13 พ.ย. 2022 เวลา 23:25 • ไลฟ์สไตล์
"ใช่แล้ว คนเราสามารถปรับตัวให้ชินได้กับอะไรก็ตาม แต่อย่าถามนะว่า ทำได้อย่างไร"
เป็นคำพูดจากหนังสือที่คิดว่า อธิบายได้คร่าวๆ
ของหนังสือเล่มนี้
ในวันที่เลวร้ายที่สุด แย่ที่สุด ไร้หนทางที่สุด
จิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในเมื่อพรุ่งนี้จะต้องถูกฆ่า
ใครกันจะเริ่มนับถอยหลังให้ชีวิตตัวเอง
ยอมจำนนต่อสิ่งภายนอก ที่ไม่อาจฝืนชะตา
ในค่ายกักกัน คนใจดี มีเมตตา มักจะไม่รอดออกมา
ตรงข้ามกันคนที่โกง เห็นแก่ตัว เอาตัวรอดอย่างไร้มนุษย์เท่านั้น ที่จะอยู่รอด
เป็นการแข่งขันที่อยู่ระหว่างความเป็นความตาย
ความอึด สู้ไม่ถอยต่อการอยู่รอด เห็นแสงสว่างแม้เพียงน้อยนิด แต่นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ให้วันพรุ่งนี้มีความหมาย
เราต้องอยู่รอด ด้วยวิธีอะไรก็ตาม
...
ชีวิตไม่ไร้ความหมาย ขึ้นอยู่กับการสนองต่อเหตุการณ์
คนที่เข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้ง มักมีจิตใจที่พาตัวเอง
มองแง่มุมอีกด้านนึงได้เสมอ ถึงแม้จะรู้ว่าต้องตาย
"คนที่นั่งสูบบุหรี่ที่แลกมา จากการทำงานหนัก
คือคนที่หมดหวังกับชีวิต" ถอดความส่วนหนึ่งจากหนังสือ
คนที่ยังเก็บบุหรี่ไว้ดูดในอนาคต ยังคงเห็นหนทาง
ที่สักวันหนึ่งเราจะรอดไปได้จากค่ายกักกัน
เราไม่รู้หรอกว่า พรุ่งนี้เราจะรอดหรือไม่
จะยังมีความสุขถึงพรุ่งนี้ไหม
แต่ถ้าตอนนี้เราเลือกแล้วว่า พรุ่งนี้จะอยู่ต่อ
แค่นั้นคือพอแล้วไม่ใช่หรือ
ในอีกแง่มุมนึง เหมือนกับการใช้ชีวิต
ถ้าเราทำงาน มีความสัมพันธ์ เพื่อมีความสุขความสำเร็จ
เราจะไม่ค้นพบความสุข ความสำเร็จ
เราควรพอใจตั้งแต่การทำงาน และมีความสัมพันธ์แล้ว ปล่อยให้ความสุขและความสำเร็จเป็นแค่ผลพลอยได้
ที่ตามภายหลัง เลิกสนใจเสียเถอะ สนใจแค่ทำเพื่อทำ
เราทำงาน เพราะได้ทำงาน
เรามีความสัมพันธ์ เพราะได้มีความสัมพันธ์
ไม่คาดหวังจะได้อะไรจากสิ่งที่ได้ครอบครอง
เราเพียงแค่คิดว่า ที่มีมันดีอยู่แล้วหรือเห็นแง่งาม
พรุ่งนี้มักจะมีหวัง เราจะไม่สั่นคลอน แต่มั่นคง
ถ้ารู้สึกได้อย่างนี้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ
...
เป็นหนังสือที่บอกว่า เราปรับตัวกับอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น
ได้เสมอ โดยไม่แน่ใจว่า ทำแบบนั้นได้อย่างไร
นั่นอาจแสดงถึงความเป็นมนุษย์อย่างถึงที่สุด
ในวันที่ไร้หนทางที่สุด สิ่งของจะไร้ความหมายที่สุด
แต่ชีวิตเราไม่ไร้ความหมาย ต่อให้เปลือยเปล่าก็ตาม
อยู่ที่เรา เราเลือกเองได้ว่าจะรู้สึกต่อสิ่งนั้นยังไง
ยอมให้ตัวเองปรับตัว ละทิ้งของไร้สาระ ไร้แก่นสาร
ถึงแม้ตอนแรกจะมีความหมายกับเรามากก็ตาม
ไม่ยึดติดกับสิ่งที่มี แต่เลือก กล้าหาญ มีความหวัง
ในตอนที่ต้องสูญเสียทุกอย่างที่มีไป
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เหมือนเป็นการกล่าวเอ่ยกลายๆ ว่า
บางทีความหมายของมนุษย์ จะเจอหรือไม่นั้น
อาจเริ่มต้นจากจุดต่ำที่สุด ไม่ใช่ไต่ขึ้นบันไดสู่สุดสูงสุด
แล้วจะค้นพบความหมาย
เราจะเริ่มทำความรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง
ตอนที่เราล่วงหล่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หลังจากนั้น เราจะลุกขึ้นมาแบบไหน
อยู่ที่ว่าตอนช่วงปกติที่เราไม่ค่อยสนใจตัวเอง
เราได้บอกตัวเองไว้อย่างไร ทำอะไร เรียนรู้อะไร
มันจะมาพยุงเราตอนเราล้มนี่แหละ
...
อ่านจนจบเล่ม ยังไม่อาจนิยามความหมายในชีวิตได้
เมื่อปิดหน้าสุดท้าย ยังมีเสียงลึกๆ ในใจบอกว่า
การใช้ชีวิตอย่างปกติและธรรมดาๆ ได้นั้น
คือความพิเศษอย่างหนึ่งแล้ว มีแต่เราที่ทำให้มันเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งๆ ที่มันพิเศษและงดงามเหลือหลาย
หรือว่าจะเป็นความหมายของชีวิตกัน?
แล้วต่อจากนี้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป หลังจากอ่านจบ
ก่อนอื่น นี่เป็นหนังสือที่สะเทือนใจและมีความหวังไปในตัว เล่มนี้เหมือนเป็นช่องทางที่คอยบอกเราว่า ต่อให้เราเจออะไร แย่แค่ไหน ให้ศรัทธาในความเป็นมนุษย์
เรายังคงหายใจ ปรับตัว ได้เสมอ
สักวันเราจะผ่านไปได้ อยู่ที่ว่าจะผ่านไปแบบไหน
ทุลักทุเล หรือสง่างาม -เราตัดสินใจเลือกเองได้-
...
เป็นหนังสือที่มีความทรงพลังอย่างบอกไม่ถูก
ด้วยเรื่องราวที่มีความขัดแย้งในตัวเอง
กล่าวคือ ในเหตุการณ์ที่ดูไร้เหตุผลในการมีความหวัง
แต่กลับทำได้อย่างไม่น่าเชื่อ
แสดงถึงศักยภาพของมนุษย์อย่างแท้จริง
อย่าลืมว่าเราเป็นใคร และจะกลายเป็นแบบไหนได้อีก
เมื่อการเปลี่ยนแปลงมาถึง เราจะมีหนทางที่ไป
และอย่าลืมว่า จงลืมว่าเราเป็นใครไปด้วย
สวมจิตวิญญาณที่เติบโตของตัวเอง
เราไม่ต้องเป็นแบบเดิมตลอดไปหรอก
เราเปลี่ยนไปได้เสมอ
...
รู้สึก สำนึกถึงปัญหาต่างๆ ของตัวเองที่มันเล็กลงทันที
มันไม่ได้ใหญ่จนแก้ไม่ได้ หรือง่ายจนควรจะมองข้าม
พอเราเริ่มตระหนักในตัวเอง รู้แก่นของตัวเอง
และพร้อมที่จะบอกว่า 'เราไม่รู้จักตัวเองไปด้วย'
นั่นนำมาซึ่งการใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น
เราจะเป็นใครต่อไปในอนาคต
ขึ้นอยู่กับตอนนี้
ตอนที่เราอยู่จุดต่ำสุด
แต่ยังมีหวังกับชีวิต
โฆษณา