Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เล่าสู่กันฟัง
•
ติดตาม
23 ต.ค. 2022 เวลา 09:50 • หนังสือ
รีวิวหนังสือเรื่อง ร้านขายเวลา
ผู้เขียน คิมซ็อนย็อง
ผู้แปล สุมาลี สูนจันทร์
สำนักพิมพ์ PICCOLO
ร้านขายเวลาเป็นเรื่องราวของเด็กผู้หญิงมัธยมปลายชื่อ “แพ็กอนโจ” ที่ต้องการทำงานพาร์ตไทม์ในช่วงปิดเทอม แต่เมื่อทำงานพาร์ตไทม์ก็พบว่าสังคมของการทำงาน สภาพแวดล้อมไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
โดยร้านแรกคือร้านเบเกอรี่ ที่เจ้าของร้านเอาเปรียบพนักงานและไม่ซื่อสัตย์กับลูกค้า ร้านที่สองคือร้านเฝอที่เจ้าของร้านใจดี ดูแลพนักงานเป็นอย่างดี เพื่อนร่วมงานก็ดี แค่ข้อเสียคือสุขภาพของอนโจเอง
เมื่ออนโจลาออกจากงานพาร์ตไทม์ อนโจจึงมีความคิดว่าในเมื่อเวลากลายเป็นเงินเป็นทองได้ ถ้าเราขายเวลาจะเป็นอย่างไรละ
อนโจเปิดร้านขายเวลา โดยใช้ชื่อนามแฝงว่า “โครนอส”
โดยเรื่องราวของร้านขายเวลาจะกล่าวถึงเรื่องราว 3 เรื่องด้วยกัน
เรื่องแรกเป็นของลูกค้าที่ขื่อ “เคียงข้างเธอ” เรื่องที่ขอให้ทำให้คือ นำของที่ถูกขโมยมา เอากลับไปคืนให้เจ้าของ
เคียงข้างเธอคือเพื่อนในโรงเรียนเดียวกับอนโจ อนโจสามารถนำของที่ขโมยมาไปคืนที่เดิมได้ ฟังดูเหมือนเรื่องจะจบลงแล้วใช่ไหม แต่ไม่!
หลังจากนั้นการขโมยก็เกิดขึ้นอีก คนที่ขโมยคือเพื่อนร่วมห้องของเคียงข้างเธอ แต่การขโมยครั้งนี้เพื่อนร่วมห้องของเคียงข้างเธอบอกว่าจะจบชีวิตของตัวเองลง เหตุผลที่ทำแบบนั้นเพราะความกดดันจากครอบครัว เนื่องจากพ่อแม่มีหน้ามีตาในสังคม มีหน้าที่การงานที่ดี จึงมุ่งหวังในตัวลูกไว้สูง ถึงแม้ว่าจะพยายามแค่ไหนในสายตาคนรอบข้างมักมองว่า เด็กคนนี้เก่งอยู่ในรัดับแถวหน้าของนักเรียนเรียนดี แต่ในสายตาของพ่อแม่คำว่าเก่ง ดี มีแค่ที่หนึ่งเท่านั้น
ยิ่งพ่อแม่ความหวังในตัวลูกสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ลูกมีความกดดันและเครียดมากขึ้นเท่านั้น จึงไม่แปลกที่เด็กจะเกิดการต่อต้านขึ้นเพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากความกดดันเหล่านั้น แม้แค่เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นก็ตาม หรือเพียงแค่ต้องการให้พ่อแม่รู้สึกอับอายกับการกระทำของตน ทั้งๆที่รู้ว่าสิ่งที่ทำคือสิ่งที่ผิด
ถ้าพ่อแม่ยอมเปิดใจ เปิดโอกาสให้ลูกได้พูด ได้แสดงความคิดเห็นในสิ่งที่ต้องการบ้างทุกอย่างคงดีกว่านี้ เพราะนั่นคือความเข้าใจ ความไว้ใจ ความอบอุ่น ที่คนในครอบครัวเท่านั้นที่จะมอบให้ได้
เรื่องที่สองเป็นเรื่องของลูกค้าที่ชื่อ “อีคีงโท” สิ่งที่ถูกขอร้องให้ทำคือ การกินอาหารกลางวันกับคุณปู่อย่างเอร็ดอร่อย
ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ แต่ปัญหาของเรื่องนี้คือความไม่ลงรอยของปู่และพ่อของอีคังโท เรื่องเริ่มมาจากการตายของคุณย่าที่พ่อของอีคังโทไม่ยอมไปดูใจตอนใกล้ตาย ทำให้คุณปู่ไปยื่นฟ้องศาลโดยมีลูกชายเป็นคู่กรณี เพื่อเรียกร้องขอเงินค่าเล่าเรียนและเงินข่วยเหลือในการลงหลักปักฐานคืนทั้งหมด ทำให้คังโทไม่มีหน้ามากินข้าวกับคุณปู่ได้
