3 พ.ย. 2022 เวลา 00:32 • หุ้น & เศรษฐกิจ
⚠️ สรุปและวิเคราะห์: เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน พร้อมส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ย...ได้เวลาซื้อหุ้นสหรัฐฯหรือยัง?
1
🏦 ธนาคารกลางสหรัฐฯประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมเมื่อคืนที่ผ่านมาสู่ระดับ 3.75% - 4.00% นับเป็นการปรับชึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน และเป็นระดับสูงที่สุดตั้งแต่ปี 2008 อย่างไรก็ตามตรงนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใดเนื่องจากตลาดได้คาดการณ์ไว้อยู่แล้วนั่นเองคะ แต่สิ่งที่ตลาดตกใจก็คือท่าทีของเฟดที่ออกไปทางแทงกั๊กอีกแล้ว โดยด้านหนึ่งกลับออกมาส่งสัญญาณว่าจะเริ่มชะลอการขึ้นดอกเบี้ย
3
แต่อีกด้านหนึ่งกลับบอกว่าระดับสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยในรอบนี้ หรือ terminal rate จะสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯกลับตัวจากแดนบวกมาปิดลบ 2.5% นับเป็นผลงานการทุบตลาดหุ้นของเฟดที่รุนแรงที่สุดตั้งแต่เดือนมกราคม 2021 และเป็นครั้งแรกที่ดัชนี S&P500 ร่วงลงมากกว่า 1% เป็นเวลา 2 วันติดต่อกันในระหว่างการประชุมเฟด
✅ ไปดูที่ข่าวดีกันก่อนคะ แถลงการณ์ของ FOMC ได้มีการเพิ่มข้อความใหม่ซึ่งเป็นสัญญาณว่าการขึ้นดอกเบี้ยกำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว โดยระบุว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอนาคต "จะคำนึงถึงความเข้มงวดของนโยบายการเงินที่ได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง ระยะเวลากว่านโยบายการเงินส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ (lag) และการพัฒนาเศรษฐกิจและการเงิน"
ขณะที่ถ้อยแถลงของคุณพาวเวลล์ก็ออกมาสอดคล้องเช่นกัน โดยกล่าวว่า อาจเป็นการเหมาะสมที่จะชะลออัตราของการขึ้นดอกเบี้ย “อย่างเร็วที่สุดคือในการประชุมครั้งต่อไป หรือไม่ก็การประชุมหลังจากนั้น แต่เฟดยังไม่ได้มีการตัดสินใจใดๆ” พร้อมย้ำอีกว่า “เรายังมีงานต้องทำต่อ” ก่อนที่อัตราดอกเบี้ยจะตึงตัวเพียงพอ ขณะที่ยังบอกอีกว่า “มันยังเร็วเกินไปที่จะคิดถึงการหยุดขึ้นดอกเบี้ย”
2
🎯 จากท่าทีตรงนี้สะท้อนว่า เฟดมีความคิดที่จะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยแน่นอนแล้ว และอาจเริ่มทำทันทีในการประชุมเดือนธันวาคมนี้เลย ซึ่งตรงนี้นิคกี้คิดว่าเราน่าจะได้เห็นการขึ้นดอกเบี้ย 0.50% แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างยังคงขึ้นอยู่กับตัวเลขเงินเฟ้อและภาคแรงงานที่จะประกาศในระหว่างนี้
1
โดยเฟดจะได้เห็นตัวเลขดังกล่าวอีก 2 เดือน (เดือนตุลาคมและพฤศจิกายน) ก่อนที่จะเริ่มประชุมในวันที่ 13-14 ธันวาคมนี้ จากข่าวดีตรงนี้ทำให้ตลาดหุ้นได้แรงหนุนเข้ามา เพราะว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯน่าจะเข้าใกล้จุดสูงสุดแล้ว และมีโอกาสปรับตัวลงได้ในช่วงกลางปีหน้าเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐฯเริ่มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน
❌ อย่างไรก็ดี ความหวังต่างๆของนักลงทุนก็หายวับไปกับตาเนื่องจากหลังการประชุมคุณพาวเวลล์ได้ออกมาระบุว่า “ข้อมูลเศรษฐกิจที่เข้ามาตั้งแต่การประชุมครั้งล่าสุด ชี้ให้เห็นว่าระดับสูงสุดของอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะสูงกว่าที่เราได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้” ซึ่งถ้าเราย้อนไปดู Dot Plot ล่าสุดของเฟดที่ปล่อยออกมาในการประชุมเดือนกันยายนจะพบว่า ค่า median ของอัตราดอกเบี้ยนโยบายคือ 4.4% ในปี 2022 และ 4.6% ในปี 2023 ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2024
1
แต่เมื่อดูจากคำพูดของพาวเวลล์แล้ว อัตราดอกเบี้ยสูงสุดน่าจะไปไกลกว่า 4.6% แน่นอนคะ ซึ่งส่วนตัวแล้วนิคกี้มองว่าอาจจะไปแตะที่ 5% ได้เลยแหละคะ ซึ่งตรงนี้ส่งผลให้ตลาดหุ้นถูกเทขายโดยทันที ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 2 ปีก็พุ่งขึ้นเช่นกัน
🤔คำถามถัดมาคือ แล้วทำไมเฟดถึงส่งสัญญาณอะไรที่มันขัดแย้งกัน แบบไม่มีช่องว่างให้หายใจ คำตอบก็คือ เฟดได้รับบทเรียนไปแล้วในช่วงกลางปีที่ตอนนั้นส่งสัญญาณ dovish มากเกินไป จนทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯฟื้นตัวอย่างรวดเร็วนั่นเองคะ พอตลาดหุ้นฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว บวกกับตลาดคาดว่านโยบายการเงินจะไม่เข้มงวดแล้ว ทำให้คนกล้าออกมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับมาสูงขึ้นนั่นเองคะ
1
ส่งผลให้เฟดต้องกลับมาในโทน hawkish อย่างหนักและทุบตลาดหุ้นกลับลงมานั่นเองคะ ซึ่งตอนนั้นนับเป็น policy mistake ของเฟดอย่างนึงที่เป็นการส่งสัญญาณที่ผิด หรือ wrong signal ให้กับตลาด เพราะว่าจริงๆแล้วในตอนนั้นเองเฟดก็ยังไม่ได้ตั้งใจว่าจะหยุดการขึ้นดอกเบี้ย แต่ด้วยท่าทีและถ้อยคำต่างๆที่ออกมา มันทำให้ตลาดมองโลกในแง่ดีมากเกินไปนั่นเอง
1
🎯 ดังนั้นในรอบนี้เฟดน่าจะยังคงไม่อยากให้ตลาดมองข้ามไปถึงการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้า (ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวแรงๆ และเงินเฟ้อไม่ปรับตัวลงต่อ) เลยจำเป็นต้องส่งสัญญาณ hawkish เข้ามากดตลาดหุ้นเอาไว้ไม่ให้ฟื้นตัวเร็วเกินไป แต่ว่าจะทำจริงๆหรือไม่ก็จะเป็นอีกเรื่องนึง เพราะเฟดพูดเสมอๆว่าทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่เข้ามานั่นเองคะ
1
ดังนั้นแล้วการประชุม 2 ครั้งถัดไปในเดือนธันวาคม 22 และมกราคม 23 อาจออกได้ทั้ง 2 หน้าคือ ขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ทั้ง 2 ครั้ง หรือขึ้นดอกเบี้ย 0.50% และ 0.25% ตามลำดับ ซึ่งถ้าเป็นกรณีแรก อัตราดอกเบี้ย terminal rate จะไปอยู่ที่ 5.00% ส่วนในกรณีที่ 2 อัตราดอกเบี้ยจะไปอยู่ที่ 4.75% นั่นเองคะ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน อัตราดอกเบี้ยก็สูงกว่าที่เฟดคาดการณ์ไว้ใน dotplot ทั้งคู่คะ
3
💸 คำถามถัดมาคือ แล้วตอนนี้ใช่เวลากลับเข้าไปซื้อหุ้นสหรัฐฯแล้วหรือยัง ซึ่งถ้าเราไปดูการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของนักเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจโดย Bloomberg เมื่อปลายเดือนที่แล้ว จะพบว่า นักเศรษฐศาสตร์คาดกว่าจะเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนธันวาคม และอัตราดอกเบี้ยสูงสุดจะอยู่ที่ 5% ในปีหน้า
ขณะที่ในฝั่งของนักลงทุนก็มองไปในทางเดียวกัน โดยถ้าดูจากฟิวเจอร์สจะพบว่าตลาดคาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนธันวาคม และอัตราดอกเบี้ยสูงสุดจะอยู่สูงกว่า 5% เล็กน้อยภายในกลางปี 2023 ซึ่งสะท้อนว่าตลาดก็รับข่าวการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดไปหมดแล้วนั่นเองคะ
1
ดังนั้นการปรับตัวลงมาของตลาดหุ้นรอบนี้นับเป็นโอกาสที่ดีมากๆในการกลับเข้าไปซื้อหุ้นสหรัฐฯอีก 1 รอบ และลงทุนยาวข้ามไปถึงปลายปีหน้าคะ แต่ถ้าถามว่าช่วงสั้นๆนี้หุ้นสหรัฐฯจะฟื้นแบบเร็วๆไหม นิคกี้มองว่าไม่คะ เพราะอย่างที่เล่าไปคือ เฟดจะยังคงกดตลาดหุ้นต่อไปก่อนจนกว่าจะแน่ใจว่าเงินเฟ้อปรับตัวลงแล้วจริงๆ หรือพูดง่ายๆคือช่วงนี้ตลาดน่าจะ sideway ถึง sideway up ต่อไปก่อนคะ
3
Source: Bloomberg
✅ ทั้งนี้ อย่าลืมติดตามนิคกี้เพิ่มเติมได้ทาง
#เศรษฐกิจ #การเงิน #ลงทุน #กองทุน #มือใหม่ #ข่าวเศรษฐกิจทั่วโลก #ข่าวทั่วโลก #ARK #GINNO #TMBESGINNO #กลต #ECB #Commodities #WeeklyNews #หุ้น #กองทุนรวม #ดอกเบี้ย #นักลงทุน #จีน #GDP #พาวเวลล์ #สหรัฐฯ #Terra #UST #รัสเซีย #เงินเฟ้อ #หุ้นจีน #ยุโรป #เวียดนาม #Bitcoin #คริปโต #Bloomberg #Crypto #FED #เฟด
โฆษณา