5 พ.ย. 2022 เวลา 08:17
ฎีกาที่ 2953/2564
การสั่งอนุญาตให้เข้าเป็นคู่ความแทนโจทก์นั้นเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 โดยกฎหมายกำหนดให้ยื่นภายในกำหนด 1 ปี นับแต่วนที่คู่ความฝ่ายนั้นมรณะและกฎหมายบัญญัติไว้ด้วยว่าหากไม่ยื่นให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเรื่องนั้นออกจากสารบบความ ซึ่งบทบัญญัติมาตรา 42 ดังกล่าวก็เชื่อมโยงกับมาตรา 132 (1) ซึ่งบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องการจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
ซึ่งบทบัญญัติในส่วนนี้มีลักษณะของการบัญญัติให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจในการจำหน่ายคดีได้ไม่ใช่เป็นบทบัญญัติในลักษณะบังคับให้ศาลต้องจำหน่ายคดีเสมอไปหากเข้าเงื่อนไขตามที่กำหนดไว้แต่อย่างใด โดยบทบัญญัติทั้งมาตรา 42 และมาตรา 132 ดังกล่าวนั้น เป็นบทบัญญัติในทางพิจารณาความ มุ่งหมายให้เกิดความเป็นธรรมในการดำเนินคดี ไม่ใช่ถือเป็นเรื่องเคร่งครัดโดยนำมาเป็นข้อชี้ขาดในข้อแพ้ชนะในทางเทคนิคแต่อย่างใด
ดังนั้น เมื่อศาลยังไม่ได้สั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ ก็ย่อมมีอำนาจใช้ดุลพินิจให้เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะได้ แม้จะเกินกำหนดเวลา 1 ปี ก็ตาม กรณีหาใช่เป็นบทบังคับศาลตามที่จำเลยร่วมที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 อ้างในฎีกานิติกรรมการซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เกิดจากจำเลยที่ 1 ปลอมลายมือชื่อโจทก์ ดังนั้น นิติกรรมการซื้อขายที่จำเลยที่ 1 นำไปจดทะเบียนไม่ได้เกิดจากการแสดงเจตนาของโจทก์จึงไม่เกิดผลผูกพันตามกฎหมาย หาใช่การทำกลฉ้อฉลตามที่จำเลยที่ 1 กล่าวอ้างในฎีกาไม่
การใช้สิทธิขอคุ้มครองชั่วคราวระหว่างการพิจารณานั้นเป็นสิทธิของโจทก์ที่จะดำเนินการเพื่อคุ้มครองสิทธิของตนหากโจทก์ประสงค์ ไม่ใช่กรณีที่จะต้องดำเนินการเพื่อคุ้มครองต่อบุคคลภายนอกแต่อย่างใด การที่โจทก์ไม่ดำเนินการดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงตามข้ออ้างในฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 การฟ้องคดีของโจทก์ร่วมเป็นกรณีของการใช้สิทธิตามปกติในทางศาลในการฟ้องร้องติดตามเพิกถอนนิติกรรมที่กระทำไปโดยไม่ชอบตามสิทธิของโจทก์
กรณีหาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตตามที่จำเลยที่ 1 อ้างในฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค พิพากษามานั้นชอบแล้ว
อนึ่งเมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขาย จำนอง และขายฝากแล้ว โจทก์ย่อมกลับมีชื่อเป็นเจ้าของที่ที่ดินโดยผลของคำพิพากษา ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องบังคับให้จำเลยทั้งสามและจำเลยร่วมทั้งสี่ดำเนินการ
จึงไม่จำต้องสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และการที่โจทก์ฟ้องขอเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวถือเป็นกรณีที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยผู้ไม่ใช่เจ้าของคืนโฉนดที่ดินแก่ตน จำเลยร่วมที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ไม่ใช่เจ้าของจึงต้องคืนโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องได้

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา