Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เธอๆอ่านเรื่องนี้หรือยัง
•
ติดตาม
1 พ.ย. 2022 เวลา 13:42 • การ์ตูน
EP : 706 (Repost)
อาสึมิ ภาค 2
จริงๆ รีวิวนี้ต้องเริ่มต้นตั้งแต่ ในอดีต เรื่อง อาสึมิ ภาคแรกนั้น ยังไม่มีการพิมพ์ออกมาครบเท่าต้นฉบับญี่ปุ่นนะครับ จนในที่สุดก็มีค่ายไพเรทค่ายนึงพิมพ์ออกมาใหม่ตั้งแต่ต้น ผมเลยได้มีโอกาสเก็บส่วนที่ขาดจนครบเนื้อหาในภาคแรก แต่ด้วยระยะเวลาที่มันห่างกับเนื้อหาส่วนแรกที่ผมมีอยู่ ก็เลยไม่ได้หยิบมาอ่านใหม่และรีวิวให้อ่านกันเพราะจำนวนเล่มมันเยอะอยู่นะครับ ก็เลยดองเอาไว้ในกองหนังสือ จนตอนนี้ผมหาเนื้อหาตอนต้นที่เก็บไว้ไม่เจอแล้วว่าเก็บไว้ที่ตรงไหน T_T
จนกระทั่งภาค 2 ออกมานี่แหล่ะครับ ซึ่งจริงๆ ไม่คิดว่าจะมีคนออกมานะครับ เพราะเรื่องนี้ในบ้านเรากระแสมันไม่ได้ดีมาก หรือมีคนตามมากซักเท่าไหร่ แต่เมื่อมีออกมา คนที่ตามงานของ อ.ยู และมีภาคแรกอย่างผม จึงไม่พลาดที่จะหามาเก็บไว้ แม้จะต้องจ่ายรวดเดียวเลยก็ตามครับ
แต่ในช่วงแรกผมก็มีคำถามหลายอย่างเลยนะ อย่างเช่น เนื้อหา อาสึมิ จะอิงกับภาคแรกไหม เพราะผมก็ยังอ่านไม่ครบจบในภาคแรก ถ้าเนื้อหามันต่อจะงงไหม ถ้าได้อ่านภาคสองก่อน หรือ เนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับ เรียวม่าในภาคสอง มันจะเอามาผสมกันอย่างไรฟะ
ก็ในเมื่อภาคแรกมันเกิดคนละยุคห่างกันกว่า 200 ปีเลยนะเฮ้ย แต่เมื่อผมเช็คเนื้อหากับบางส่วนที่ได้อ่านในเล่มที่ได้มาแล้วก็เข้าใจว่าเนื้อหาในภาคสองนี้ สามารถอ่าน และรีวิวแยกของมันได้เลย โดยไม่ต้องกังวลว่า ไม่ได้อ่านภาคแรกมาก่อนนั้น จะงง หรือไปสปอยเนื้อหาภาคแรกหรือเปล่า เพราะมันไม่เกี่ยวกันเลยทั้งสองภาคครับ ก็เลยลัดคิวอ่าน และกลายมาเป็นที่มาของรีวิวในครั้งนี้ครับ กับ “อาสึมิ ภาค2” ครับ
“มุไค ชุนสึเกะ” ลูกชายแห่งตระกูล “มุไค” ตระกูลซามูไรชั้นต่ำ ซึ่งดำรงกิจกรรมและวิถีชีวิตตามกฎระเบียบของสังคมศักดินา ที่มีรัฐบาลของ “โตกุกาว่า” เป็นผู้ดูแลมากว่า 200 กว่าปี ด้วยศักดิ์นาของตระกูล “มุไค” ได้กินเบี้ยหวัดจากรัฐบาลแค่ ข้าวสาร 30 กระสอบสำหรับคนสองคนต่อปีเท่านั้น
ทำให้สมาชิกในครอบครัวที่ประกอบไปด้วย พ่อและแม่ของเขา ตัวเขาและพี่สาว และคุณปู่ที่สติหลงๆลืมๆ ต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัดและอดออม ซึ่งเขาไม่เคยมีปัญหาในเรื่องพวกนี้เลย เพราะครอบครัวนี้สั่งสอนและดูแลให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เป็นและวิถีชีวิตที่ถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิดแบบนี้
แต่ในวันนึงขณะที่เขากำลังเดินไปเรียนกับเพื่อนอีกสองคน อยู่ๆ ก็มีหญิงสาวที่สวมชุดกิโมโนชั้นสูงแบบผู้ชายที่มีค่าเกินกว่าฐานะของพวกเขาจะสวมใส่ได้ และหญิงสาวคนนั้นก็มาทักทายชุนสึเกะ อย่างสนใจ ทำให้เขาและเพื่อนแปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะตัวชุนสึเกะ ไม่รู้จักกับผู้หญิงคนนี้เลย
และเธอก็ทำตัวเหมือนอยากรู้จักกับชุนสุเกะมาก และนี่คือการพบกันครั้งแรกระหว่าง ชุนสึเกะ กับ อิสึมิ หญิงสาวที่จะนำพาเขาไปสู่ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงของญี่ปุ่น ช่วงเวลาที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น และนำพาทุกอย่างในชีวิตของเขาให้เปลี่ยนไป.
