21 ต.ค. 2022 เวลา 09:57 • ข่าวรอบโลก
เล่นกับไฟ ? นักวิจัยสหรัฐฯกำลังเล่นกับไฟ เมื่อทำการสร้างไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ ที่มีความรุนแรงมากกว่าเดิม อัตราการเสียชีวิตในหนูมากถึง 80%
8
หลังจากที่มีข่าวร้อนแรง เป็นที่กล่าวขวัญกันทั่วโลก ในเรื่องรายงานการศึกษาวิจัย ไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ ที่นักวิจัยของสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาขึ้น และพบว่ามีผลทำให้เกิดความรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์เดิมตามธรรมชาติ
3
ผู้เขียนจะสรุปรายละเอียด ในรูปแบบเข้าใจง่าย ที่เพียงพอต่อการทำความเข้าใจในงานวิจัยที่ค่อนข้างเป็นวิชาการมากดังนี้
1) มีการเผยแพร่งานศึกษาวิจัยออนไลน์ (Pre-print) ที่ยังไม่ได้ผ่านการคัดกรองแบบมาตรฐาน (Peer-Review)
1
2) งานวิจัยดังกล่าว เป็นของ Dr.Saeed และคณะ จากมหาวิทยาลัยบอสตัน BU : Boston University
1
3) การศึกษาวิจัยดังกล่าว ทำในห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยบอสตันที่เรียกว่า BU’s National Emerging Infectious Diseases Laboratories ซึ่งได้ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการทบทวนความปลอดภัยทางชีววิทยาภายใน (Internal Biosafety Review Committee) ของมหาวิทยาลัยแล้ว และของเมืองบอสตัน (Boston’s Public Health Comission) ด้วย
1
4) การวิจัยดังกล่าวได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยบางส่วนจากหน่วยงานกลางของสหรัฐอเมริกาคือ NIAID ซึ่งทางผู้อำนวยการได้แจ้งว่า ตอนที่ทีมวิจัยทำเรื่องขอมานั้น มิได้ให้รายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงว่า จะมีการพัฒนาไวรัสสายพันธุ์ที่เป็นอันตราย อาจทำให้เกิดการระบาดทั่วโลก(Pandemic)ได้
4
5) หลังการเผยแพร่งานวิจัยแบบออนไลน์แล้ว ก็มีนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากมาย ถึงอันตราย ความเสี่ยง และความไม่เหมาะสม เช่น นักวิจัยจากอิสราเอล เป็นต้น
1
6) รายละเอียดของการศึกษาวิจัยดังกล่าว มีดังนี้
เป้าหมาย : เพื่อดูว่าส่วนหนามหรือเอสโปรตีน (Spike protein) ของไวรัสโอมิครอน เป็นตัวที่ทำให้ความสามารถในการก่อโรคโควิดลดความรุนแรงลงใช่หรือไม่ รวมทั้งหนามเป็นส่วนที่ส่งผลให้การติดเชื้อแพร่ระบาดง่ายขึ้นใช่หรือไม่
1
วิธีการ : ได้ทำการพัฒนาปรับปรุงไวรัสก่อโรคโควิดสายพันธุ์ใหม่ขึ้น ที่เรียกว่าไฮบริด(Hybrid) หรือลูกผสม โดยนำเฉพาะส่วนหนามของไวรัสโอมิครอนมาผสมรวมเข้ากับไวรัสดั้งเดิมของอู่ฮั่น ( WT : Wuhan ) เรียกชื่อใหม่ว่า Omi-S : Omicron-S
6
แล้วนำไวรัสดังกล่าวไปทดลองในหลอดทดสอบ ต่อมาจึงทดลองในหนู( Mice : K18-hACE2 ) โดยการใช้ไวรัสเข้าไปทางจมูกสามชนิดคือสายพันธุ์อู่ฮั่น (WT) สายพันธุ์โอมิครอน (Omicron) และสายพันธุ์ไฮบริด(Omi-S) ที่พัฒนาขึ้นใหม่
5
ผลการศึกษา : ไวรัสใหม่ Omi-S มีความสามารถในการทำให้เกิดการติดเชื้อมากกว่าสายพันธุ์ Omicron ตามธรรมชาติหลายเท่าตัว และสายพันธุ์ Omi-S ทำให้หนูมีอัตราการเสียชีวิตมากกว่า Omicron คือสายพันธุ์ใหม่เสียชีวิต 80% ในขณะที่ Omicron ไม่มีเสียชีวิตเลย
5
แต่ขณะเดียวกัน ก็พบว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมอู่ฮั่น WT ทำให้หนูตาย 100% แต่ที่น่าสงสัยคือ ไวรัสสายพันธุ์อู่ฮั่นเมื่อมาติดในมนุษย์ การเสียชีวิตไม่เกิน 10%
1
ข้อจำกัด : นักวิจัยได้บอกถึงข้อจำกัดว่า จะต้องมีการทดลองในสัตว์ที่ใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้น เช่น ลิง จะได้ผลที่ชัดเจนแน่นอนกว่าหนู
3
สรุป : นักวิจัยสรุปผลการศึกษาว่าในส่วนหนามหรือเอสโปรตีน เป็นส่วนที่รับผิดชอบความสามารถในการแพร่เชื้อที่มากขึ้น แต่ไม่ได้เป็นส่วนที่รับผิดชอบต่อความรุนแรง
การเปลี่ยนแปลงตำแหน่ง
ของสารพันธุกรรมในส่วนหนาม จึงไม่สามารถอธิบายเรื่องราวทั้งหมดของคุณสมบัติไวรัสชนิดใหม่ได้
7) ข้อวิพากษ์วิจารณ์ : การที่นักวิจัยทำการพัฒนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ในขณะที่สถานการณ์การระบาดของโควิดทั่วโลกกำลังอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ
1
อาจจะเป็นการสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดการรั่วไหลของไวรัสหลุดออกมาจากห้องทดลอง และด้วยเหตุที่บังเอิญไวรัสสายพันธุ์ใหม่นั้นก่อความรุนแรงมากกว่าสายพันธุ์เดิม ก็จะส่งผลกระทบมากมายมหาศาลต่อมนุษยชาติ จะคุ้มกันหรือไม่
1
แลกกับความรู้ใหม่ ที่นักวิจัยตั้งใจจะเรียนรู้ เพื่อไปทำการพัฒนาไวรัสให้อ่อนแอลง
1
ข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่อไปคือ ทำไมมาตรฐานการกลั่นกรองการวิจัยโดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัยต่อสาธารณะของประเทศมหาอำนาจชั้นนำทางวิชาการ เช่น สหรัฐอเมริกา จึงปล่อยให้มีการวิจัยทำนองนี้ออกมาได้
3
แล้วผู้ใดจะเป็นผู้รับผิดชอบ ในเมื่อหน่วยงานที่ให้ทุนวิจัยสนับสนุนก็ออกมาโยนกลองเรื่องความรับผิดชอบของงานวิจัย ให้กับทางทีมนักวิจัยไปแล้ว
1
เป็นเรื่องชวนปวดหัวอย่างมากของวงการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องเชื้อโรคที่สามารถแพร่ระบาดติดต่อได้ ซึ่งย่อมจะเกินกว่าความรู้ความเข้าใจของวิทยาศาสตร์หรือวิชาการในปัจจุบัน
และน่าจะเกินความสามารถ ที่ใครจะกล้ารับประกันการควบคุมเชื้อโรคใหม่ได้อย่างสมบูรณ์
3
เป้าหมายที่หวังจะสร้างคุณอนันต์ ก็ย่อมเกิดโทษมหันต์ได้ด้วยเช่นกัน
ในส่วนนี้ ยังไม่นับประเด็นเรื่องเมื่อได้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่แล้ว แม้ไม่ได้หลุดรอดออกไปจากห้องปฏิบัติการ แต่อาจถูกนำไปเป็นอาวุธชีวภาพ ซึ่งจะทำลายล้างมนุษยชาติได้มากมาย จนอาจจะมากมายกว่าอาวุธนิวเคลียร์ก็เป็นได้
1
Reference
โฆษณา