8 พ.ย. 2022 เวลา 09:54 • กีฬา
การประกาศขายสโมสรลิเวอร์พูล ของ FSG เป็นเรื่องจริง แต่ทำไมเจ้าของทีมอยากขาย ทั้งๆ ที่ ทีมหงส์แดงการันตีทำกำไรทุกปี วิเคราะห์บอลจริงจังจะอธิบายให้ฟัง
3
แม้ในแถลงการณ์จะพูดแบบกั๊กๆ เหมือนว่าต้องการขายหุ้นแค่บางส่วน แต่ในโลกของความเป็นจริง เรารู้อยู่แล้วว่า การซื้อขายทีมฟุตบอลระดับนี้ ไม่มีปล่อยหุ้นเล็กน้อยหรอก จะขายก็ขายแบบเทกโอเวอร์เลย หรือถ้าจะไม่ขายก็ต้องแสดงจุดยืนชัดๆ แบบที่ตระกูลเกลเซอร์ส ทำกับแมนฯ ยูไนเต็ด
2
เมื่อพูดถึง FSG (เฟนเวย์ สปอร์ต กรุ๊ป) พวกเขาเป็นที่รู้จัก ในฐานะเจ้าของทีมเบสบอล บอสตัน เรดซ็อกส์ ที่สหรัฐอเมริกา จากนั้นก็วางแผนขยับขยายธุรกิจ ด้วยการซื้อทีมกีฬาอื่นๆ เข้ามาอยู่ในพอร์ทของตัวเอง
นั่นทำให้ในปี 2010 FSG ซื้อสโมสรลิเวอร์พูล ที่อยู่ในช่วงขาลงสุดขีดในราคาแค่ 300 ล้านปอนด์เท่านั้น
4
ความสัมพันธ์ของ FSG ของลิเวอร์พูลช่วงแรก ถือว่ายอดเยี่ยมมาก เจ้าของสโมสรดูมีความตั้งใจจริง ที่จะพัฒนาทีม ตัวอย่างเช่น ในปี 2014 จ่ายเงิน 110 ล้านปอนด์ ต่อเติมเมนสแตนด์ จนสนามเพิ่มความจุเป็น 53,394 ที่นั่ง และจ่ายอีก 80 ล้านปอนด์ เพื่อต่อเติมสแตนด์ฝั่งแอนฟิลด์ โร้ด เพื่อเพิ่มความจุเป็น 61,000 ที่นั่ง
4
พวกเขาลงทุน 50 ล้านปอนด์ สร้างสนามซ้อมแห่งใหม่ ในย่านเคิร์กบี้ ที่เรารู้จักกันในชื่อ AXA Training Centre โดยเป็นหนึ่งในสนามซ้อมที่สมบูรณ์ที่สุดในอังกฤษ พัฒนาคุณภาพจากสนามเมลวู้ดเดิมหลายเท่า
หรือในปี 2015 เจรจาคว้าตัวเจอร์เก้น คล็อปป์ ผู้จัดการทีมที่เนื้อหอมที่สุด เข้ามาคุมทีมได้สำเร็จ และการมาของคล็อปป์ ก็ทำให้ทีมเปลี่ยนแปลง จนก้าวไปคว้าแชมป์ต่างๆ มากมาย ทั้งพรีเมียร์ลีก และ แชมป์ยุโรป
1
จากทีมที่ดูมืดมนอนาคต มีผู้จัดการทีมคือรอย ฮอดจ์สัน มีนักเตะในทีมอย่างจอนโจ เชลวีย์ และ พอล คอนเชสกี้ มาวันนี้ทีมหงส์แดง มีโค้ชระดับโลกอย่างคล็อปป์ และมีนักเตะเวิลด์คลาส ทั้ง เวอร์จิล ฟาน ไดค์, อลิสซอน เบ็คเกอร์ และ โม ซาลาห์
2
มูลค่าของลิเวอร์พูลในวันที่ FSG ซื้อต่อจาก ทอม ฮิคส์ และ จอร์จ ยิลเล็ตต์ อยู่ที่ 300 ล้านปอนด์ (12,000 ล้านบาท) แต่ ณ วันนี้ ถ้าจะมีการซื้อขายสโมสรลิเวอร์พูลกันล่ะก็ ราคาขั้นต่ำอยู่ที่ 4,000 ล้านปอนด์ หรือ 1.7 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่มากกว่าเดิมไม่รู้กี่เท่า (แต่นิตยสารฟอร์บส์ ระบุว่า มูลค่าของลิเวอร์พูลตอนนี้อยู่ที่ 4,450 ล้านปอนด์)
7
