26 ต.ค. 2022 เวลา 05:34 • การตลาด
มองมุมต่างดราม่าหนุ่ย พงศ์สุขหรือหนุ่ยแบไต๋กับการโพสต์เรื่องนักศึกษาฝึกงานในบริษัทตนเองลงโซเชียล
เห็นเรื่องนี้ “ยุคใหม่ฯ” ก็แปลกใจเหมือนกันที่ทำไมผู้บริหารระดับสูงและยังเป็นเจ้าของบริษัท ถึงลงมาโพสต์ในเชิงตำหนินักศึกษาฝึกงาน 2 คนในกรณีที่ไม่ทักทายใครเลยในที่ทำงานของทั้งคู่
ในโพสต์ยังได้ระบุว่าได้ทำการทักทายไปแต่น้องคนหนึ่งที่เป็นผู้ชายมองหน้าสักพักแล้วถึงค่อยทัก ส่วนน้องผู้หญิงไม่ได้ทักเลย ซึ่งพนักงานในที่ทำงานก็ได้มาเล่าให้คุณหนุ่ยฟังในเรื่องที่ทั้ง 2 คนไม่ทักทายใครเลย
แต่ทว่างานที่รับผิดชอบไม่ได้ขาดตกบกพร่องแต่ประการใด การนำเสนองานและแนะนำตัวเองในที่ประชุมก็ทำได้ดี ส่วนเรื่องอื่นๆสามารถหาอ่านรายละเอียดในสื่อโซเชียลได้ และเพื่อไม่ให้เนื้อหายืดยาวออกไป “ยุคใหม่ฯ” ขอเสนอมุมมองของประสบการณ์ตรงที่เป็นคนใน Gen X ที่มองมาในคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Y, Z และ I ลงไปถึง Gen Millennium ที่คุณหนุ่ยได้กล่าวถึงช่องว่างระหว่าง Gen ในการชี้แจงการขอโทษในการกระทำในครั้งนี้
ที่มา https://positioningmag.com/1259780
เรื่องแรกเลยคือการกระทำของคุณหนุ่ย ที่นำเรื่องนี้ไปโพสต์ลงในสื่อสาธารณะ ที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก ถือว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม เพราะทุกคนล้วนแล้วแต่มีรูปแบบการดำเนินชีวิตในการใช้ชีวิต ในแบบที่ตนเองเป็นไม่จำเป็นต้องเหมือนกับที่คุณหนุ่ยอยากให้เป็น หรือเรียกง่ายๆว่าคุณหนุ่ยกำลังตัดสินน้องฝึกงานทั้งคู่อยู่
แต่หลังจากนั้นคุณหนุ่ยก็ออกมาขอโทษในเรื่องที่ได้กระทำลงไป ในส่วนนี้ก็ต้องยอมรับในความกล้าหาญที่กล้าออกมาขอโทษทั้งต่อสังคมและต่อน้องทั้ง 2 คน บอกได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องที่ทำกันง่ายๆเลยกับการออกมาขอโทษคนที่เด็กกว่า ทั้งยังมาอาศัยสถานที่ของตนเองในการฝึกงานด้วย เพราะมันติดทั้งอัตตาที่ตนเองมี ติดทั้งภาพลักษณ์ที่กลัวดูไม่ดี
ที่มา: Head Topics
หากพิจารณาดูข้อความที่คุณหนุ่ยโพสต์ลงไปโดยตัดเรื่องของอคติออก แม้ว่ามันอาจจะตัดออกได้ยากก็จริง เราจะเห็น 2 มุมในข้อความนั้น คือข้อความที่ต้องการตำหนิ แต่มากกว่านั้นคือต้องการแนะนำให้น้องทั้ง 2 คนเข้าใจถึงการอยู่ร่วมในสังคม ซึ่งในแต่ละองค์กรก็มีวัฒนองค์กรเฉพาะตัวที่ต่างกันไป ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับจริตของน้องๆทั้งคู่