อย่างที่บอกครับว่า อาสึมิ ภาคนี้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวกับ อาสึมิ ภาคแรกเลย สิ่งเดียวที่เกี่ยวข้องกันก็คือ การสืบทอดชื่อ อาสึมิ จากภาคแรก ที่เสมือว่าชื่อนี้ จะยกให้กับเด็กสาวที่เก่งที่สุดในรุ่นที่ทำการฝึกฝนมา จึงทำให้ในเรื่องนี้ยังคงใช้ชื่อ “อาสึมิ” อยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ อาสึมิในภาคนี้คือคนละคนกับอาสึมิในภาคแรก เพราะระยะห่างระหว่างสองภาคนี้คือ 200 กว่าปีด้วยกันครับ
นอกเหนือจากคำว่า อาสึมิ ที่ตัวเอกใช้แทนชื่อไปตลอดทั้งเรื่อง จึงไม่มีส่วนไหนที่เกี่ยวข้องกับภาคแรกเลย ทำให้ภาคนี้มีเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาคแรกอย่างสิ้นเชิง ทำให้ผมสามารถอ่านภาคนี้ก่อนภาคแรกโดยไม่มีส่วนที่จะก่อให้เกิดปัญหาเมื่อกลับไปอ่านภาคหนึ่งในวันหลังครับ
อาสึมิ ภาค 2 นี้เล่าเรื่องในช่วงการเปลี่ยนแปลงจากการปกครองแบบศักดิ์ดาไปสู่การปกครองสมัยใหม่ซึ่งพวกเรารู้จักกันดีแล้วสำหรับคนเคยอ่านงานของ อ. ยู เพราะเป็นช่วงเวลาเดียวกับเรื่อง “เรียวม่า” ที่ อ. เคยวาดมาก่อนหน้านี้นานแล้ว เรียกได้ว่า เนื้อหาแทบจะซ้อนกับการเล่าเรื่องในเรียวม่าเลยครับ เพียงแต่อาศัยการเล่าเรื่องโดยใช้ตัวหลักที่ไม่ใช่เรียวม่า ทำให้เราได้เห็นรายละเอียดปรีกย่อยนอกเหนือจากเรื่องเรียวม่า
เสมือนเป็นมุมมองจากอีกบุคคลนึงที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ รวมถึงมีการขยายเนื้อหาบางส่วนที่สำคัญซี่งในเรื่องเรียวม่าไม่ได้นำเสนอมาด้วย ทำให้ภาพรวมของเนื้อหาภาคนี้นั้น นอกจากจะมีความดุเดือดจากการต่อสู้ของ อาสึมิ แล้ว
ก็ยังมีความร้อนระอุของสถานะการณ์บ้านเมืองที่ภายนอกโดยชาวต่างชาติเร่งจะเอาญี่ปุ่นเป็นเมืองขึ้น แต่ภายในมีการต่อสู้กันเองระหว่างคนที่ต่อต้านชาวต่างชาติและเชื่อมั่นว่าญี่ปุ่นจะชนะในสงครามกับอีกกลุ่มที่ต้องการปฎิวัติประเทศตัวเองเพื่อจะพัฒนาญี่ปุ่นให้ทัดเทียมกับต่างชาติ ก่อนที่จะสู้กันในตอนนี้ เพราะหากสู้กันคนกลุ่มนี้ก็คิดว่า ญี่ปุ่นต้องแพ้แน่นอนครับ
ตั้งแต่ทีแรกที่ผมรู้ว่าเนื้อหาเรื่องนี้พูดทับซ้อนกับเรื่องเรียวม่าว่า เรื่องนี้จะนำเสนอและเล่าเรื่องราวออกมาแบบไหน เพราะต้องยอมรับว่าเรื่องนี้คือเรื่อง “อาสึมิ” ซึ่งมีสไตล์การเล่าเรื่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งหากจะถามว่า “อาสึมิ” ในความรู้สึกผมนั้นเป็นอย่างไร ก็ต้องบอกว่า ในมุมมองผม “อาสึมิ” คือการ์ตูนแนวบู๊ล้างผลาญ ที่ขายฉากต่อสู้ ความดุเดือดของการฆ่าฟันโดยมีศูนย์กลางตัวเอกคือหญิงสาวที่จะทำให้ทุกคนหลงรักได้โดยง่ายอย่างอาสึมิ
ซึ่งหากมองจากภาคแรกที่ประสบความสำเร็จแล้ว ก็จะพบว่ามันเป็นการ์ตูนเน้นฉากการต่อสู้จริงๆ ไม่ได้หมายความว่าฉากการต่อสู้สวยงามอะไรนะครับ แต่เป็นการต่อสู้ที่วุ่นวาย มะลุมมะตุ้ม สับสนอลม่าน โดยมีฉากหลังเป็นการเมืองสองขั้วที่ตัวอาสึมิต้องทำภารกิจเพื่อญี่ปุ่นในช่วงแรกๆ ของการก่อตั้งรัฐบาลของ “โตกุกาว่า” เราเลยได้เห็นฉากหัวหลุด แขนโดนฟัน ไส้ขาด คนฟันตกตะลึงว่าตัวเองโดนฟันโดยหญิงสาวหน้าตาดีคนนี้ได้อย่างไร พวกนี้เป็นตัวเรียกเรตติ้งให้ภาคแรกประสบความสำเร็จและเป็นที่กล่าวข่านกันมาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบัน
แต่หันมามองที่เรื่อง “เรียวม่า” ก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องตรงกันข้ามเป็นอย่างมาก เพราะแท้จริงแล้ว “เรียวม่า” เป็นการ์ตูนแนวดราม่าอิงประวัติศาสตร์ ซะมากกว่าครับ ในเรื่องนี้เราจะพบถึงความยากลำบากของคนที่ไม่ได้มียศฐาบรรดาศักดิ์ ปัญหาของการมีศักดิ์นาในประเทศญี่ปุ่นในอดีต ด้วยเรื่องมันเป็นการฉายภาพให้เห็นถึงผู้ที่เคลื่อนไหวให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเรียวม่า ในเรื่องจึงต้องฉายภาพให้เห็นถึงปัญหาและความคับแค้นใจที่ไม่อาจอยู่ร่วมกับระบบที่ปกครองญี่ปุ่นมากว่าหลายร้อยปีนี้
ซึ่งเรื่องทำออกมาได้ดีมากๆ ผมว่า ใครได้อ่านเรียวม่าแล้วไม่คับแค้นใจหรือไม่สะเทือนใจกับสิ่งที่เรียวม่าได้เจอ คงไม่มีแน่นอน และเมื่อเรื่องทำได้สุดแบบนั้น จึงไม่จำเป็นต้องนำเสนอเรื่องราวการต่อสู้ให้เห็นครับ จะบอกว่าในเรื่องเรียวม่าไม่มีก็คงไม่ใช่ แต่เรียกว่า การต่อสู้เป็นเพียงการเล่าเรื่องประกอบเรื่องราวของเรียวม่ากว่าจะประสบความสำเร็จมากกว่า การลุยเดี่ยวหรือฉายภาพความดุเดือดในการฆ่าให้เห็นนั้น ในเรียวม่า
แทบจะไม่มี ถ้าจะมีก็จะเอามาใช้ในฉากเพื่อบิ้วให้เห็นถึงสังคมอันแตกต่างจากการปกครองมากกว่าครับ เพราะฉะนั้นในภาพรวมแล้ว ทั้ง “อาสึมิและเรียวม่า” มีการนำเสนอที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งสไตล์การเล่าเรื่อง สิ่งที่ต้องการสื่อสารและนำเสนอ นั่นเลยเป็นคำถามใหญ่ๆ ที่ผมคิดไว้ก่อนอ่านว่า ถ้าอย่างนั้น อ. ยูจะเล่าเรื่องออกมาแบบไหน...
ซึ่งผมก็พบคำตอบนั้นเมื่อได้อ่าน เพราะผมพบว่า อ. ใช้วิธีการผสมจุดเด่นและสไตล์จากทั้งสองเรื่องเลย ไม่ได้หนักด้านในด้านหนึ่งเป็นสำคัญ โดยการแบ่งช่วงในการเล่าเป็น 2 ช่วงใหญ่ๆ ครับ
ก่อนอื่นแม้เรื่องนี้จะขึ้นหัวว่าเป็นเรื่อง “อาสึมิ” แต่ตัวละครหลักๆจริงๆ ที่ถูกใช้เล่าเรื่อง อ. เลือกใช้บริการของ “ชุนสึเกะ” ลูกชายคนรองของบ้าน มุไค นะครับ ด้วยการผูกเรื่องให้ ตัวชุนสึเกะคนนี้เป็นพี่น้องฝาแฝดกับตัวอาสึมิ และได้ถูกแยกเอามาเลี้ยงโดยตระกูล มุไค โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยตั้งแต่บัดนั้นระหว่าง ชุนสึเกะ และ อาสึมิ เรื่องใช้ประโยชน์จากตรงจุดนี้
ทำให้ อาสึมิ ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับพี่น้องที่เกิดพร้อมกันแต่มีชะตากรรมต่างกันอย่างในเรื่อง และ ยกตัวชุนสึเกะ ให้เป็นคนที่อยู่ร่วมในทุกเหตุการณ์และบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดในเรื่องผ่านมุมมองของเขาเป็นสำคัญ
เพราะฉะนั้นตัวละครหลักสำคัญในเรื่องนี้จึงมีตัว “ชุนสึเกะ” และ “อาสึมิ” โดยมีตัวละครดังๆอย่าง เรียวม่า สอดแทรกมามีบทเป็นระยะและเป็นคนสำคัญของทั้ง ชุนสึเกะ และ อาสึมิ ครับ และเอาเข้าจริงผมไม่ได้ไปตรวจสอบกับเรื่องในเรียวม่าว่า ในเรียวม่ามีการเขียนถึงตัว ชุนสึเกะ คนนี้ไว้ด้วยหรือเปล่า ถ้ามีในเรื่องเรียวม่า บทบาทเขาคงน้อยมากๆ จนผมไม่สังเกต แต่ในเรื่องนี้คือตัวเอกของเรื่องเลยครับ
เรื่องในช่วงแรกจึงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชุนสึเกะและสมาชิกในบ้านที่โดนการปกครองแบบศักดินาข่มเหง เรื่องใส่ดราม่าหนักๆ การกลั่นแกล้งให้เห็นแบบชัดๆ ผ่านสมาชิกในบ้านซึ่งตัวชุนสึเกะต้องคอยรับผลกระทบตรงนี้ไปเต็มๆ เนื้อหาตรงส่วนนี้เหมือนการเดินเรื่องในบ้านของ “เรียวม่า” เป็นอย่างมาก
เหมือนในแง่การนำเสนอความโหดร้ายของตัวละครที่ทำให้เขากล้าที่จะกำหนดเส้นทางตัวเองเพื่อทำการเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ เพียงแต่ขอชุนสึเกะ ตัวเขาเองไม่ได้มีฝีมือด้านการต่อสู้อย่างเรียวม่า และตัวละครเขาไม่ใช่สายบู๊แต่เป็นสายบุ๋น ตัวเขาจึงถูกชักนำด้วยตัว “อาสึมิ” ครับ
ถ้าคุณชอบเนื้อหาในการนำเสนอเรียวม่าในแคว้นไอสึ คุณจะถูกใจเนื้อหาช่วงแรกของ อาสึมิ ภาคนี้อย่างไม่ยากครับ เพราะเนื้อหานำเสนอไปทางเดียวกัน โดยมีการสอดแทรกการต่อสู้ของ อาสึมิ เพื่อให้เห็นว่าเธออยู่ฝ่ายไหน เป็นระยะ เนื้อเรื่องตรงจุดนี้จึงเดินเรื่องแตกต่างจาก อาสึมิ ภาคแรกเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ถึงกับไม่มีฉากต่อสู้ให้เห็นนะครับ มีพอสมควรแต่ความตระการตาของมันยังไม่ถึงจุดที่ต้องโชว์ความเทพของอาสึมิครับ
แม้เนื้อหาตอนแรกผมบอกเล่าเหมือนว่าจะไม่ค่อยมีการต่อสู้ แต่เนื้อหาตรงจุดนี้มันมีความจำเป็นเป็นอย่างมาก เพราะเสมือนเป็นการแนะนำตัวละคร ที่จะมีบทบาทต่อไปเรื่อยๆ
และสำคัญหลายๆคนมากๆ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครหลายตัวที่จะทำให้เนื้อหาช่วงหลังมันเต็มไปด้วยความหนักของโชคชะตาที่แต่ละตัวละครต้องเจอครับ ผมชอบช่วงนี้นะ มันดูดราม่าดี และทุกท่านก็คงจะรู้อยู่แล้วว่า อ. เขาถนัดในการใส่ความดราม่าและโชคชะตาอันน่าเวทนาให้กับตัวละครของเขาแค่ไหน ซึ่ง อ. ใส่เข้ามาให้เห็นเต็มๆและสนุกน่าเห็นใจตัวละครมากๆในส่วนนี้ครับ
ตัวอาสึมิในภาคนี้ ในช่วงแรกเราจะเห็นว่าเธอแตกต่างจากอาสึมิในภาคแรกเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากฝีมือที่เก่งกาจเหมือนกันแล้ว นอกนั้นแตกต่างกันจดเกือบหมดครับ ภาคนี้ตัวละครเธอมีปากมีเสียงแม้แต่ในกลุ่มของผู้ฝึกสอนที่จะคอนป้อนคำสั่งให้เธอไปจัดการนั่นโน่นนี่ ก็ยังให้เกียรติเธอเป็นอันมาก
ซึ่งแม้ภาคแรกจะเห็นใกล้เคียงกันแต่ผมว่าเขาให้เกียรติแตกต่างกันไปคนละแบบครับ และที่สำคัญตัว อาสึมิ มีส่วนร่วมในดราม่าในช่วงแรกๆเป็นอย่างมาก เรียกว่าเอาตัวเข้ามายุ่งด้วยความสัมพันธ์กับบ้านของ ชุนสึเกะ ที่เราเข้าใจได้ว่าเพราะอะไรครับ
ตรงจุดนี้ผมว่าภาคสองนี้ จึงมีความแตกต่างกันทั้งการนำเสนอในช่วงแรกและการนำเสนอตัว อาสึมิ ในอีกแบบที่แตกต่างจากภาคแรกในการมีความสัมพันธ์ที่เราสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายๆว่าทำไมเธอถึงต้องเอาตัวลงไปเล่นแบบนี้ ถือว่าเป็นจุดแตกต่างระหว่าง อาสึมิสองคนของสองภาคที่ผมเห็นอย่างชัดเจนมากๆครับ
เรื่องใช้เวลาปูเนื้อเรื่องและนำเสนอตัวละครที่จะมีส่วนสำคัญในอนาคตในเนื้อหาช่วงแรกนี่ในระดับนึงครับ น่าจะราวๆ 1 ใน 3 ของเนื้อหาเลยก็ว่าได้ เมื่อปูเนื้อเรื่องช่วงนี้ได้แน่นแล้ว เรื่องก็นำพาพวกเขาและอาสึมิก้าวเข้าไปสู่สนามรบที่เป็นจุดตัดสินชะตากรรมของประเทศและของพวกเขาอย่างที่เราๆรู้กันครับ... ใช่ครับนั่นคือเมืองหลวง “เกียวโต” ครับ
เมื่อมาถึงเนื้อหาตรงจุดนี้คือสมรภูมเกียวโต สถานะของ ชุนสึเกะ จะอยู่ในตำแหน่งลูกศิษย์คนสำคัญของเรื่องราว ทำให้ตัวเขาก้าวเข้ามาเอี๋ยวกับแนวความคิดในการปฎิรูปประเทศซึ่งขัดกับแนวทางสายหลักที่ต้องการปะทะและขับไล่ต่างชาติ มันจึงเป็นเหตุผลที่ตัว ชุนสึเกะ ต้องรู้จักกับตัวละครทุกตัวสำคัญในช่วงเวลานี้ แน่นอนครับรวมถึงเรียวม่าด้วย
เนื้อหาตรงช่วงนี้ จะมีการใช้วิธีเล่าแบบตัดสลับเข้ามาบางจังหวะ ด้วยการเล่าช่วงปลายทางของเรื่องราวไปแล้ว เพื่อให้เรารู้ว่าตัว ชุนสึเกะ นั้นจะอยู่ตรงจุดไหนในประวัติศาสตร์ที่ได้เริ่มเขียนใหม่ แม้เป็นการตัดกลับไปให้เห็นเนื้อหาไม่เยอะ แต่เป็นการพักเบรกและเป็นวิธีการเล่าที่ไม่เคยได้เห็นในงานเรื่อง อาสึมิ หรือเรียวม่า มาก่อนครับ ปกติถ้าจะมีการบอกเหตุการณ์ล่วงหน้า มักจะเขียนเป็นคำบรรยายสั้นๆ เท่านั้น แต่เรื่องนี้นำเสนอภาพให้เห็นชัดเจนว่าตัว ชุนสึเกะจะเป็นเช่นไร
และเรื่องก็จะตัดกลับมาสู่ไทม์ไลน์เดิมเล่าเนื้อหาความดุเดือด สิ่งที่เขาได้รับ ความโหดร้ายและความเป็นความตายที่ช่วงนั้นเขาได้เผชิญ ทั้งจากระบบเดิมและกลุ่มโชกุนที่เล็งเห็นว่าเขาคือส่วนนึงของกลุ่มคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงครับ
ตัดกลับมาที่ตัว อาสึมิ เมื่อเข้ามาสู่เนื้อหาในส่วนเกียวโต เธอจะมีบทบาทในหลายๆส่วนมากขึ้น ตามเหตุการณ์ที่กำลังระอุ การลอบสังหาร หน้าที่ของเธอมีโอกาสได้ใช้งานเยอะขึ้น เรื่องจะป้อนสถานการณ์ยากๆให้กับเธอทำ และนำเสนอบทสรุปตอนท้ายในแต่ละครั้ง ผมว่าการใส่เนื้อหาช่วงนี้ก็ยังคงเน้นดราม่าและความกดดันเรื่องอื่นนอกเหนือจากแค่ภารกิจสังหารเข้ามาอยู่เหมือนช่วงแรกนะครับ แต่มีจังหวะการแสดงฝีมือและการต่อสู้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กับโจทย์การฆ่าที่โหดขึ้นเพราะเมื่อถึงจุดนึง
สถานะของเธอก็จะถูกเปิดเผยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ผมว่าเนื้อหาตรงจุดนี้เรื่องเดินไวมากนะครับ พอชี้ประเด็นเสร็จก็เล่นภารกิจสังหารสลับกับดราม่าและ เมื่อจบก็วิ่งเจอกับดราม่าต่อไปอีก ผมจึงรู้สึกว่าแม้ช่วงนี้เราจะได้เห็นเธอแสดงฝีมือมากขึ้น แต่ความดราม่าต่างๆ ก็ยังหมุนรอบตัวเธออยู่เสมอ เรียกว่าไม่ได้นำเสนอ อาสึมิ แค่ความเก่งในฉากต่อสู้เท่านั้น ยังนำเสนอการแก้ปัญหาและความอึดอันในสิ่งที่เธอต้องทำและไม่อยากทำ รวมถึงทำไม่ได้ในหลายๆอย่างด้วยครับ
ในขณะเดียวกันสิ่งที่เราสังเกตได้และเป็นวิธีการที่ใช้ในภาคแรกอย่าง การนำเสนอด้านศัตรูของเธอนั้น ก็ยังคงใส่มาให้เห็นอยู่ครับ มันจะมีตัวละครที่โผล่มาตาย กับตัวละครที่ถูกนำเสนอว่ามีความน่าสนใจและดูแล้วรู้ว่าถูกจับมาเพื่อเป็นศัตรูตัวฉกาจของอาสึมิ สิ่งที่เรื่องนี้ทำคือ
แต่ละศัตรูจะมีความเป็นเอกลักษณ์ทั้งในแง่บุคลิกภาพและในแง่เรื่องราวความเป็นมา บางคนจะชัดเจนมากๆในการใส่ความโชคร้ายของชะตากรรมตัวเองทำให้ต้องมายืนอยู่ในจุดที่ต้องใช้ฝีมือปะทะกับอาสึมิ เหมือนในยุคสมัยอันเลวร้ายนี้ หากไม่ตายด้วยความอดอยาก ก็คงต้องเลือกตายด้วยคมดาบของศัตรูแทน หลายๆคนที่ใส่มาผมชอบนะครับ ดูมีเนื้อหาและทำให้เราเอาใจช่วยและเห็นใจตัวศัตรูของอาสึมิไปด้วยครับ
จุดนึงที่ผมสงสัยตั้งแต่ตอนแรก ก็คือเรื่องจะใส่ความสัมพันธ์ระหว่าง อาสึมิ และ เรียวม่า อย่างไร เพราะในแง่นึง อาสึมิคือนักฆ่า ส่วน เรียวม่า คือคนที่เรารู้อยู่แล้วว่าจะตายตอนไหนตามประวัติศาสตร์ ผมแค่อยากรู้ว่าจะทำให้ทั้งคู่เดินเรื่องไปกันด้วยกันอย่างไร โดยไม่รู้สึกว่าจงใจเกินไป ซึ่งสิ่งที่ได้อ่านก็รู้สึกว่าทำออกมาได้ดีนะครับ การเจอ ความสัมพันธ์ และบทส่งท้ายของทั้งสองคน ถือว่าเนียนใช้ได้ครับ
ด้วยเรื่องนี้มันเป็นการ์ตูนอิงประวัติศาสตร์ ทำให้เรารู้เนื้อหาและไทม์ไลน์ในเหตุการณ์แต่ละช่วงคร่าวๆอยู่แล้ว สำหรับคนที่อ่านเรียวม่ามา เนื้อหามันสนับสนุนกันไปมาระหว่างเรื่องนี้กับเรียวม่านะครับ
ด้วยการใช้การเล่าจากมุมมองของ ชุนสึเกะ ทำให้เราได้เห็นรายละเอียดบางอย่างเพิ่มเติมจำนวนมาก ที่จะไม่ได้เห็นจากเรื่องเรียวม่า ซึ่งทำให้เราอ่านสนุกมากขึ้นนะครับถ้าคุณได้อ่านเรียวม่ามาแล้ว หรืออ่านเรื่องนี้เสร็จแล้วไปอ่านเรียวม่า จะพบว่ามันเต็มไปด้วยรายละเอียดที่มีส่วนทับซ้อนกันน้อยมาก แต่เสริมกันให้เราเห็นภาพได้กว้างขึ้นมากครับ แถมเรื่องนี้ยังนำเสนอจุดสำคัญที่เรียวม่าไม่ได้นำเสนอไว้ นั่นก็คือ “ใครเป็นคนฆ่าเรียวม่า”
อย่างที่รู้ๆกันว่า “เรียวม่า” มีศัตรูเยอะมาก ทั้งพวกเดียวกันและฝั่งตรงกันข้าม ด้วยการเดินเกมส์ของเขาที่ไม่ต้องการให้มีสงครามระหว่างคนญี่ปุ่นด้วยกันเองเลย ซึ่งการยึดหลักแบบนี้ทำให้เขาเป็นศัตรูแม้แต่เพื่อนที่ร่วมอุดมการณ์และมีอำนาจบางคน นั่นทำให้เรื่องการตายของเรียวม่า
ณ ปัจจุบัน ก็มีแต่ทฤษฎีและความน่าจะเป็นหลายๆทางออกมา โดยไม่สามารถหาความจริงว่า เขาถูกฝ่ายไหนฆ่ากันแน่ ซึ่งในเรื่องเรียวม่า อ. ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อปล่อยให้มันเป็นไปตามข้อสันนิษฐานตามประวัติศาสตร์อย่างที่เราเคยได้อ่านกันไปเท่านั้น แต่อย่างที่บอกครับเรื่องนี้ อ. กลับนำเสนอความคิดเห็นตรงจุดนี้ออกมา ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจและเป็นส่วนที่แตกต่างจากเรื่องเรียวม่าอย่างชัดเจนมากๆครับ
การนำเสนอว่าใครเป็นคนฆ่าเรียวม่า ในเรื่องอาสึมินี้ ผมว่าก็น่าสนใจนะ เพราะก็เป็นกลุ่มคนอีกกลุ่มนึงที่ถูกเกร็งเอาไว้ว่ามีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นผู้ลงมือฆ่าเรียวม่าจริงๆ พอได้เห็น อ. วาดลงมา ผมว่ามันดูน่าสนใจดีครับ รวมถึงการพาไปสู่บทส่งท้ายของเรื่อง ระหว่าง อาสึมิ และ บุคคลที่สังหารเรียวม่า ตามสูตรของเรื่องราวแนวนี้
ในบทส่งท้ายผมค่อนข้างประทับใจในการนำเสนอเป็นพิเศษนะครับ เพราะด้วยห้วงอารมณ์และการเปลี่ยนผ่านของเหตุการณ์ สิ่งที่รับรู้ได้เลยคือ ความบอบช้ำของคนที่ต้องผ่านช่วงเวลานั้นไปอย่างยากเย็น ภาพที่นำเสนอ แม้บางคนอาจรู้สึกว่ามันดูดาวน์เนื้อเรื่องลงอย่างชัดเจน แต่ผมกลับชอบมันมาก รู้สึกถึงความเจ็บ รู้สึกถึงความห่วงหา จากใครบางคนได้เป็นอย่างดี ถือว่าเป็นตอนจบที่เปิดช่องให้คนอ่านได้คิดเห็นตามทางของตัวเองได้เป็นอย่างดีครับ
ก่อนจะจบเดี๋ยวขอพูดถึงงานผลิตการ์ตูนเรื่องนี้หน่อยนะครับ ด้วยเรื่องนี้เป็นงานพิมพ์ในวงจำกัด ซึ่งปกติผมจะรีวิวเรื่องงานผลิตไว้ด้วยครับ “อาสึมิ ภาค 2” นี้เป็นงานของค่าย NEW PROJECT COMICS ซึ่งเคยทำ อาสึมิ ภาคแรกจบ มาแล้วก่อนหน้านี้
ซึ่งทางค่ายก็บอกมาว่า เรื่องอาสึมิ ภาคสองนี้ น่าจะเป็นเรื่องสุดท้ายที่ทางค่ายนี้ทำ อันนี้ไม่แน่ใจว่าอนาคตจะมีทำเรื่องอื่นอีกหรือเปล่านะครับ เพราะนี่ถือเป็นค่ายเก่าแก่ที่พิมพ์หลายๆเรื่องที่น่าสนใจออกมาอยู่เป็นระยะครับ โดยส่วนตัวมีงานของ ค่ายนี้เยอะอยู่ครับ หายไปผมคิดถึงนะครับ
มาที่ตัวหนังสือกันบ้าง ตัวเล่มมีขนาดเท่ากับหนังสือการ์ตูนทั่วไปโดย เรื่องนี้ ทำการพิมพ์อาสึมิ เป็นแบบเล่มหนานะครับ เพราะจริงๆตามต้นฉบับญี่ปุ่นมีทั้งหมด 18 เล่มจบ แต่ทางค่าย เลือกที่จะรวม 2 เล่มญี่ปุ่นให้เป็นเล่มเดียวในไทยครับ นัยนึงคิดว่าเพื่อทำให้เหลือจำนวนเล่มแค่ 9 เล่มจบ เพื่อง่ายต่อการจ่ายเงินของคนซื้อเพราะเป็นจำนวนเล่มที่ไม่เยอะเกินไปครับ
โดยเรื่องนี้พิมพ์ออกมาเป็นแบบปกสองชั้นตามสมัยนิยมนะครับ ปกนอกใช้ภาพตามปกญี่ปุ่น พิมพ์สีสวยงาม โดยที่ปกแข็งด้านในใช้เป็นภาพสีเดียว จากภาพเดียวกันจากปกหน้านะครับ ถือว่าตามสูตรของหนังสือการ์ตูนทั่วไป
เล่มนี้พิมพ์แบบคนไทยเปิดอ่านนะครับ ไม่ใช่แบบเปิดอ่านแบบญี่ปุ่น งานพิมพ์ที่ออกมาความคมชัดถือว่าใช้ได้ แม้จะไม่คมชัดมากก็ตาม แต่อ่านแล้วไม่ติดปัญหาอะไรครับ รวมถึงความคมชัดของตัวอักษรด้วยที่อยู่ในระดับทั่วไป ไม่ได้แย่อะไร ถือว่าอ่านได้แม้ไม่คมชัดในบางครั้งครับ
งานพิมพ์ความเข้มของหมึกถือว่าโอเคนะครับ อ่านแล้วหมึกไม่ติดมือ ส่วนมืดหรือส่วนสกีนถือว่าทำออกมาได้ดีครับ รวมถึงงานแปลที่ผมว่าแปลได้ดี และลื่นมากๆ อาจด้วยมีประสบการณ์ทำการ์ตูนแนวนี้มาเยอะครับ ทั้งๆที่เป็นงานประวัติศาสตร์ผมว่าทำออกมาได้ดี มีส่วนที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งค่ายนี้ทำแบบนี้มาตลอดถ้าเป็นงานอิงประวัติศาสตร์ที่สอดแทรกความรู้เพิ่มเติมให้ได้ครับ ถือว่าเยี่ยมครับ
อาสึมิภาคสองนี้ อ. ยูเขียนไว้ระหว่างปี 2008- 2014 ซึ่งก็คือหลังภาคแรกจบ ก็เริ่มภาคสองต่อเลยครับ โดยส่วนตัวผมชอบภาคนี้มากไม่แพ้ภาคแรกเลยครับ แม้จะมีการนำเสนอที่แตกต่างกัน ถือเป็นลูกผสมที่ใช้เทคนิคการเล่าและการผูกเรื่องที่ผสมทั้งจาก อาสึมิ ภาคแรกและ เรียวม่า รวมถึงการใช้วิธีการเล่าแบบย้อนไปมาในบางจังหวะ ซึ่งปกติไม่ค่อยได้เจอในงานของ อ. เท่าไหร่ครับ
ตัวเนื้อหามีความเข้มข้นมากๆ ทั้งความดราม่าที่ใส่มาได้อย่างหนักๆ รวมถึงโชคชะตาและชะตากรรมตัวละครในเรื่องที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันน่าสงสารและน่าเห็นใจ ในความเป็นสังคมญี่ปุ่นในช่วงเวลานั้นครับ ถือว่าเป็นเรื่องที่บีบคั้นหัวใจคนอ่านได้ดีมากๆ และฉากการต่อสู้ แม้จะไม่ตระการตาเหมือนในอาสึมิภาคแรก แต่สนุกและตื่นเต้นไม่แพ้กัน ผมจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้เลือกการนำเสนอที่เหมาะกับเนื้อหาและเรื่องราวมากๆอีกเรื่องนึงของ อ. เขานะครับ
สนุกตั้งแต่หน้าแรกยันหน้าสุดท้าย และตอนปิดก็ทำออกมาได้ประทับใจผมเช่นกัน เป็นอีกเรื่องที่คนอ่านเรียวม่า ห้ามพลาด คนอ่านอาสึมิ ก็ห้ามพลาด คนตามงานของ อ. ยู ก็ห้ามพลาด คนชอบอ่านประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นก็ยิ่งห้ามพลาด รวมถึงใครชอบงานสนุกๆ งานดีๆ นี่ยิ่งห้ามพลาดเลยครับเรื่องนี้ แนะนำสุดๆครับ
ภาพ 8.5/10
เรื่อง 10/10
ความประทับใจ 10/10
#Manga #รีวิวการ์ตูน #จบ #9เล่มจบ #NewProjectComis #การ์ตูนแนวต่อสู้ #การ์ตูนแนวอิงประวัติศาสตร์ #MangaAnimeReviews #การ์ตูนแนวดราม่า #10คะแนน #อาสึมิ #Azumi #หนังสือการ์ตูน #Rate15 #เรียวม่า
บันทึก
1
1
2
1
1
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย