกดดัน ให้ผู้ที่มีอำนาจน้อยกว่า ยอมรับหรือเปลี่ยนท่าที ถ้าว่ากันง่าย ๆ เนี่ย หาก Soft power คือไม้อ่อนสำหรับโน้นน้าวเป้าหมายให้สมยอม Hard power ก็คือไม้แข็งที่อาศัยกองกังทหารและอาวุธ ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ข้อพิพาทที่ประเทศจีนประกาศกรรมสิทธิ์ใน “ทะเลจีนใต้” มากถึง90% ซึ่งนั่นเองก็เข้าข่ายอำนาจแข็ง และกรณีข้อพิพาทของรัสเซียและยูเครนเองก็นับว่าใช่อำนาจแข็งเช่นกัน
กรณีข้อพิพาททะเลจีนใต้ ที่ประเทศจีนอ้างกรรมสิทธิ์พื้นที่มากที่สุดในทะเลจีนใต้ ซึ่งอ้างกรรมสิทธิ์มากถึง90%
ส่วนอำนาจอ่อนนั้น มันคือการใช้ เสน่ห์ทางวัฒนธรรม ค่านิยมทางการเมือง และนโยบายต่างประเทศที่ไม่ขัดต่อหลักความถูกต้อง หากมันน่าสนใจพอก็จะสามารถโน้มน้าวให้ผู้อื่นยอมรับในกระแสของมัน ค่อยๆตะล่อมไป เพื่อสร้างอำนาจโน้มน้าวให้ชนชาติยินยอมน้อมรับตามที่ต้องการ มันถึงได้เป็นส่วนช่วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยังไงล่ะครับ
ถ้ายังไม่เห็นภาพ ผมลองยกตัวอย่างไปว่า กระแส K-pop ของเกาหลี หรือกระแส Anime ของญี่ปุ่นทุกคนก็คงจะร้องอ๋อกันเลยใช่ไหมล่ะครับ แต่มันมีอะไรมากกว่านั้นครับ Joseph Nye ได้กล่าวว่า soft power เนี่ยมีแหล่งที่มาอยู่ 3 อย่าง นั่นก็คือ
1) วัฒนธรรมที่สามารถโน้มน้าวผู้อื่นได้
2) ค่านิยมทางการเมืองทั้งในและนอกประเทศ
3) นโยบายต่างประเทศที่ชอบธรรมและใช้อำนาจอย่างมีศีลธรรม
ซึ่งถ้าครบทั้งสามอย่างนี้ พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่มาพร้อมความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่งก็จะเกิด (หยอกๆ) โดยหากประเทศใดที่มีวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับค่านิยมหรือมีประโยชน์ต่ออีกประเทศนึง ก็จะทำให้ได้รับ Buff ที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพ Soft power ได้มากยิ่งขึ้น
แต่ที่เราพิมพ์กันมาแบบนี้ก็ใช่ว่าอำนาจอ่อนจะดีกว่าการใช้อำนาจแข็งนะครับ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นวิธีซึ่งนุ่มนวลกว่า แต่ก็อาจไม่ส่งผลให้เกิดผลที่ดีกว่าอำนาจแข็งเสมอไป เนื่องจาก Soft Power อาจถูกนำไปใช้ได้ทั้งในทางที่ดีและไม่ดีได้เช่นกัน และในความเป็นจริง ทรัพยากรทางอำนาจเอง ต่อให้ดีแค่ไหนก็ไม่อาจก่อผลแบบ Soft power ได้ หากขาดการสนับสนุนจากภาครัฐไม่ว่าจะเป็น การสอนภาษา โครงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ความช่วยทางด้านเศรษฐกิจ หรือการสนับด้านการทูตเป็นต้น
ครับ นั่นก็คือข้อมูลคร่าว (นี่คือแบบคร่าวๆจริงๆนะ) ที่เรานำมาเสนอในวันนี้ จริง ๆ แล้วในตัวแนวคิดของ Soft power ยังมีรายละเอียดอะไรอีกหลายอย่าง แต่เท่าที่เราสรุปมาก็คงพอทำให้ผู้อ่านทั้งหลายพอที่จะเข้าใจและมองภาพรวมของมันออกแล้วแหละครับ
1
โดยโพสต์ต่อไปเนี่ย ผมมีประเด็นนึงที่น่าสนใจมากที่อยากจะมาแชร์ให้เพื่อนๆฟัง นั่นก็คือ ตัวอย่างของงานสื่อเคลื่อนไหวต่างๆ เช่นพวกภาพยนต์หรืออนิเมชั่น กับ Soft power ผมจะพาไปดูว่ามันมีความเกี่ยวข้องกันยังไง แล้วแต่ละประเทศที่เป็นเบอร์ใหญ่ๆเนี่ยเขามีมุมมองหรือการปฏิบัติต่อแนวความคิดนี้ยังไงบ้าง
มาถึงจุดนี้แล้วเพื่อน ๆ มีข้อสงสัยกันไหมครับว่าแม้แต่ตัวกระแส K-pop ของเกาหลี หรือ Anime ของญี่ปุ่นยังถือเป็น Soft power แล้ว Soft power ของไทยล่ะ มีอะไรบ้าง แล้วทำไม Soft power ของประเทศเราถึงไม่เด่นชัดเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในขณะที่ประเทศไทยเองก็มี Soft power ที่เกิดขึ้นมาไม่นานอย่างกระแสข้าวเหนียวมะม่วง แม้แต่ลูกชิ้นยืนกิน หรือแม้แต่ในเรื่องของภาพยนตร์ที่ดังไกลไปถึงต่างแดน
เพราะฉะนั้น รอติดต่อตอนต่อไปได้เลยนะครับน่าจะมาไม่เกิน 2-3 วันแน่นอน รับประกันจากใจ (เชื่อกันหน่อยนะครับ ฮา) แต่ในระหว่างนั้นผมกลัวว่าท่านๆทั้งหลายกลัวที่จะเบื่อกันไปก่อน เพราะงั้น ก่อนโพสต์ใหญ่เราจะถือเข็นมาให้อ่าน ก็จะมีโพสต์เล็กๆเกี่ยวกับสาระอื่นๆ เป็นตัวคั่นเวลานะครับ ด้วยฝีมือของคุณบีมและคุณอั้มนั้นเอง รอติดตามอ่านกันได้เลยครับผม
อ้างอิง :
โฆษณา