21 พ.ย. 2022 เวลา 03:13 • ประวัติศาสตร์
#แชร์สยอง #theghostradio
**#ตำนานผีดูดเลือด_แดร็กคูล่า**
ใครต่างก็เคยได้ยินเรื่องราวของชายหนุ่มผิวขาวซีด นอนในโลงยามกลางวัน ตื่นมาดูดเลือดหญิงสาวยามค่ำคืน ฉายาของเขาคือ ‘ท่านเคาท์แดร็กคูล่า’ ผีดูดเลือดแห่งโรมาเนีย
แต่นอกจากความน่ากลัวชวนให้หาผ้ามาพันคอ หรือเตรียมกระเทียมไว้ป้องกันตัว แท้จริงแล้วจุดเริ่มต้นของตำนานนี้เกิดจากเจ้าชายนักรบผู้โหดเหี้ยมในยุคสงครามที่มีตัวตนอยู่จริง
1) สมัยศตวรรษที่ 15 ‘วลาดที่ 3’ (Vlad III) หรือ ‘วลาด แดร็กคิวล่า’ (Vlad Tepes Dracula) คือผู้ปกครองอาณาจักรวัลลาเชียแห่งโรมาเนีย เป็นโอรสองค์ที่ 2 ของวลาดที่ 2 ‘วลาด ดรากุล’ (Vlad Dracul) ซึ่งคำว่า Dracul หมายถึง ปีศาจ ในภาษาโรมาเนีย
2) ในวัยเด็ก เขาเคยถูกส่งไปเป็นตัวประกันพร้อมน้องชายที่จักรวรรดิออตโตมัน แต่เมื่อบิดาเสียชีวิตจากการถูกลอบสังหาร เด็กทั้งสองก็ถูกปล่อยตัว นั่นแสดงให้เห็นว่า วลาดที่ 3 ผ่านศึกสงครามและการฆ่าฟันมาตลอดชีวิต
3) เขาสะสมความโกรธและความแค้น แปรเปลี่ยนมันเป็นความโหดเหี้ยมและเลือดเย็น ทรมานเชลยศึกและนักโทษ โดยใช้ไม้แหลมเสียบเหยื่อจนสิ้นใจแล้วปักประจาน ทำให้ผู้คนเรียกขานเขาว่า ‘วลาดจอมเสียบ’ (Vlad the Impaler) นอกจากนี้ยังมีภาพวาดที่บ่งบอกว่า เขามีความสุขในการเห็นผู้คนทุกข์ทรมาน ทั้งยังนั่งฟังเสียงร้องโหยหวนราวกับฟังดนตรีในโรงมหรสพพลางรับประทานอาหารอย่างสุขสำราญ
4) ถึงแม้วลาดที่ 3 จะมีพฤติกรรมโหดเหี้ยมอำมหิต แต่อีกด้าน วีรกรรมของเขากลับปกป้องบ้านเมืองจากการรุกรานของจักรวรรดิออตโตมัน ทั้งยังกำราบโจรผู้ร้าย ลดจำนวนอาชญากรรมในอาณาจักร ประหารทุกคนที่ขวางทางอย่างเด็ดขาดและดุดัน แม้ขุนนางและประชาชนจะอยู่ใต้ความกลัว แต่ก็ต้องยอมรับในความเป็นระเบียบของบ้านเมือง
5) วลาดที่ 3 ถูกลอบสังหารโดยทหารฝั่งจักรวรรดิออตโตมัน พวกเขาตัดหัวของวลาดส่งกลับไปยังสุลต่านเมห์เหม็ดที่ 2 แห่งจักรวรรดิออตโตมัน ผู้ต้องการล้มล้างวลาดที่ 3 และสนับสนุนน้องชายของวลาดขึ้นเป็นผู้ปกครองแทน เป็นอันจบตำนานจอมเสียบในปี 1476
6) ‘Dracula’ หรือ ‘แดร็กคูล่า’ เป็นนิยายกอทิก (Gothic) อันโด่งดังในปี 1897 เขียนโดย ‘บราม สโตคเกอร์’ (Bram Stoker) ผสมรวมระหว่างตำนาน ‘แวมไพร์’ และ ‘วลาดที่ 3’ โดยแวมไพร์เป็นตำนานและนิทานพื้นบ้านในแถบยุโรป ว่าด้วยเรื่องของสิ่งมีชีวิตอมตะ มีเขี้ยวยาว กัดกินเลือดเนื้อของมนุษย์ ซึ่งหลังจากที่นิยายดังกล่าวออกวางขายก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นความโด่งดังของท่านเคาท์แดร็กคูล่าในฐานะแวมไพร์ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดจนถึงปัจจุบัน
7) ภาพยนตร์แวมไพร์เรื่องแรกเป็นหนังเงียบสัญชาติเยอรมันชื่อเรื่อง ‘Nosferatu: A Symphony of Horror’ (1922) ผู้รับบทแวมไพร์คนแรกคือ ‘Jure Grando’ ขณะที่ภาพยนตร์แดร็กคูล่าเรื่องแรก ‘Dracula’ (1931) เป็นภาพยนตร์สัญชาติอเมริกัน นำแสดงโดย ‘Bela Lugosi’
8) เชื่อกันว่า แวมไพร์เกรงกลัวและมักถูกขับไล่ด้วย น้ำไหล แสงแดด หรืออุปกรณ์ของชาวคริสต์ เช่น ไม้กางเขน น้ำมนต์ รวมถึงกระเทียม โดยอย่างหลังสุดมีที่มาความเชื่อตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณจนถึงโรมาเนีย พวกเขาเชื่อว่ากระเทียมมีสรรพคุณไล่แมลง ป้องกันโรค รักษาอาการหวัด และฆ่าเชื้อ กล่าวคือเป็นยาที่ได้จากธรรมชาติ ป้องกันสิ่งชั่วร้ายได้ เมื่อเวลาผ่านไปกระเทียมและความเชื่อในการขับไล่ปีศาจจึงหลอมรวมกัน
9) นอกจากนี้ทางวิทยาศาสตร์ยังอธิบายว่า กระเทียมมีน้ำมันที่มีสารประกอบกำมะถันเรียกว่า ‘Allicin’ ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และป้องกันการติดเชื้อ เมื่อแวมไพร์เกิดจากการกระจายเชื้อผ่านการกัด กระเทียมที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อจึงทำให้แวมไพร์ปวดแสบปวดร้อนนั่นเอง
อ้างอิง:
เรียบเรียง: ทีมงาน The Ghost Radio
ข้อมูลที่นำเสนอ มีเนื้อหาเกี่ยวกับความเชื่อ
ซึ่งแต่ละบุคคล อาจมีความเชื่อที่แตกต่างกัน
ขอให้ท่านผู้อ่าน ใช้ดุลยพินิจและวิจารณญาณ
โปรดแสดงความคิดเห็น เพื่อให้ความรู้อีกแง่มุม
โดยที่ไม่ก้าวล่วง ความเชื่อความศรัทธาของผู้ใด
The Ghost Radio
ติดตามเรื่องเล่าสุดหลอนได้ในช่องทางต่อไปนี้
โฆษณา