ในส่วนของน้องฝึกงานทั้ง 2 คน ก็ต้องชื่นชมการทำงานที่ไม่ขาดตกบกพร่อง ยิ่งเมื่อเทียบกับวัยสิบปลายๆยี่สิบต้นๆ ยิ่งต้องชื่นชมต่อความรับผิดชอบมากขึ้น ทั้งยังเป็นคนที่กล้าแสดงออกกล้าที่จะนำเสนอด้วย แต่สิ่งที่น้องๆ ควรเรียนรู้จากเรื่องนี้ก็คือ
1. ไม่ว่าน้องๆจะอยู่ใน Generation ไหนก็ตาม น้องๆต้องเข้าในด้วยว่าต้องทำงานกับคน ถึงแม้ว่าจะทำงานที่บ้านหรือไม่ออกมาพบปะใครก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วก็ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนอยู่ดี
2. การที่ทำตัวไม่สนใจใครแคร์โลก เพราะฉันได้รับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ให้ออกมาดีเป็นที่พอใจได้แล้ว จะเอาอะไรกันฉันอีก มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการทำงานเท่านั้น แต่งานที่ทำน้องๆก็ต้องส่งต่อให้คนที่เกี่ยวข้องทำอยู่ดี
ที่มา: Brightside People
3. การที่ไม่ทักไม่ทายไม่มีรอยยิ้มไม่มีปฏิสัมพันธ์กับใคร ใครจะอยากร่วมงานด้วย งานจะออกมาดีขนาดไหน ถ้าคนทำต่อเขาไม่เต็มใจ งานที่ของมาในท้ายที่สุดจะออกมาดีได้อย่างไร ที่สำคัญงานที่น้องๆทั้งคู่ทำจะมีพัฒนาการได้อย่างไร ในเมื่อไม่ได้ทักทายใครหรือไม่ได้สนใจคุยกับใคร อะไรที่จะมาช่วยพัฒนาในมุมมองต่างน้องๆก็หมดโอกาส
4. จะเป็นอย่างในบรรยากาศของการทำงานที่แต่ละคนจะคุยกับก็ต่อเมื่อมีงานแล้วต่างคนต่างอยู่ สุดท้ายแล้วคุณภาพงานจะออกมาอย่างไร
คุณหนุ่ยเองหรือแม้แต่พี่ๆในที่ทำงานอาจจะทำไม่เหมาะสม ที่ไปตัดสินน้องๆทั้งคู่ แต่น้องทั้งคู่ก็ทำไม่เหมาะสมเช่นกัน ที่ไม่สร้างความอึดอัดให้กับสังคมการทำงาน
แล้วถ้าน้องๆทั้งคู่เติบโตไปแล้วต้องเป็นหัวหน้าคน แล้วคนๆที่ดูแลอยู่ทำตัวแบบเขา คิดว่าองค์กรที่น้องทำอยู่จะออกมารูปแบบไหน
ที่มา www.winnews.tv
ผู้ใหญ่อาจจะทำผิดพลาดได้ไม่ต่างกับเด็กหรอก แต่สิ่งที่ต่างของความเป็นผู้ใหญ่คือการยืดอกออกมารับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้กระทำลงไปมากกว่า พร้อมทั้งเรียนรู้กับเรื่องที่เกิดขึ้น
ต่างคนต่างอภัยกัน เข้าใจถึงความแตกต่างของกันและกัน ไม่ตัดสินกันแต่เรียนรู้ซึ่งกันและกัน เด็กเรียรู้สิ่งดีๆจากผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เรียนรู้สิ่งดีๆจากเด็ก สังคมกลุ่มเล็กๆในที่ทำงานก็น่าอยู่ขึ้น ส่งผลไปถึงสังคมขนาดใหญ่ขึ้นก็น่าอยู่ไปด้วย
รอยยิ้มที่จริงใจไม่เสียตังค์หรอก ทักทายกันยิ้มให้กันบ้าง ก็ร่วมกันสร้างสิ่งดีๆให้โลกใบนี้ได้แล้ว
ที่มา  www.winnews.tv
โฆษณา