30 ต.ค. 2022 เวลา 12:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
Knowledge VS Know-how วิทย์ไทยสอนอะไร📚
การเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ไม่ว่าจะในห้องเรียนหรือการศึกษาจากสื่อต่างๆ เราได้รับความรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์มากมาย เนื้อหาที่แปลกใหม่นอกและในตำราเติมเต็มความสงสัยใคร่รู้ของเรา อีกส่วนคือการสื่อสารวิทยาศาสตร์ที่มีจุดประสงค์ในการย่อยเนื้อหาวิทยาศาสตร์ยากๆให้คนทั่วไปฟังเข้าใจง่าย การสื่อสารวิทย์ทั่วไปก็จะเป็นการเรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์คู่กับการเล่าข่าวสารที่น่าสนใจในแต่ละช่วง แต่เราเคยตั้งคำถามกันไหมว่า การเรียนวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยนั้นแท้จริงให้อะไรกับเรา
วิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่เรียกได้ว่ามีอิทธิพลต่อโลกของเราตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา วิทยาศาสตร์ใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาคำตอบของคำถามที่เรามีต่อสิ่งต่างๆรอบตัว องค์ความรู้เหล่านี้นำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในด้านต่างๆ สร้างความก้าวหน้าและก้าวกระโดดให้มนุษยชาติเป็นต้นมา การเรียนวิทยาศาสตร์จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในประเทศกำลังพัฒนาและประเทศพัฒนาแล้ว
รูปแบบการจัดเรียงหลักสูตรเนื้อหาของแต่ละประเทศไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่ประเทศไทยของเราที่ดูส่งเสริมการเรียนการศึกษาวิทยาศาสตร์ถึงไม่สามารถพัฒนาทัดเทียมนานาอารยประเทศได้ทันเป็นเพราะอะไร ทั้งที่วิทยาศาสตร์ของโลกตะวันตกก็เริ่มเข้ามาครั้งแรกตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราช (1632-1688) และกลับมารื้อฟื้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ (1853-1910) ที่นำเอาเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามา ทั้งยังเริ่มส่งนักเรียนไทยไปเรียนต่างประเทศเพื่อเอาความรู้มาพัฒนาประเทศ
พระนารายณ์มหาราช (1632-1688)
เหตุผลก็คือ เราไปศึกษาเอาความรู้วิทยาศาสตร์และวิธีการวิทยาศาสตร์จากต่างประเทศมาก็จริง แต่ทว่าระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานในประเทศกลับนำเอาเพียงแต่ความรู้มาสอนเท่านั้น! การมีแต่ความรู้แต่ขาดกระบวนการก็เหมือนมีอาหารอันโอชะแต่ขาดช้อนส้อมไว้กิน มิหนำซำ้การเรียนวิทยาศาสตร์ในไทยกลับนำไปใช้ในการศึกษาเข้าวิชาวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (Applied science)
เรามักมองว่าวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ (Pure science) ไร้ประโยชน์ งานวิจัยสายวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์สร้างนวัตกรรม (innovation) ไม่ได้ งานวิจัยวิทยาศาสตร์เหล่านี้จึงถูกจับขึ้นหิ้งไม่ขึ้นห้าง แปลว่า ถูกเก็บบูชาในฐานะความรู้สูงส่ง แต่ไม่สามรถสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆได้ มุมมองแบบนี้ทำให้วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ในไทยไม่ได้รับการส่งเสริมเท่าที่ควร
อะไรคือวิทยาศาตร์บริสุทธิ์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์
วิทยาศาสตร์ประยุกต์เป็นการเอาความรู้ (Knowledge) ไปใช้ผ่านเครื่องมือในสาขาที่ตนมี เช่น แพทย์นำความรู้ชีววิทยาไปใช้ในการศึกษาและรักษาคน วิศวกรโยธาใช้ความรู้คณิตศาสตร์และฟิสิกส์ไปใช้สร้างบ้านเรือน เรียกง่ายๆคือ อาชีพเหล่านี้เพียงแต่เอาความรู้วิทยาศาสตร์ไปใช้ อาจไม่ได้สร้างความรู้วิทยาศาสตร์และวิธีการทางวิทยาศาสตร์ใหม่มาเลย
นักวิทยาศาสตร์คือคนที่สร้างความรู้จากการศึกษาจากการรับรู้วิธีการ (Know-how) ไม่จากการทดลองต่างๆ การสังเกตการ การวิจัยในห้องทดลองและภาคสนาม สร้างความรู้วิทยาศาสตร์ใหม่ควบคู่ไปกับการรับรู้วิธีการที่ต่อยอดต่อไป
กลับมาที่การศึกษาวิทยาศาสตร์กันบ้าง แม้ในวิชาวิทยาศาสตร์จะมีการเรียนสิ่งที่เรียกว่าวิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scienctific method) แต่นั่นไม่ได้ทำให้เด็กเข้าใจวิทยาศาสตร์เลย การทำการทดลองในห้องเรียนที่ควรหยิบวิธีการดังกล่าวมาใช้ กลับกลายเป็นการลอกผลการทดลองมาส่ง การทดลองในชั้นเรียนวิทยาศาสตร์ไทยไม่ได้สร้างความเป็นนักวิทยาศาสตร์ในตัวนักเรียนเท่าที่ควร
เด็กรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับโลกวิทยาศาสตร์นั้นกลับขาดความคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์จากระบบการศึกษาที่ขุนแม่ไก่ให้ออกไข่มากๆ สถาบันสอนพิเศษยิ่งซำ้เติมปัญหาให้การเรียนวิทยาศาสตร์เป็นเพียงการท่องจำแล้วนำไปสอบเท่านั้น ผมอยากตั้งคำถามปลายเปิดว่า เด็กๆที่กวดวิชาทำคะแนนได้ดีแต่ขาดความคิดวิทยาศาสตร์ (Scientific thinking) มีความภูมิใจในความรู้ตนหรือไม่?
ความคิดวิทยาศาสตร์ (Scientific thinking)
หนึ่งในทางแก้ไขที่ผมอยากเสนอคือ การเสนอแง่มุมทางประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น แม้หลายคนคงตั้งคำถามว่าการเรียนเรื่องในอดีตไม่สำคัญ เพราะความรู้เหล่านั้นก็ผิดไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ เราควรเรียนความรู้ใหม่เพื่อต่อยอดเทคโนโลยีโลกอนาคต แต่สิ่งที่เราเรียนรู้จากประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์คือ ความล้มเหลว วิธีคิดของนักวิทยาศาสตร์และมุมมองในแต่ละยุคสมัย เข้าใจพลวัฒน์ของวิทยาศาสตร์เพื่อก้าวต่อไปยังโลกอนาคตได้ การเรียนรู้อดีตเพื่อลิขิตอนาคตจึงสำคัญ โดยเฉพาะประเทศที่มีรากฐานวิทยาศาสตร์หยั่งลึกได้ไม่นาน
ประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ที่เรียนควรได้รับรู้ครบทุกแง่ ทั้งความเป็นมาของแนวคิด การทดลองหรือหาคำตอบในเรื่องต่างๆ ไม่ใช่จำชื่อนักวิทยาศาสตร์เยอะๆ ชี้ให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์ไม่ใช่ความจริงแท้ เป็นเพียงข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนตามหลักฐานในแต่ละยุคสมัย รับรู้มิติทางสังคมและการเมืองที่มีผลต่อวิทยาศาสตร์ วรรณกรรมและภาษาเป็นปัจจัยสำคัญต่อการสร้างแนวคิดวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ควบรวมทั้งความรู้และวิธีการเข้าหากับ แล้ววิทยาศาสตร์ที่เราไม่เคยรู้จักจะผลิดอกออกผลในสังคมไทย
โฆษณา