ดังนั้นการเข้ามาของ FSG มันเปลี่ยนหงส์แดงไปในทางที่ดีขึ้น อันนี้ชัดเจน แต่แน่นอน ว่าพวกเขาก็ไม่ได้ทำถูกไปซะหมด บางอย่างก็มีขัดใจแฟนบอลบ้างเหมือนกัน เช่น
2
เคยขึ้นราคาค่าตั๋วที่นั่งปกติแบบ 77 ปอนด์ ต่อใบ (3,304 บาท) แฟนบอลก็ด่าว่า จะบ้าหรือไง ราคาแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรอ สุดท้าย FSG ก็ต้องยอมลดราคาลง เพราะทนโดนด่าไม่ไหว
1
หรือตอนช่วงล็อกดาวน์เมื่อปีก่อน FSG ไม่ยอมจ่ายเงินให้สตาฟฟ์ของสโมสร แต่ให้ไปขอรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลแทน ประชาชนก็ด่าว่า FSG รวยจะตาย แค่นี้ทำไมจ่ายไม่ได้
1
และแน่นอน เหตุการณ์ที่แฟนบอลผิดหวังอย่างมาก คือในเดือนเมษายน 2021 FSG เป็นตัวตั้งตัวตี ในการสร้างโปรเจ็กต์ "ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ลีก" ขึ้นมา แฟนบอลด่าอย่างหนัก เพราะถ้ามี ซูเปอร์ลีกเกิดขึ้นจริงๆ บรรดาทีมเล็กๆ ทีมรากหญ้า ที่ไม่ได้ถูกเชิญไปแข่งด้วยก็ตายกันพอดี สปอนเซอร์ต่างๆ โฆษณาก็คงหายหมด เพราะเอาไปจ่ายให้แต่ทีมใหญ่ๆ ที่อยู่ในซูเปอร์ลีก
2
สุดท้ายแผนก็ล่ม และครั้งนั้นแฟนบอลเริ่มสงสัยว่า FSG เข้าใจธรรมเนียม และวัฒนธรรมของฟุตบอลอังกฤษจริงๆ หรือเปล่า หรือว่าจะมาเน้นกอบโกย แต่มาด้วยรูปแบบภาพลักษณ์สวยๆ ไม่เหมือนเกลเซอร์ส หรือ โครเอนเก้ ที่มักจะโดนด่า
2
FSG มีเรื่องลบไม่น้อย ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา แต่ด้วยความสำเร็จที่เกิดขึ้นในสนามแบบจับต้องได้มากกว่า แฟนบอลก็ยอมปล่อยผ่านไป
1
สำหรับเหตุผลว่าทำไม FSG ต้องขายทีมตอนนี้ มีการวิเคราะห์หลายแง่มุมที่น่าสนใจ ดังนี้
---------------------
[ เหตุผลข้อ 1 ไม่รู้จะทำเงินมากกว่านี้ยังไง ]
1
ไอเดียที่ FSG ต้องการให้เกิดขึ้นมากๆ คือซูเปอร์ลีก พวกเขาอยากให้ฟุตบอลยุโรป มีทีมจำนวนจำกัดเหมือน NFL ไม่มีตกชั้น ไม่มีเลื่อนชั้น มีแค่ 32 ทีมในลีกก็พอ ที่จะเป็น 32 ทีม ที่โกยเงินอย่างเดียว
2
พวกเขายินดีที่จะทำลาย ปีระมิดฟุตบอล ทีมระดับดิวิชั่น 2 3 4 5 ไม่มีความหมายอะไร เอาแค่ทีมในซูเปอร์ลีกด้วยกันก็พอ
1
แต่แฟนบอลในยุโรปยอมไม่ได้ ที่จะเอาไอเดียแบบอเมริกันเกมส์ มายัดใส่แบบนี้ แผนการก็เลยล่ม และเมื่อล่มปั๊บ การหาเงินแบบก้าวกระโดดจากการเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลก็ทำได้ยาก
2
การบริหารทีมฟุตบอล เป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินตลอด เดี๋ยวก็ต้องขยายสนาม เดี๋ยวก็ต้องซื้อตัวผู้เล่นใหม่ เดี๋ยวก็ต้องเพิ่มค่าเหนื่อยให้นักเตะ
ใน NFL ถ้าดราฟต์ผู้เล่นปีแรก ยังมีค่าจ้างที่ Fixed เอาไว้แล้ว ต่อให้ดราฟต์สตาร์ดังขนาดไหน ก็ไม่ต้องจ่ายเกินกว่าสัญญารุกกี้ปีแรก แต่ในฟุตบอลไม่เหมือนกัน คุณต้องสู้ค่าเหนื่อย และค่าตัว กันตั้งแต่ผู้เล่นอายุน้อยๆ แล้ว
1
ยิ่งไปกว่านั้น ปกติทีมคู่แข่งเดิมๆ ก็แย่งซื้อนักเตะกันจะตายอยู่แล้ว วันดีคืนดี วงการฟุตบอลก็พร้อมเปิดโอกาสให้เศรษฐีหน้าใหม่ เข้ามาร่วมวงแข่งขันอีก (เช่น นิวคาสเซิล) ดังนั้น มันไม่ใช่ธุรกิจที่ทำเงินได้ โดยคู่แข่งไม่เยอะ แบบอเมริกันเกมส์
1
แล้วเมื่อใช้เงินเยอะขนาดนี้ สุดท้ายกำไรที่ควรเข้า FSG จะไปอยู่ที่ไหน? ทีมลิเวอร์พูลอาจมีมูลค่าเพิ่มก็จริง แต่ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มตาม แล้วถ้าไม่ยอมควักเงินซื้อนักเตะ ใช้กลยุทธ์ปั้นผู้เล่นจนทีมไม่ชนะ ก็โดนแฟนบอลด่าอีก
3
---------------------
[ เหตุผลข้อ 2 ถ้าเชลซีขายได้ ลิเวอร์พูลก็ต้องขายได้ ]
สำนักข่าวเดลี่ เมล์ วิเคราะห์ว่า ตอนโรมัน อบราโมวิช ตัดใจขายสโมสรเชลซี เพราะโดนรัฐบาลอังกฤษแช่แข็งทรัพย์สิน เป็นการซื้อที่เกิดขึ้นรวดเร็วมาก แต่ก็ยังสามารถขายได้ เงินถึง 2,500 ล้านปอนด์ (107,339 ล้านบาท)
ลองคิดดูว่า ถ้าลิเวอร์พูล ที่มีฐานแฟนบอลใหญ่กว่า และการซื้อขายทำได้โดยปกติ แบบไม่ต้องเร่งรีบแล้วล่ะก็ มูลค่าจะปั่นไปได้ไกลขนาดไหน 4,000 ล้านปอนด์ที่ตั้งมา คือ "ขั้นต่ำ" ซึ่งก็จะไม่เซอร์ไพรส์ ที่ราคาจะไหลไปไกลกว่านี้ จะพุ่งไปถึง 5,000 ล้านปอนด์ (214,678 ล้านบาท) ก็ไม่ได้เซอร์ไพรส์นัก
FSG ปั้นลิเวอร์พูลจาก 300 ล้านปอนด์ มาปล่อยขายได้ 4,000 ล้านปอนด์ขนาดนี้ ด้วยระยะเวลาแค่ 12 ปี ในเชิงธุรกิจก็กำไรไม่รู้จะกำไรยังไงแล้ว
1
---------------------
1
[ เหตุผลข้อ 3 เอาเงินไปทำในสิ่งที่อยากทำจริงๆ ]
เรารู้ว่า FSG มีแพสชั่นกับอเมริกันเกมส์อย่างมาก ส่วนลิเวอร์พูลก็เป็นเหมือนธุรกิจหนึ่งเท่านั้น ที่ทำให้สเตตัสของ FSG แข็งแรงขึ้น
ในปี 2021 FSG จ่ายเงินซื้อทีมพิตต์สเบิร์ก เพนกวินส์ ในฮอกกี้น้ำแข็ง NHL และใครจะรู้ว่า FSG เตรียมจะซื้อทีมอื่นอีกหรือเปล่าในอนาคต ดังนั้นการได้เงินมหาศาลจากการขายลิเวอร์พูล ก็คงทำให้พวกเขาลุยในอเมริกันเกมส์ได้เต็มที่เลย ไม่ต้องบินข้ามไปข้ามมา อเมริกา-อังกฤษ อีกแล้ว
ปัจจุบัน ทอม เวอร์เนอร์ และ จอห์น เฮนรี่ เจ้าของ FSG อายุ 72 ปีแล้วทั้งคู่ การขายหงส์แดง กำเงินราวๆ 2 แสนล้านบาท ไปทำสิ่งที่อยากทำ ในช่วงบั้นปลายของชีวิต อาจจะดีกว่าอยู่ลิเวอร์พูลต่อแล้วโดนด่าก็ได้
สำหรับ FSG นั้น จุดเด่นของพวกเขาคือการรักษาความสมดุลในบัญชีอยู่เสมอ ทำกำไรจากการขายนักเตะได้เท่าไหร่ ก็จะเอาเงินก้อนนั้นไปซื้อนักเตะ
FSG ไม่ต้องการเป็นเศรษฐีจอมเปย์ ควักเงินซื้อแล้วซื้ออีก จนกระเป๋าฉีก เช่นเดียวกับการต่อสัญญา ก็ไม่ต้องการจ่ายเงินเกินลิมิต เพราะเพดานเงินเดือนจะพัง
3
ตัวอย่างเช่น ในซัมเมอร์ที่ผ่านมา FSG ซื้อดาร์วิน นูนเยซก็จริง แต่ก็ขายนักเตะไปหลายราย เช่น ซาดิโอ มาเน่, ทาคุมิ มินามิโนะ และ นีโก้ วิลเลียมส์ หักลบกันแล้ว หงส์แดงจ่ายส่วนต่างไปแค่ 12.7 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าน้อยนิดมาก
2
แมนฯ ยูไนเต็ด และ เชลซี จ่ายส่วนต่างไป 200 ล้านปอนด์ หรือ เวสต์แฮม, สเปอร์ส, นิวคาสเซิล, อาร์เซน่อล และ น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ ก็จ่ายส่วนต่างไปมากกว่า 100 ล้านปอนด์
2
ลิเวอร์พูลจ่ายเงินส่วนต่าง น้อยกว่าทีมอย่างบอร์นมัธ, คริสตัล พาเลซ หรือแม้แต่ เอฟเวอร์ตัน ด้วยซ้ำ
2
ถามว่าแบบนี้ คุณจะไปแข่งขันกับใครได้ ถ้าการจะต้องซื้อของใหม่ ต้องขายของเก่าก่อน
เช่นเดียวกับเรื่องค่าเหนื่อย ไม่มีทางเลย ที่จะคว้าตัวผู้เล่นเกรด A อย่างคีลียัน เอ็มบัปเป้ เพราะแม้ใจนักเตะจะอยากมา แต่เมื่อเพดานหงส์แดง แม็กซ์แค่ 350,000 ปอนด์ โอกาสได้ซูเปอร์ดีลขนาดนั้นมันก็ยาก
1
วิธีแบบนี้ ก็ดูจะเหมาะสมในการทำธุรกิจ เพราะถ้าใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ทีมอาจจะล่มสลายได้ทุกเมื่อ การใช้เงินต้องระวังไว้ก่อน เป็นเรื่องถูกต้องแล้ว
2
แต่ถ้าคิดในมุมผู้จัดการทีม และแฟนบอลทั่วไป มันก็เหนื่อยเหมือนกัน คุณจะไปแข่งกับทีมรวยๆ ได้ยังไง ถ้าไม่มีนักเตะที่ดีพอเข้ามาสู่ทีม
1
ในมุมของแฟนบอล การเห็นเศรษฐีทีมอื่นเขาจ่ายเงินซื้อนักเตะใหม่กันง่ายๆ มันก็ท้อเหมือนกัน แมนฯ ซิตี้ได้ตัวเออร์ลิ่ง ฮาแลนด์ เพราะจ่ายค่าเหนื่อยในระดับสูงสุด
แมนฯ ยูไนเต็ด พอเอริค เทน ฮากอยากได้อ็องโตนี่ก็ไปไล่ล่ามาให้ได้ หรือเชลซีอยากได้กองหลังใหม่ ท็อดด์ โบห์ลี่ จัดเวสลีย์ โฟฟาน่าในราคาสถิติโลก
คำถามคือ เรื่องแบบนี้ มันไม่เกิดขึ้นกับหงส์แดง เพราะเจ้าของทีมมีแนวคิดเรื่องการสร้างความสมดุลในบัญชี
FSG เป็นนักธุรกิจ และนักธุรกิจก็จะไม่ใช้เงินเกินตัว พวกเขาไม่ใช่ผู้บริหารแบบ Old School ที่พร้อมควักเงินส่วนตัวจ่ายอย่างเดียว เพียงแต่แฟนบอลก็แค่กังวลใจว่า ถ้าไม่สู้ในตลาดนักเตะ อาจทำให้หงส์แดงค่อยๆ ตามหลังคู่แข่งไปไกลเรื่อยๆ
1
เมื่อแนวทางของ FSG ที่เน้นความสมดุล กับความคาดหวังของแฟนๆ ไม่ตรงกัน การปล่อยขายให้คนอื่นมาบริหารต่ออาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดก็ได้
สำหรับการซื้อขายทีม จะไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้ โดยล่าสุด FSG ได้ติดต่อให้ธนาคารโกลด์แมน แซ็คส์ และ มอร์แกน สแตนลีย์ ช่วยเป็นตัวกลาง ในการสรรหากลุ่มทุนที่พร้อมลงทุนซื้อหุ้น ซึ่งก็อาจเป็นเศรษฐีในสหรัฐฯ , จีน หรือ อาหรับ ใครก็ตามที่หาเงินก้อนได้ในราคา 4,000 ล้านปอนด์ขึ้นไป
แต่การซื้อขายจะมีขึ้นแน่นอน เพราะถ้าหากคุณไม่คิดจะขาย ไม่มีวันปล่อยข่าวแบบนี้ออกมาแต่แรกอยู่แล้ว (ยกเว้นแต่จะกลับลำในโค้งสุดท้าย แต่คงยาก เพราะ FSG แถลงออกมาเอง)
2
สำนักข่าวลิเวอร์พูลเอ็คโค่ แสดงความเห็นว่า "ตามจริง FSG อาจจะต้องการแบ่งขายหุ้นส่วนหนึ่งให้นักลงทุน ที่พร้อมจะอยู่ด้านหลัง ทำตัวเงียบๆ แล้วปล่อยให้พวกเขากุมอำนาจตามเดิม แต่เรารู้ดีว่าในโลกธุรกิจ โอกาสที่จะเกิดสิ่งนั้นมันยากมาก ไม่มีใครหรอกที่ต้องการหุ้น 15% ใครก็ต้องการเป็นเจ้าของที่มีอำนาจโดยสมบูรณ์ทั้งนั้น นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมเราไม่ควรตัดชอยส์ การเทกโอเวอร์โดยสมบูรณ์ 100% ออกไป เพราะมันอาจเกิดขึ้นได้จริงๆ"
2
ตอนนี้ แฟนลิเวอร์พูลบางส่วนที่เบื่อการบริหารงานของ FSG มานาน และประกาศ FSG OUT เอาไว้ ก็ถือว่ากำลังจะถึงเป้าหมายแล้ว FSG เตรียมจะออกแล้วจริงๆ
แต่คำถามสำคัญที่สุดก็คือ ใครจะมาเป็นเจ้าของทีมคนใหม่? นี่อาจเป็นเรื่องสำคัญที่จะชี้ชะตาสโมสรเลยก็ได้
คุณจะได้เศรษฐีที่พร้อมยกระดับทีมจริงๆ อย่าง กลุ่มทุนอาบูดาบี ที่ซื้อแมนฯ ซิตี้ หรือ กลุ่มทุนซาอุดิอาระเบีย ที่ซื้อนิวคาสเซิล หรือคุณจะได้เศรษฐีที่พร้อมทำลายทีมให้เละเป็นผุยผงแบบทอม ฮิคส์ และ จอร์จ ยิลเล็ตต์
3
ที่ผ่านมา FSG แม้จะไม่ใช่เจ้าของทีม ที่ดีที่สุดในโลก แต่ก็อยู่ในระดับที่โอเค ยังทำถูก มากกว่าทำผิด ดังนั้นเมื่อสูญเสียไปแล้ว ก็ต้องเดิมพันเหมือนกัน ว่าเจ้าของคนใหม่จะพาทีมทะยานขึ้น หรือ ปล่อยทิ้งให้ดิ่งจมเหว
และสิ่งเดียวที่แฟนลิเวอร์พูลจะทำได้จากวันนี้ คือ "ภาวนา" ขอให้คนใหม่ที่เข้ามา มาด้วยความจริงใจ เข้าใจสโมสรจริงๆ ไม่มาหลอกลวงกัน และเห็นสโมสรเป็นแค่ทางผ่านเท่านั้น
 
#LIVERPOOLONSALE
โฆษณา