จุดจบของเรื่องนี้คือ คังโทถามพ่อว่า ผมจะทำให้พ่อเท่ากับที่พ่อทำให้ปู่เท่านั้น จะไม่มากน้อยไปกว่านั้น และสิ่งที่ผมและปู่ต้องการจากพ่อก็แค่เวลาร่วมกันเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ถามว่าเรื่องแค่นี้ยากเย็นขนาดนั้นเชียวหรือ ซึ่งพ่อก็ตอบไม่ได้ และเมื่อพ่อได้อ่านคำสั่งเสียของคุณย่าจึงกลับมาที่เกาหลี และคุณปู่ก็ถอนฟ้องพ่อ
ถ้าคนในครอบครัวมีเวลาให้กัน ทำกิจกรรมร่วมกัน แม้เพียงเวลาสักเล็กน้อยความสัมพันธ์ภายในครอบครัวคงจะดีกว่านี้
ถึงแม้ว่าทุกวันนี้สิ่งที่ถูกขับเคลื่อนไปข้างหน้าคือเทคโนโลยี ความรวดเร็วของข้อมูลข่าวสาร หน้าที่การงาน ความมั่นคง เงินทอง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ชีวิตดำรงอยู่ต่อไปได้ แต่หากเราลองเดินให้ช้าลง มองสิ่งที่อยู่รอบตัว ใส่ใจคนที่อยู่ข้างๆ เราจะมองเห็นอะไรบางอย่างที่ชัดเจนขึ้นมากกว่าเดิม
เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องราวของ “ดอกหญ้าอิสระ” สิ่งที่ร้องขอคือ นำจดหมายไปส่งในที่ที่กำหนดไว้เดือนละสองครั้ง และต้องหย่อนลงที่ตู้จดหมายเองกับมือด้วย
โดยชื่อผู้รับจดหมายจะเป็นชื่อของดอกไม้ ซึ่งผู้ส่งคือคุณครูที่จากโลกนี้ไปแล้ว ส่วนผู้รับคือนักเรียน
เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าเศร้าของเวลาที่คนๆ หนึ่งต้องการยื่อเวลาออกไปให้นานที่สุด เพื่อการดำรงอยู่ของตัวเอง แม้ตัวเองจะจากโลกนี้ไปแล้วก็ตาม โดยผูกพันธสัญญาไว้กับจดหมายที่จะส่งให้กับเด็กนักเรียน ส่วนเวลาของเด็กนักเรียนก็คือการเฝ้าคอยจดหมายที่จะได้รับจากคุณครู
คนๆ หนึ่งแม้ไม่มีโอกาสได้ใช้เวลาในโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว แต่ก็ยังเลือกใช้วิธีที่จะยื้อเวลาที่จะอยู่ต่อในชีวิตของใครบางคน
แล้วเราเคยถามตัวเองไหมว่าทุกวันนี้ที่เรายังมีเวลาอยู่เราใช้เวลาคุ้มค่าและดีพอในทุกช่วงเวลาแล้วหรือยัง
เราไม่สามารถตอบได้ว่าเวลาของเราในทุกวันนี้เราจะนับต่อไปข้างหน้าได้อีกกี่วัน หรือจริงๆ แล้วเรากำลังนับถอยหลังกันแน่?
ในเมื่อตอบไม่ได้ ไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปขอซื้อเวลาของใคร เพื่อมาทำบางอย่างให้แทนเรา แต่ควรเป็นตัวเราเองที่สมควรลงมือทำสิ่งเหล่านั้นเองต่างหาก ถ้าเรารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันผิดเราก็ควรแก้ไขด้วยตัวของเราเอง เพราะนั่นจะเป็นการแก้ปมในใจของเราเองมากกว่า
หรืออยากทำอะไรก็ควรเริ่มลงมือทำ ไม่ใช่เมื่อถามความคิดเห็นของคนอื่นเมื่อเขาบอกว่ายากทำไม่ได้หรอก เราก็เลือกที่จะไม่ทำ ทั้งๆ ที่เรายังไม่ได้ลองทำ แต่สิ่งที่คนเหล่านั้นพูด เราก็ควรฟังและคิดตามว่าทำไมเขาถึงพูดเช่นนั้น ถ้าสิ่งที่เราจะทำนั้นไม่ได้ผิดกฎหมาย จารีต ผิดทำนองคลองธรรม เราก็ควรจะลอง เพราะคนที่ประสบความสำเร็จไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ต้องใช้เวลาเสมอ แค่ว่าวันนี้เราเริ่มที่จะใช้เวลากับมันหรือยัง
เราทุกคนล้วนมีเวลาเท่ากันเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้อย่างไรเท่านั้นเอง
1 บันทึก
3
10
1
3
10
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย