5 พ.ย. 2022 เวลา 07:04
ฎีกาที่ 3962/2564
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยเห็นว่า พยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมายังเป็นที่สงสัยว่า จำเลยกระทำความผิดหรือไม่ แต่จำเลยยังมีความรับผิดทางแพ่งต้องคืนเงิน 6,278,700 บาท แก่โจทก์ร่วม โจทก์และโจทก์ร่วมไม่อุทธรณ์ มีเพียงจำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่ต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ร่วม คดีส่วนอาญาจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยไม่มีความรับผิดที่ต้องคืนเงินแก่โจทก์ร่วมและพิพากษาให้ยกคำขอที่ให้จำเลยคืนเงินที่ยังไม่ได้คืนแก่โจทก์ร่วม ดังนั้นโจทก์ร่วมจึงไม่อาจฎีกาเพื่อขอให้ศาลฎีกาลงโทษจำเลยในความผิดส่วนอาญาที่ได้ยุติไปแล้ว แม้ผู้พิพากษาที่พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นจะรับรองให้โจทก์ร่วมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็หาก่อให้เกิดสิทธิในการฎีกาของโจทก์ร่วมไม่
ส่วนคำขอให้คืนเงินที่ยังไม่ได้คืนแก่โจทก์ร่วมนั้นเป็นคำขอส่วนแพ่ง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44 วรรคสอง ให้รวมเป็นส่วนหนึ่งแห่งคำพิพากษาในคดีอาญา การพิจารณาคดีส่วนแพ่ง จึงต้องพิจารณาตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 244/1 บัญญัติว่า “ภายใต้บังคับมาตรา 247 คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด”
และมาตรา 247 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “การฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ให้กระทำได้เมื่อได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา” และวรรคสอง บัญญัติว่า “การขออนุญาตฎีกา ให้ยื่นคำร้องพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้นที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนั้น...” เช่นนี้ คำพิพากษาในคดีส่วนแพ่งของศาลอุทธรณ์ภาค 5 ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 244/1
โจทก์ร่วมจะฎีกาได้ต่อเมื่อยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกามาพร้อมกับคำฟ้องฎีกา และได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา จึงจะมีสิทธิฎีกาได้ ทั้งการที่โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่พิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 5 รับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นการยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา
เนื่องจากเป็นกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะแล้ว การที่โจทก์ร่วมยื่นฎีกาโดยไม่ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกามาด้วย จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกามาจึงเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา