14 พ.ย. 2022 เวลา 12:51 • การ์ตูน
EP : 822 (repost)
GUNNM Last Order
ตัวผมเองหลังจากอ่าน Gunnm ภาคแรกจบก็ทิ้งระยะเวลานานมากๆ กว่าจะมีภาคสองออกมา ที่สำคัญภาคสองดันพิมพ์ไม่จบ จนคิดว่าลอยแพกันไปเรียบร้อยแล้ว แต่อยู่ๆ ก็มีการพิมพ์ต่อจนได้ แต่ครั้งนี้มาอยู่กับค่ายใหม่ ทำให้กว่าค่ายใหม่นี้จะพิมพ์เนื้อหามาถึงจุดที่ผมเคยได้ซื้อภาคสองจากค่ายแรกครบก็ใช้เวลานานมากอยู่ครับ จนถึงวันนี้ที่เล่มจบออกมาทำให้ผมได้ฤกษ์อ่านตั้งแต่ต้นจบจบและนี่คือรีวิวของการ์ตูนภาคต่อที่คุณไม่รู้จักคงไม่ได้กับ “GUNNM Last Order”
หลังจากฝันอันยาวนานที่คุ้นเคยแต่จำไม่ได้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ซึ่งมันเป็นความฝันในวัยเด็ก ที่เธอทั้งตัวเล็ก และไร้เขี้ยวเล็บในการต่อสู้ กับฝันที่เธอพบว่ากำลังอยู่ท่ามกลางสงครามและต้องได้รับการช่วยเหลือจากเด็กคนอื่นที่ทนเห็นสภาพอันไม่รับรู้ถึงความตายที่กำลังมาเยือน
ก่อนที่จะปิดความฝันด้วยผู้ใหญ่บางคนที่หยิบยื่นความช่วยเหลือด้วยการฆ่า พร้อมหยิบยื่นมือมาหาเธอทั้งสอง..... และเธอก็ตื่นขึ้น ... ใช่ กัลป์ลี่ ตื่นขึ้น พร้อมกับพบว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เธอคุ้นเคย และที่นั่นเธอก็ค้นพบศพของ ดร.โนวา ชายผู้มีความฉลาดดุจพระเจ้าแต่มีจิตใจอันแสนวิปลาส ผู้ซึ่งเธอแค้นแสนแค้น... แต่เขาไม่ได้ตายเพราะเธอ เกิดอะไรขึ้นในช่วงที่เธอไม่รู้ตัว และนี่คือเรื่องราวของเธอ กัลป์ลี่ ในเส้นทางครั้งใหม่กับการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เธอเคยได้สัมผัส...
ตัวเนื้อเรื่องหลังจากที่อ่านจบผมรู้สึกเลยนะว่า “ก็สมกับเป็นภาคต่อGunnmเนอะ” ความหมายของมันตรงตัวครับคือยังเป็นผลงานจาก อ.ยูกิโตะ เหมือนเดิม เนื้อหาเต็มไปด้วยเรื่องราวเกินจินตนาการ ผสมผสานความเป็นวิทยาศาสตร์ในหลายๆแง่อย่างสูง พร้อมกับบีบคั้นอารมณ์ตัวละครด้วยความหมายของ “ตัวตน” ของตัวละคร หรือจะเรียกว่าเป็นเนื้อเรื่องวิทยาศาสตร์ อวกาศ
ผสมดราม่าในเชิงความเป็นมนุษย์ก็ว่าได้ครับ และในขณะเดียวกันเมื่อมองกันลึกๆแล้ว ภาคสองแทบจะดำเนินตามภาคแรกเกือบทั้งหมด เรียกว่าภาคแรกเล่าอะไร แบบไหน ภาคสองก็หยิบวิธีการเล่าแบบนั้นมาเล่า โดยใช้เป้าหมายที่เปลี่ยนและขยับขึ้นไปจากเดิมเกือบทั้งสิ้น เพราะแบบนั้นเมื่อผมอ่านจบถึงรู้สึกว่า ก็สมกับเป็นภาคต่อ Gunnm นี่แหล่ะครับ..
ซึ้งหากจะมองดูเนื้อหาและการนำเสนอของภาคแรก ที่จะนำเสนอไปในทางให้ตัวเอกอย่างกัลลี่ เรียนรู้และรู้จักตัวเองจากการที่ไม่มีความทรงจำ โดยใช้สถานที่หลักอย่างเมืองเศษเหล็กที่เต็มไปด้วยปัญหามากมาย ได้รู้จักความรักหลายรูปแบบ ได้เจอศัตรูตัวฉกาจผู้ดิ้นรนมีชีวิตให้รอดในสภาพสังคมอันเลวร้าย จนนำไปสู่การค้นหาตัวเองอย่างภาคภูมิใจด้วยการแข่งมอเตอร์บอล
ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงมีเงาของ “นครลอยฟ้าซาเลม” เป็นเสมือนดินแดนในฝันของคนในเมืองเศษเหล็ก และเป็นสถานที่งดงามแตกต่างจากเมืองเศษเหล็กเป็นอย่างมาก และทั้งเรื่องก็มี ดร.โนวา ชาวซาเลม ที่มีมันสมองยอดเยี่ยมแต่จิตใจวิปริต เป็นเสมือนบอสของฝั่งผู้ร้ายผู้ใช้ความรู้เกินมนุษย์ ทดลองและค้นหาความรู้ที่ตัวเองต้องการ
จากเนื้อหาภาคแรกนี้เองที่ผมมองว่าภาคสองไม่ต่างกันมาก โดย แม้เนื้อเรื่องจะมีการขยับจากเมืองเศษเหล็กของภาคแรก กลายมาเป็นบนซาเลมแทน และในเมื่อกัลลี่พบจุดหมายที่จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ จึงต้องเดินทางสูงขึ้นไปกว่าซาเรมนั่นคือ “เมืองอวกาศเยรู” หากมองจากจุดนี้ก็เหมือนกับภาคแรกครับ กัลลี่ผู้อยู่บนเมืองเศษเหล็กแล้วมองไปยังนครลอยฟ้าซาเลม กลายมาเป็นกัลลี่ผู้อยู่บนนครลอยฟ้าซาเลมแล้วต้องเดินทางไปทำภารกิจบนเมืองอวกาศเยรูครับ
ในขณะที่ถ้าในภาคแรก การที่กัลลี่ได้เป็นฮันเตอร์วอริเออร์และได้เข้าร่วมการแข่งมอเตอร์บอล คือจุดที่ทำให้เธอพัฒนาความแข็งแกร่งและเรียนรู้สิ่งต่างๆให้เธอเติบโตขึ้น รวมถึงเป็นจุดเชื่อมต่อในการใช้วิชาที่ทำให้เธอได้สัมผัสกับเศษเสี้ยวความทรงจำในอดีตที่เธอลืมไปแล้วละก็ การเข้าร่วมการแข่งขัน ZOTT ในภาคสองคือการแข่งขันที่สำคัญที่มีทำหน้าที่เหมือนกับการเป็นฮันเตอร์วอริเออร์และเข้าร่วมมอเตอร์บอล เพียงแต่สเกลของมันแตกต่างกันอย่างกับฟ้ากับเหว และการเดิมพันก็ยิ่งใหญ่มากกว่าอย่างเปรียบเทียบไม่ได้ครับ
เช่นเดียวกันหากในภาคแรก ดร.โนวา ผู้มีหลายเวอร์ชั่น จะเป็นดั่งบอสร้ายตัวสุดท้ายผู้ใช้มันสมองอันเหนือมนุษย์สร้างความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นเพียงแค่ตัวเองมองว่ามันทำให้เขาได้พบคำตอบตามที่เขาต้องการแล้วละก็ ตัวละครบอสฝั่งคนร้ายในภาคสองนี้ ก็เป็นเช่นเดียวกันเพราะเขาคือ “มูบาดี” ผู้ช่วยประธานสภา LADDER ในอวกาศอันยิ่งใหญ่นี้ ความยิ่งใหญ่ของเขาคือการครอบครอง “มันสมอง” อันยอดเยี่ยมเหนือกว่าใครๆ แม้แต่ ดร.โนวา ด้วยซ้ำ
และตรงจุดนี้เองที่ผมรู้สึกอย่างชัดเจนว่า “ความฉลาดและการพัฒนา” คือสิ่งที่ อ. ใช้เปรียบเปรยเนื้อหาในเรื่องเป็นอย่างมาก เพราะหากดูจากธีมและสถานที่ในเรื่อง ล้วนมีความทันสมัย ล้ำเกินยุคที่เราจินตนาการ เต็มไปด้วยข้อมูลที่มนุษย์ยังไปไม่ถึง ซึ่งทั้งหลายนี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วย “ความฉลาดและการพัฒนา” แต่ขณะเดียวกัน สิ่งที่ทำให้เกิดเรื่องและปัญหาต่างๆ มากมาย
ทั้งเลวร้ายเกินให้อภัยก็คือ “ความฉลาดและการพัฒนา” อีกเช่นเดียวกัน สิ่งนี้ถูกยืนยันด้วยเนื้อหาที่ได้อ่านและความเป็นตัวร้ายจาก ดร.โนวา และ มูบาดี ในภาคนี้ นี่คืออีกสิ่งที่ผมรู้สึกว่า กัลลี่ภาคสองนี้ก็คือกัลลี่ภาคหนึ่งในเวอร์ชั่นอัพเกรดความเหนือนั่นเองครับ
ไม่ใช่ว่าภาคสองนี้เหมือนกับภาคแรกทุกอย่างนะครับ ผมมองแค่ว่า ภาคสองนี้ใช้สูตรที่สำเร็จหรือจะเรียกว่าสูตรที่ อ. ชอบในการหยิบมาเล่าแบบเดียวกันเท่านั้นเอง เพราะจริงๆแล้ว ในภาคสองก็ยังเต็มไปด้วยรายละเอียดเฉพาะของมันที่แตกต่างและไม่มีอยู่ในภาคแรกหลายๆอย่างครับ แต่ไม่ว่าจะเหมือนและต่างกันอย่างไรระหว่างสองภาคนี้
ส่วนสำคัญในเรื่องนี้ยังคงโฟกัสมาที่ “กัลป์ลี่” นางเอกเราคนนี้เหมือนเดิม ในประเด็นการเรียนรู้ การพัฒนาและการค้นหาตัวตนในอดีตว่าแท้จริงแล้วเธอคือใคร และวิชาแพนเซอร์คุนตส์ ที่ติดตัวกัลลี่หรือโยโกะ คนนี้นั้นมีความเป็นมาและเกี่ยวข้องกับความเป็นไปของจักรวาลที่ผ่านมาและตอนนี้อย่างไรครับ
ภาคสองนี้จะเปิดเรื่องมาด้วยการเคลียร์เรื่องราวในนครลอยฟ้าซาเลมกันก่อนนะครับ จากภาคแรกที่เราได้เห็นความเป็นชาวซาเลมอันสูงส่งรวมถึงความลับของชาวซาเลมที่ทำให้ หมออิโดะและ ดร โนวา รับไม่ได้จนนำไปสู่เรื่องราวมากมายในภาคหนึ่ง แต่ในภาคสองจะใช้เวลาไม่นานในการเริ่มเดินเรื่องเริ่มต้นจากตรงจุดนั้น ซึ่งสำหรับผมค่อนข้างเซอร์ไฟร์กับการเล่านครลอยฟ้าซาเลมแห่งนี้เหมือนกันนะครับ ไม่คิดว่าจะทำให้ออกมาเป็นอย่างนี้
แต่เพราะเรื่องต้องการนำตัวกัลลี่ไปสู่เป้าหมายหลักอย่างการช่วยเหลือเพื่อนคนสำคัญของเธออย่าง “ลู หรือ รูว์” ที่ตอนนี้เธอถูกส่งไปอยู่ในอีกระดับความสูง ณ “นครอวกาศ เยรู” เรื่องจึงเล่าเรื่องราวในนครลอยฟ้าซาเลมในระดับที่พอเข้าใจและไม่ต้องการเสียเวลาในที่นี่มากไป ซึ่งก็ถือว่าทำออกมาได้ดี สำหรับการใช้ที่นี่เป็นตัวเปิดเรื่องและทำให้เราเข้าใจสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ก็ว่าได้ และเพราะเป็นแบบนั้น “ นครอวกาศ เยรู” จึงถือเป็นสถานที่ที่ใช้เล่าเรื่องราวในเรื่องนี้เป็นหลักครับ
เพราะแบบนั้นสเกลของเรื่องนี้จึงใหญ่กว่าภาคแรกอย่างมากครับ เพราะหากเรามองที่จำนวนเล่มแล้วจากภาคแรกที่มีทั้งหมดราวๆ 50 ตอนได้ แต่ภาคนี้มีถึง 129 ตอนด้วยกัน ด้วยเนื้อหาที่เพิ่มขึ้นเยอะอย่างนี้ทำให้ภาคนี้มีการนำเสนอและใส่รายละเอียดได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากการเล่นใหญ่ของเรื่องนี้จึงขยายขอบเขตไปถึงดาวดวงอื่นอย่างชัดเจน มีการสร้าง
สภาที่ดูแลจักรวาลโดยมี รัฐของแต่ละดวงดาวเป็นสมาชิกไม่ใช่มีแต่ชาวอวกาศเยรูเท่านั้น กัลลี่ในภาคนี้จึงมีอะไรหลายๆอย่างที่มากขึ้นและก้าวไปสู่ความเป็นการ์ตูนวิทยาศาสตร์อวกาศเต็มขั้นกว่าภาคแรกที่เนื้อหายังพูดถึงอยู่แค่ไม่กี่เมืองสำคัญแต่ทั้งหมดอ้างอิงกับคำว่า “โลก” อยู่เสมอ
ตัวผมเองคงไม่สามารถย่อความเป็นอวกาศของเรื่องนี้มาให้ทุกคนเข้าใจได้หมดหรอกนะครับ เพราะเรื่องนี้มันใหญ่มากๆกับเรื่องโครงสร้างการปกครองและมีอำนาจของดาวต่างๆในเรื่อง แม้เราจะคุ้นชื่อดาวในระบบสุริยะก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นดาวอังคาร พุธ พฤหัส ดาวศุกร์และต่างๆ เหมือนจะสร้างความคุ้นเคยเมื่อแรกเริ่มในการอ่าน แต่เอาจริงๆแล้ว เนื้อหาของแต่ละที่
เป็นอะไรที่ใหม่และเกินจินตนาการหมด อารยธรรมและเทคโนโลยีเหนือการเข้าใจทุกสิ่งถูกใส่เอาไว้ให้เราได้เห็นว่าแต่ละฝ่ายแต่ละดาวแต่ละรัฐมีอะไรที่แตกต่างและเน้นความสำคัญด้านไหนกันบ้าง ซึ่งแต่ละด้านผมว่ามันช่างโครตส่งเสริมจินตนาการและนำเสนอออกมาได้สุดกู่ เกินคาดเป็นอย่างมาก เอาละบางอย่างเป็นอะไรที่เราเข้าใจได้บ้างอย่างดาวพฤหัสผู้มีกฎให้ประชาชนต้องดัดแปลงร่างเป็นจักรกลสี่เหลี่ยมเพื่อการอยู่อาศัย
หรือชาวดาวศุกร์ที่เหลือแค่ข้อเดียวแถมกินสิ่งมีชีวิตทีเกินคาดเดาเป็นอาหาร เหล่านี้เป็นตัวอย่างจินตนาการอันสุดยอดของ อ. ในการนำเสนอจักรวาลในโลกของกัลลี่ได้อย่างดี เอาจริงๆ ผมว่า อ. ได้สร้างจักรวาลย่อยๆให้ไม่แพ้ความเป็น สตาร์วอร์ ในฝั่งตะวันตกเลยนะครับ เพียงแต่ในจักรวาลของ อ. นี้เขายังยึดกับจักรวาลที่เรารู้จักและได้เรียนมาในความเป็นจริงครับ
แม้ต้องยอมรับว่าด้วยสเกลของเรื่องนี้มันใหญ่มากเพราะไปเกี่ยวข้องกับรัฐของความเป็นดาวแต่ละดวงอย่างชัดเจนและมีรายละเอียดลงลึกไม่ใช่แค่ยกมาอ้างถึงเท่านั้น สิ่งที่เรื่องนี้ทำได้ดีเพื่อให้เราไม่เมาไปกับการผูงเรื่องไปมาโดยที่มีตัวละครและมีดาวยุ่งเกี่ยวเยอะนั่นก็คือการให้รายละเอียดและการเล่าโดยมีคำอธิบายถึงความหมายและที่มาที่ไปรวมถึงประวัติศาสตร์ของพวกเขาลมาด้วย เอาจริงๆ เรื่องคำอธิบายเพิ่มเติมพวกนี้ มองอีกมุมนึงก็เยอะมากเกินไปหน่อยนะ เราจะเห็นตั้งแต่ภาคแรกที่ใส่ลงมาตลอด
และก็ต้องยอมรับว่า อ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็ตาม ด้วยความเป็นข้อมูลเชิงเทคนิคและความเป็นวิทยาศาสตร์สูงซึ่งคิดว่ามีทั้งจริงและไม่จริงปนกันแหล่ะ การอ่านงานแนววิทยาศาสตร์แล้วต้องมารู้พวกนี้เป็นอะไรที่ทั้งจำเป็นและน่าเบื่อมาก แม้ไม่อยากจะอ่านแต่บางทีก็ต้องอ่านงั้นเข้าไม่ถึงว่าเขากำลังพูดถึงอะไร อันนี้ผมต้องขอชมคนแปลด้วยนะครับ
เพราะด้วยเรื่องมันแนววิทยาศาสตร์และอวกาศจ๋ามากๆ การแปลให้รู้เรื่องเป็นอะไรที่แค่คิดก็ปวดหัวแทนแล้วครับ ในเรื่องนี้ที่ไทยถือว่าทำออกมาได้ดีเป็นส่วนใหญ่ อาจจะมีส่วนน้อยที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ แต่ภาพรวมออกมาดี แบบที่อ่านแล้วเราพอจับความเกี่ยวข้องของคำอธิบายพวกนี้กับสิ่งที่กำลังเล่าอยู่ได้ครับ
ผมไม่คิดว่าคำอธิบายพวกนี้ทุกคนอ่านแล้วจะรู้เรื่องหรอกนะครับ ผมก็เช่นกัน มีหลายอย่างที่อ่านแล้วก็ข้าม บางส่วนก็อ่านแล้วก็เข้าใจหลายส่วนอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่ก็ต้องอ่านครับ เพราะมันช่วยเชื่อมต่อกับเนื้อหาให้เราสนุกไปกับมันได้ดี ส่วนใหญ่ผมว่าเขาอธิบายได้ดีนะ
แต่ที่ผมพูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่าถ้าไม่อ่านมันแล้วจะไม่สนุกนะ เพราะหากวัดกันจริงๆ มันมีเนื้อหาหลายส่วนที่ถูกสื่อสารออกทางภาพและมีความเป็นการ์ตูนต่อสู้แบบเต็มตัว ถ้าเราจะข้ามไปบ้างแล้วดูการต่อสู้ผมว่าก็พอเข้าใจได้นะ แต่เชื่อผมเหอะอ่านเรื่องนี้ต้องอ่านคำอธิบายด้วยรับรองบรรลุธรรมแน่นอนครับ
“GUNNM Last Order” ยังคงใช้การต่อสู้เป็นส่วนสำคัญในการเล่าเรื่องอยู่เหมือนเดิมนะครับ แม้เราจะเห็นภารกิจอื่นๆ แทรกอยู่ตลอดเวลา และตัวบทสนทนาจะเยอะอยู่ในหลายๆครั้งก็ตาม แต่เราก็ยังได้เห็นฉากต่อสู้อันดุเดือด เสริมจินตนาการทางวิทยาศาสตร์หนักๆให้เห็นอยู่ตลอดเรื่องครับ
และด้วยเรื่องนี้นำเสนอการต่อสู้ออกมาเป็นทั้งแบบตัวต่อตัวตามสไตล์การ์ตูนไฟท์เตอร์สมัยก่อนแล้ว ก็ยังมีสงครามกองรบในสเกลขนาดเล็กไปถึงกลางให้เห็นกัน ถือว่ามีความหลากหลายในแง่การนำเสนอการต่อสู้ได้ดี ซึ่งหากจะมองทั้งเรื่องก็ต้องบอกว่ามีการสลับการนำเสนอเรื่องราวการต่อสู้นี้ให้แตกต่างอยู่ตลอดเรื่องไม่ใช่อยู่แค่สไตล์ใดสไตล์หนึ่งแบบยาวๆนะครับ แม้กระทั่งการต่อสู้หาบทสรุปผู้แข่งแกร่งหลักของเรื่องอย่าง ZOTT ที่จะแทรกการต่อสู้แบบอื่นหรือเนื้อหาการสืบหาความลับหรือเรื่องราวที่ปิดซ่อนอยู่เข้ามาด้วยเสมอ
เหมือนเป็นการพักเบรคจากการต่อสู้แบบไฟท์เตอร์แบบกลายๆ แม้สิ่งที่นำเสนอแทรกเข้ามาจะเป็นการต่อสู้เช่นเดียวกันก็ตาม แต่พอถึงช่วงศึกสุดท้ายของ ZOTT ตัวเรื่องก็จะจัดหนักให้กับการต่อสู้ที่หยุดทั้งดวงดาวและระบบสุริยะจักรวาลให้มาดูการต่อสู้ในครั้งนี้ครับ เพราะฉะนั้นผมก็ยังถือว่าภาคนี้ยังอุดมไปด้วยงานการต่อสู้แบบต่างๆ มาให้อ่านกัน แม้จะมีสัดส่วนของเนื้อหาเรื่องราวเสริมของการต่อสู้ที่ไม่ได้ฉากต่อสู้เข้ามาเยอะมากประมาณนึงก็ตามครับ
ด้วยการวางไทม์ไลน์เรื่องราวต่างๆในเรื่องนี้ที่พยายามนำเสนอหลายๆเรื่องสลับกันไปมาตลอดไม่ให้เรื่องมันนิ่งอยู่ที่เรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือแนวใดแนวหนึ่งไปนานๆ ส่วนตัวผมต้องถือว่าเป็นการท้าทายความสามารถในการเล่าเรื่องเป็นอย่างมากนะครับ เพราะด้วยสเกลของเรื่องที่มันใหญ่มากๆ เต็มไปด้วยข้อมูลมากมายที่เรายังไม่รู้ หากตัดสลับเรื่องราวที่จะเล่าออกมาได้ไม่ดีพอ
นอกจากจะทำให้ขาดความต่อเนื่องสำหรับคนอ่านแล้ว ยังอาจทำให้คนอ่านสับสนในเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าเรื่องนี้มันออกแนววิทยาศาสตร์เต็มขั้นหลายๆครั้งมันหยิบสิ่งที่เราไม่รู้และไม่เคยรู้หรือสนใจมาพูด มันจึงขาดความเข้าใจตั้งแต่ตอนต้นแล้ว มันจึงยากเข้าไปอีกขั้นในการเล่าเรื่องครับ และถ้าถามผมว่าสรุปมันโอเคไหมสำหรับการเล่าเรื่องในภาคนี้ ผมก็รู้สึกว่าหากอ่านภาคหนึ่งรู้เรื่อง ภาคนี้คงต้องเพิ่มความสนใจไปอีกนิด
แต่ผมว่าทุกคนน่าจะไม่หลงไทม์ไลน์หรือไม่เข้าใจกับเรื่องที่กำลังเล่าตัดสลับกันนี้ซักเท่าไหร่ เพราะความซับซ้อนของเรื่องราวจริงๆมันไม่ได้ลึกหรือซับซ้อนมากนะครับ มันแค่เนื้อหาจะเยอะและ ตัวละครแยะ เท่านั้นเอง แท้จริงแล้วมันก็คือการ์ตูนต่อสู้อยู่ดี เพียงแต่เป็นการ์ตูนต่อสู้แนววิทยาศาสตร์จ๋าๆ เท่านั้นเองครับ
ในการเล่าเรื่องและการตัดสลับเนื้อหาของเรื่องนี้รวมถึงเนื้อหาที่ต้องการเล่ามีอยู่หลายๆจุดที่ผมชอบมากๆ ยิ่งหากมองในแง่ของคนอ่านภาคหนึ่งมาด้วย นั่นก็คือการใส่ที่มาที่ไปของ “โลก” ของเราครับ ซึ่งหากใครอ่านภาคหนึ่ง ผมรู้สึกว่าเขาไม่ได้บอกว่าทำไมโลกถึงกลายเป็นแบบนั้น และทำไมถึงเกิดเมืองเศษเหล็กให้เคลียร์ใช่ไหมครับ รวมถึงนครลอยฟ้าซาเลม
ที่ยังเป็นปริศนาแบบชัดๆที่ไม่มีการอธิบายให้เข้าใจอย่างชัดเจน แต่ภาคนี้นำเสนอเรื่องราวพวกนี้เข้ามาครับ มันก็เหมือนเฉลยคำถามที่เราเคยมีมาจากภาคแรก และเป็นการอธิบายที่เป็นเรื่องเป็นราวไม่ใช่แค่อธิบายแบบคร่าวๆมานะ ผมว่า อ. เขาใส่เข้ามาแบบเต็มๆ โดยเฉพาะเรื่องของโลก ทำให้เข้าใจเรื่องราวความเป็นมาก่อนมาถึงตรงจุดนี้ได้อย่างดี และรวมถึงไปเกี่ยวข้องกับนครลอยฟ้าซาเรมรวมถึงเมืองอวกาศเยรู แห่งนี้อีกด้วยครับ ซึ่งเป็นจิ๊กซอว์ที่สำคัญที่ทำให้เชื่อมต่อเรื่องราวหลายเรื่องเข้าเป็นเนื้อเดียวกันได้ครับ
อีกจุดนึงที่ผมไม่คิดว่าเรื่องนี้จะใส่เนื้อหาและพูดถึงคือการกลับมากล่าวถึงตัวละครบนโลกที่ภาคแรกถึงมีความสำคัญของเรื่องหลายคนด้วยกันนะครับ หลักๆที่สำคัญก็เช่น “หนูน้อยโคโยมิ” ที่ภาคแรกมีบทอย่างมากในตอนท้าย “เคออส” บุตรของ ดร โนวา ขั้วตรงข้ามที่เกิดขึ้น “โฟเกีย” มนุษย์ที่เป็นรักคนปัจจุบันของกัลป์ลี่และ “อิโดะ” ชาวซาเลม ผู้เป็นต้นกำเนิดของเรื่องราวและชีวิตของกัลลี่เหล่านี้ ล้วนถูกหยิบยกเอามาเล่าอย่างที่ผมไม่ได้คาดคิด
และที่สำคัญให้เนื้อที่ในการเล่าพวกเขาเยอะมากๆครับ และหากมองไปที่บทที่เขาใส่มาให้ตัวละครพวกนี้ โดยเฉพาะชายสามคนหลัง ผมว่าเป็นการใส่ความดราม่าเข้าไปอย่างจัดหนักเลยนะครับ กับความวุ่นวายที่ทุกคนต้องเจอ ความเจ็บความทรมานของคนที่เสมือนเป็นตัวแทนของมนุษย์จากโลกที่ตอนนี้เป็นได้แค่พื้นที่เล็กๆในจักรวาลแห่งนี้
อีกเรื่องที่ไม่พูดถึงคงจะไม่ได้ก็คือเรื่องงานดีไซน์การออกแบบตัวละครและฉากต่างๆในเรื่อง ที่เป็นอีกหนึ่งจุดโครตเด่นของ อ. มาตั้งแต่ภาคแรกแล้วครับ ภาคแรกเรายังพูดถึงแค่บนดาวโลกและนครลอยฟ้าซาเลม แต่ในภาคนี้ไปถึงอวกาศ แค่คิดก็คงคาดหวังได้แล้วว่า อ. จะจัดเต็มมากขนาดไหน ซึ่งไม่มีผิดหวังจริงๆครับกับงานวาดสิ่งต่างๆ โดยส่วนนึงเป็นงานที่เราเคยเห็นเค้าของมันมาตั้งแต่ภาคแรก แต่อีกส่วนนึงเป็นงานที่มีออกมาในภาคนี้ครับ
ตัวละครหลุดโลกที่อิงกับความเป็นวิทยาศาสตร์และเหล่ารัฐของดวงดาวที่ในเรื่องได้เขียนไว้ เป็นอะไรที่ดีมากๆในเรื่องนี้ครับ ซึ่งหากใครได้อ่านจะรู้ว่า แต่ละดาวนั้น อ.ดีไซน์ความเป็นพลเมืองที่มีความต่างกันเป็นอย่างมาก ไม่ได้ใช้แค่รูปแบบความเป็นมนุษย์ในการเขียนออกมา ด้วยกรอบของแนวความคิดมันไม่มีสิ่งที่เรียกว่าโลกกั้นอีกแล้ว มันคือความเป็นระบบสุริยะจักรวาล
ความจัดเต็มเหนือจินตนาการในเรื่องนี้จึงเกิดขึ้นครับ ไม่ใช่แค่ดีไซน์ออกมาให้สะดุดตานะ ผมว่าวาดอออกมาได้อย่างน่าสนใจและความเป็นเอกลักษณ์ของดีไซน์ที่แตกต่างกันของแต่ละดาวนี้ ก็ยังนำมาใช้งานอย่างดีกับการต่อสู้ใน ZOTT ที่แต่ละดาวจะต้องส่งตัวแทนออกมาเพื่อประกาศศักดิ์ดาของดาวตัวเอง เราเลยได้เห็นงานดีไซน์ที่น่าสนใจอย่างมากๆในเรื่องนี้เหนือกว่าตอนภาคแรกครับ
รวมถึงความรุนแรงที่นำเสนอออกมาทางภาพด้วยซึ่งต้องบอกว่าสุดมากๆครับ ด้วยแนวของเรื่องมันออกแนว Cyberpunk ตั้งแต่ภาคแรกอยู่แล้ว ทำให้ภาพความรุนแรงอยู่ควบคู่กับเรื่องนี้มาตลอด ผ่านหลายๆตัวละคร ที่หลุดโลกแบบกู่ไม่กลับ รวมถึงการทำสงครามแบบจริงๆจังๆ ที่ไม่นึกถึงความเมตตากันอยู่แล้ว การนำเสนอภาพความรุนแรงในเรื่องนี้จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผมคิดว่าขาดไม่ได้โดยเด็ดขาด มันคือความสุดในความเฉพาะของเรื่องนี้มากๆครับ
และเป็นความรุนแรงแบบที่มีที่มาที่ไปรวมถึงการใช้ประโยชน์ในการเล่าเรื่องราวจากความรุนแรงที่ออกมา ไม่ใช่แค่อยากนำเสนอให้มันดูรุนแรงหรือสยดสยองผ่านภาพเท่านั้นนะ มันลึกและมีเหตุผลมากกว่านั้นครับ
เอาจริงๆแค่เราซื้อมาดูงานดีไซน์แนวอวกาศแนววิทยาศาสตร์และความวิปริตของแนวความคิดที่สื่อออกมาทั้งการวาดและงานดีไซน์ต่างๆ ผมก็ว่าคุ้มค่ามากๆแล้วนะครับ การผสมผสานเรื่องราวอันเหนือจินตนาการที่ทำได้ดีมากๆตั้งแต่ภาคแรกมา จนถึงภาคนี้ที่หนี้ขึ้นไปยังอวกาศกับการช่วยเหลือเพื่อนคนสำคัญและค้นหาตัวตนที่หายไปของกัลลี่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวการเมืองระหว่างหมู่ดาวและการใช้อำนาจเพื่อปกครองที่สเกลมันใหญ่ขนาดนี้
ผมคิดว่าไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆนะครับ แต่สำหรับผมแล้วเรื่องนี้คือความสมบูรณ์แบบแบบไม่สมมาตรทางความคิด จินตนาการ และจักรวาลในจุดที่คนทั่วไปไม่มีทางสร้างขึ้นมาได้อย่างนี้อย่างแน่นอนครับ
“GUNNM Last Order” ภาคสองนี้จริงๆเป็นงานที่เก่าระดับนึงแล้วนะครับ เพราะเป็นงานที่เขียนไว้น่าจะราวๆปี 2000 ได้แถมระหว่างเขียน ยังมีการย้ายค่ายของ อ. ยูกิโตะ อีกด้วยครับ ในบ้านเราด้วยมันเป็นเรื่องที่เขียนมานานแล้วนั้น ถูกทางค่าย TOYS ค่ายไพเรทในไทยหยิบเอามาพิมพ์ก่อน แต่ก็พิมพ์ออกมาได้ไม่กี่เล่ม ก็มีการประกาศ LC ในไทยโดย สนพ สยามอินเตอร์คอมมิคครับ ซึ่งตอนนั้นดีใจมากๆ ที่จะได้อ่าน
แต่ระหว่างพิมพ์ถึงเล่มที่ 14 ก็เกิดการย้ายค่ายของ อ. ยูกิโตะ ทำให้ในไทยก็ต้องย้ายตามไปด้วยครับ LC จึงตรงไปกับทาง วิบูลย์กิจ ซึ่งเป็นเจ้าของ LC ในไทยจนถึงปัจจุบัน รวมถึงภาค 3 ของเรื่องนี้อีกด้วยที่วิบูลย์กิจได้ไปครับ โดยต้นฉบับญี่ปุ่นตีพิมพ์เรื่องนี้ไว้ 19 เล่มจบ แต่วิบูลย์กิจ ตีพิมพ์แบบรวมเล่มหนาๆ ให้จบแค่ 12 เล่มแบบเนื้อหาครบถ้วน เพราะแบบนี้จึงไม่ต้องแปลกใจหากที่ผมอ่านอยู่นี้เป็นพิมพ์ผสมของ LC ในบ้านเราครับ
เพราะไม่มีเงินไปเก็บซื้อของ วิบูลย์กิจแบบย้อนหลังให้สมบูรณ์ ต้องใช้การซื้อเพิ่มในส่วนที่ขาดเพื่อเซฟเงินแทนครับ เพราะฉะนั้นหากใครยังไม่มีซักเล่ม แน่ะนำซื้อของ วิบูลย์กิจไปได้เลยครับ แต่หากมีเวอร์ชั่นสยามอินเตอร์ถึงเล่ม 14 แบบผมให้ซื้อเล่ม 10-12 ของวิบูลย์กิจเพิ่มเติม เนื้อหาก็จะครบถ้วน 19 เล่มของญี่ปุ่นแบบไม่ขาดครับ
“GUNNM Last Order” เป็นการ์ตูนภาคต่อที่ผมอ่านแล้วชอบนะครับ และอย่างที่บอกว่ามันมีอะไรที่ภาคแรกเคยใช้และนำเสนอไว้ ยังถูกหยิบมาใช้ในภาคนี้อยู่เช่นเดิมครับ ถามว่าถ้าอย่างนั้นมันซ้ำไหม สำหรับผมแล้วไม่ซ้ำนะครับ เพราะแนวทางการนำเสนอในภาคแรกผมถือว่ามันดีมากๆ การหยิบมาใช้เล่าในภาคนี้ ในสเกลที่ใหญ่ขึ้นและมีความเป็นวิทยาศาสตร์และอวกาศมากขึ้นอย่างมากแบบนี้ ถือว่าเป็นความท้าทายด้วยซ้ำว่าจะเล่าโดยสไตล์เดิมออกมาได้ดีแค่ไหน
ซึ่งภาพรวมออกมาสนุกเช่นเดิม และด้วยเรื่องมันไม่มีกรอบที่เรียกว่าโลก อีกต่อไป เรื่องนี้จึงนำเสนอความคิดและไอเดียกับอวกาศออกมาได้อย่างสุดๆ แปลก และดูล้อไปกับความเป็นมนุษย์ในหลายๆอย่าง รวมถึงเนื้อหาที่เข้มข้นกับการใส่ทั้งเนื้อหาและเล่าเรื่องที่ภาคแรกยังไม่ได้เฉลยออกมาให้เราเข้าใจ ได้อ่านในภาคนี้อีก และตอนท้ายกับการหยิบเรื่องราวของคนบนโลกมาเล่าปิดท้ายแบบดราม่าหนักๆ ผมว่าเรื่องนี้มันครบแบบที่เราอยากอ่านนะครับ ลายเส้นก็สวย
และเปิดจินตนาการของคนอ่านอย่างผมได้เป็นอย่างดี แม้จะมีเนื้อหาความเป็นวิทยาศาสตร์จ๋าๆ กับเรื่องราวหลายเรื่องที่เราไม่เข้าใจ แม้จะมีคำอธิบายออกมาในแง่ของเรื่องก็ตาม เอาเป็นว่า สำหรับผมมันสุดจริงๆครับ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่หาอ่าน ยิ่งอ่านภาคแรกมาแล้ว ภาคนี้ต้องอ่านครับ แต่อ่านแล้วจะชอบแค่ไหนก็อีกเรื่องนะครับ ใครชอบแนวนี้ห้ามพลาดครับ มันคือตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่และมีลมหายใจจนถึงปัจจุบันนี้ได้อย่างประทับใจคนแบบผมครับ กับ “GUNNM Last Order” ภาคต่อนี้....
ภาพ 10/10
เรื่อง 10/10
ความประทับใจ 10/10
#Manga #รีวิวการ์ตูน #จบ #12เล่มจบ #SiamInterComics #การ์ตูนแนวหุ่นยนต์ #การ์ตูนแนววิทยาศาสตร์ #MangaAnimeReviews #การ์ตูนแนวต่อสู้ #10คะแนน # GUNNM #LastOrder #หนังสือการ์ตูน #Rate18 #สยามอินเตอร์คอมมิค #การ์ตูนแนว Cyberpunk #การ์ตูนแนวอวกาศ #เธอๆอ่านเรื่องนี้หรือยัง
โฆษณา