13 พ.ย. 2022 เวลา 08:33 • การเมือง
ปฏิญญาบุรีรัมย์
การตัดสินใจของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในทางการเมือง ในความเป็นจริงแล้วเกิดขึ้นไปแล้ว แม้เขาเองจะยืนยันกับสื่อหลายครั้งหลายคราวว่า จะตอบคำถาม จะตัดสินใจทางการเมืองภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมเอเปก 2022 ในราวปลายเดือนพ.ย.นี้
เรื่องใหญ่ เรื่องสำคัญ มิจำเป็นต้องแพร่งพรายหรือจุดพลุให้สว่างวาบ จนทำให้ “ฝั่งตรงข้าม” อ่านเกมขาด จับทางได้ถูก ยิ่งในสถานการณ์ที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ส่อเค้าว่าจะนำไปสู่การได้เปรียบ เสียเปรียบในทางการเมืองด้วยแล้ว หากคิดการณ์ใหญ่มากเท่าใด ยิ่งต้องสงบนิ่งให้ได้มากที่สุด
ในห้วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา น้ำหนักความเคลื่อนไหวทางการเมืองเทไปที่ “2 พรรค” มากกว่าใครเพื่อน
หนึ่งคือพรรคพลังประชารัฐ พรรคแกนนำรัฐบาล มี “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นั่งคุมบังเหียนในฐานะหัวหน้าพรรค
กับอีกหนึ่งพรรค ที่ยังไม่มีส.ส.สักที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร แต่กลับถูกจับตาว่านี่อาจเป็น “ฐานกำลัง” อันสำคัญ ที่จะผลักดัน พล.อ.ประยุทธ์ กลับมานั่งในเก้าอี้ “นายกฯ” อีกครั้ง หลังการเลือกตั้ง นั่นคือพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่มี “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ดำรงตำแหน่งหน้าพรรค
การขับเคลื่อนงานทางการเมืองของ 2 พรรค ทั้งพลังประชารัฐและรวมไทยสร้างชาติ กำลังถูกเชื่อมโยงเอาไว้ที่ การตัดสินใจของพล.อ.ประยุทธ์ ว่าที่สุดแล้วจะมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคใด พรรคหนึ่ง เปิดตัวอย่างชัดเจนหลังการประชุมเอเปก จบลงตาม “เสียงเชียร์” หรือไม่ ?
ก่อนหน้านี้แกนนำของพรรคพลังประชารัฐ ทั้ง “วีระกร คำประกอบ” ส.ส.นครสวรรค์ และ “รงค์ บุญสวยขวัญ” ส.ส.นครศรีธรรมราช ต่างออกมาส่งสัญญาณทั้งเชื้อเชิญ ผสมกับการออกแรงกดดันไปยังพล.อ.ประยุทธ์ ทั้งทางตรงทางอ้อม โดยโยนสูตรการเมือง ลงมากลางวง ทั้งการเสนอชู ทั้ง “ลุงตู่ -ลุงป้อม” ให้แบ่งกันนายกฯ คนละครึ่ง หรือแม้แต่การเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ “รีบตัดสินใจ” เพราะเวลาไม่คอยท่า
มิหนำซ้ำยิ่งนานวัน กลับพบว่า “กระแสลุงตู่” ชักไม่เข้มขลัง โดดเด่น มีพลังเหมือนในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ดังนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ ที่พรรคพลังประชารัฐ น่าจะเปลี่ยน “แคนดิเดตนายกฯ” โดยถึงขั้นเปิดไพ่กันที่ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร. ที่เดินสายลุยทำพื้นที่ในภาคอีสานให้กับพรรคมาเป็นปีๆ ที่สำคัญไปกว่านั้นว่ากันว่าบิ๊กแป๊ะ ยังเป็น “สายตรง” ที่พล.อ.ประวิตร สนับสนุน
แต่น่าสนใจว่า เมื่อกลุ่มการเมืองภายในพรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะในปีกที่ใกล้ชิดพล.อ.ประวิตร ออกมาชี้เป้าไปที่บิ๊กแป๊ะ ทว่า “ก๊วนการเมือง” ที่ใกล้ชิดกับบิ๊กตู่ อย่าง “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” รมว.ดีอีเอส ในฐานะรองหัวหน้าพรรค และ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงานในฐานะผอ.พรรค พากัน “ค้านสุดตัว” พร้อมประกาศหนุนพล.อ.ประยุทธ์ อย่างตรงไปตรงมา
เมื่อความเห็นของแกนนำในพรรคพลังประชารัฐ ไปกันคนละทิศคนละทาง ยิ่งทำให้ “ความสัมพันธ์” ของ “พี่น้อง 2ป.” ถูกตั้งคำถามตามมาว่า “วันนี้ยังรักกันอยู่ดีหรือไม่ ?” หรือจะถึงเวลาที่ต่างคนต่างไป
ขณะที่พรรคพลังประชารัฐกำลังวุ่นวายฝุ่นตลบอบอวล เมื่อหันไปมองที่พรรครวมไทยสร้างชาติ วันนี้กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศที่คักคึก คล้ายกำลังรอต้อนรับพล.อ.ประยุทธ์ ให้มาเป็นสมาชิกพรรคตามกระแสข่าวที่สะพัดกันพักใหญ่
อย่างไรก็ดี วันนี้พล.อ.ประยุทธ์ ยังอยู่ในสถานะที่มี “ทางเลือก” และสามารถ “รั้งรอ” ที่จะตัดสินใจทางการเมืองได้อีกพักใหญ่ตามที่เขาเองได้บอกกับสื่อเอาไว้ก่อนหน้านี้
เพราะวันนี้บิ๊กตู่ ไม่ได้มีแค่ “พลังประชารัฐ -รวมไทยสร้างชาติ” เท่านั้นที่จะทำหน้าที่เป็น “นั่งร้าน” ให้กลับมานั่งนายกฯรอบหน้า โดยมีรายงานว่า การสานความสัมพันธ์ กับ “พรรคภูมิใจไทย” ที่มี “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข เป็นหัวหน้าพรรค นั้นอยู่ในระดับที่ต้องบอกว่า “ไม่ธรรมดา”
สัมพันธภาพระหว่าง เสี่ยหนูกับบิ๊กตู่ ต้องนับว่าอยู่ในระดับ เอบวก ในยามที่นายกฯต้องเผชิญกับแรงเสียดทานทางการเมือง หรือแม้แต่ในยามที่ต้องเก็บตัวรอลุ้นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ปม “วาระ 8 ปี” ก็มีเสี่ยหนูคนนี้ที่แวะเวียนไปเยี่ยมเยียนให้กำลังใจถึงที่กระทรวงกลาโหม
และที่น่าสนใจไปมากกว่านั้น คือความสัมพันธ์กับ “เนวิน ชิดชอบ” แกนนำตัวจริงเสียงของภูมิใจไทย ที่เคยทิ้งวลีขยี้หัวใจ “นายเก่า” อย่างอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร มาแล้วว่า “มันจบแล้วครับนาย” ทำเอาทักษิณ แทบกระอัก
ครั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ อาจต้องกระชับความสัมพันธ์กับ เนวิน เจ้าของพรรคภูมิใจไทย ด้วยการทำข้อตกลง ให้ความมั่นใจว่า พรรคภูมิใจไทย ต้องสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ ให้กลับสู่อำนาจหลังเลือกตั้ง ด้วยเพราะพล.อ.ประยุทธ์ เองต้องประเมินสถานการณ์และกำหนดเกมการเล่นจนมั่นใจได้ว่า จะต้องไม่มีอะไรผิดพลาด !
ล่าสุดมีรายงานว่าพล.อ.ประยุทธ์ ส่ง “ทีมกุนซือ” ไปเจรจากับเนวิน เพื่อหารือและทำข้อตกลงดังกล่าว โดยมีเงื่อนไขว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะนั่งนายกฯ 2 ปีแรก จากนั้น นายกฯคนต่อไปคือ อนุทิน จากพรรคภูมิใจไทย และขอให้มั่นใจได้ว่า “พี่น้อง 3ป.” ไม่มีวัน “แตก” กันได้จริง เพียงแต่จะ “แยกกันเดิน” กลับมาเจอกันในสภาฯ ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ที่ทำเนียบรัฐบาล
ความเป็นพี่น้องระหว่างบิ๊กตู่กับ บิ๊กป้อม ไม่มีทางจบลงที่ “การแตกหัก” ตามที่มีกระแสข่าวแต่อย่างใด ส่วน “ข้อตกลง” ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์กับเนวิน ผู้ยิ่งใหญ่แห่งบุรีรัมย์ นั้นยังต้องลุ้นและรอ ความชัดเจน อีกครั้งว่าที่สุดแล้วจะเป็น “ปฏิญญาทางการเมือง” ร่วมกันได้หรือไม่
1
การที่พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเลือกวางหมากในลักษณะเช่นนี้ เพราะเขาเองไม่ต้องการไปนั่งเป็น “หัวหน้าพรรค” ให้กับพรรคใด พรรคหนึ่ง โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งวันนี้มีพล.อ.ประวิตร ทำหน้าที่ “ผู้นำพรรค” อยู่แล้ว หากบิ๊กตู่เลือกไปพลังประชารัฐ จะยิ่งเป็นการ “เร่งเร้า” ให้พรรคแตก แทนที่จะโต
เช่นเดียวกับการเลือกไปเป็นสมาชิกพรรคหรือหัวหน้าพรรค รวมไทยสร้างชาติ ที่กำลังกลายเป็น “หุ้นการเมือง” ที่ดีดตัวสูง มีมูลค่าน่าลงทุน แต่ทั้งนี้อย่าลืมว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ ยังไม่มีส.ส.ในสภาฯ สักที่นั่งเดียว และยังไม่สามารถการันตีได้ว่า ศึกในสนามเลือกตั้งรอบหน้า พรรคจะกวาดส.ส.มาได้กี่เก้าอี้
หมายความว่า การเลือกที่จะไม่สังกัด พรรคใดพรรคหนึ่ง ย่อมเป็น “ทางเลือก” ที่ดีสำหรับพล.อ.ประยุทธ์ ส่วนพรรคใดจะเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯก็ยินดีตอบรับทั้งสิ้น
นอกจากนี้พล.อ.ประยุทธ์ ยังสร้าง “ทางเลือก” ที่จะเสริมความมั่นใจให้กับตัวเอง ด้วยการจับมือกับ เนวิน ปั้น “ปฏิญญาบุรีรัมย์” ให้ภูมิใจไทย ซึ่งคาดการณ์ว่าจะได้ส.ส.เข้าสภาฯ มากที่สุด ทำหน้าที่เป็น “กองหนุน” ในสภาฯ เพื่อปิดประตู แห่งความพ่ายแพ้เอาไว้ทุกทาง ทั้งหมดแล้ว !
โฆษณา