17 พ.ย. 2022 เวลา 12:00 • การ์ตูน
สื่อต่าง ๆ สามารถแสดงเรื่องราวมากมาย แต่ทำไมผมถึงติดใจอยู่กับอนิเมะ? ในหมู่สังคมที่ก็ไม่ได้มีมาก มีผมคนเดียวที่ชอบดูอนิเมะเป็นหลัก จริงอยู่ว่าภาพยนตร์ก็เป็นสื่อที่ยอดเยี่ยมเช่นเดียวกัน หรือซีรีส์บางเรื่องก็ถ่ายทอดเนื้อความได้อย่างยอดเยี่ยม นิยายบางเล่มก็ทำเอาปากค้างได้เลย แม้ว่าจะเสพสื่อหลายรูปแบบ แต่ทำไมจงต้องหวนกลับมาที่อนิเมะ บล็อคเล็ก ๆ นี้ขอถ่ายทอดความชื่นชอบอนิเมะออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร
อนิเมะคืออะไร? เอาง่าย ๆ เลย อนิเมะคืออนิเมชั่นญี่ปุ่น หรือก็คือการ์ตูนญี่ปุ่น ซึ่งเมื่อจำกัดความแบบนี้แล้ว มันก็ยากที่จะเหมารวมการ์ตูนเรื่องอื่น ๆ ให้เป็นอนิเมะด้วย เช่น The Last Airbender หรือ Arcane แต่ถ้าจะเหมารวมอย่างอื่นด้วย ก็เรียกว่าเป็นสื่อรูปแบบอนิเมชั่นก็แล้วกัน
แน่นอนว่าด้วยความเป็นเด็กผู้ชาย อนิเมะเรื่องแรกที่พาเข้าสู่โลกนี้คือนารุโตะและโชเน็นเรื่องอื่น ๆ ทั่วไปที่เป็นที่นิยมในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็น Bleach หรือ Dragon Ball การเป็นเด็กผู้ชายที่ชอบการต่อสู้ก็เข้าใจได้ง่ายอยู่ แต่เรื่องที่ดึงเข้าสู่วงการนี้อย่างฉุดไม่อยู่คือ Melancholy of Suzumiya Haruhi ที่ฉายช่องแก๊งการ์ตูนในสมัยนั้น ซึ่งอนิเมะเรื่องนี้ต่างจากโชเน็นมาก มากจนไม่กล้าพูดคุยเรื่องอนิเมะกับคนอื่น ๆ เพราะกลัวเขาหาว่าแปลก
Suzumiya Haruhi
แต่ประโยคที่จับใจของฮารุฮิ เรื่องที่เธอเล่าเกี่ยวกับความคิดเธอที่สนามเบสบอล มันผูกความเป็นตัวผมกับปรัชญานั้น กล่าวคือ ความพิเศษ ความสำคัญ ใคร ๆ ก็อยากจะสำคัญ ใคร ๆ ก็อยากจะพิเศษ แต่แม้ว่าจะทำอะไรก็ตาม เรามันก็แค่คนธรรมดา ไม่ได้มีพลังพิเศษอะไรเหมือนการ์ตูนแอคชั่นเรื่องอื่น ๆ หรือหนังไซไฟ มันหวนให้คิดถึงความไม่พิเศษและความธรรมดาของชีวิตตัวเอง
ตัวผมหยุดดูอนิเมะไปนาน เมื่อตอนท้ายของมัธยมปลาย จนเรียนจบปริญญาตรี ผมไม่ได้แตะอนิเมะอย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่เมื่อเรียนจบมาแล้ว และศึกษาต่อป.โทที่ต่างประเทศ โดยใช้ชีวิตอยู่คนเดียว และแบกรับความรู้สึกของตัวเองคนเดียวอย่างโดดเดี่ยว ประกอบกับการเรียนที่หนัก และเรื่องเครียดมากมายในตอนนั้น ผมหวนคืนสู่อนิเมะ เริ่มเก็บอนิเมะที่ตัวเองอยากจะดู เพื่อเป็นทางหนีจากความเป็นจริงอันโหดร้าย
มันอาจจะทำให้ผมชอบดูอนิเมะที่ไม่เครียดจนเกินไป และกระตุ้นความชื่นชอบอนิเมะแนว Slice of Life และอนิเมะตลก เช่น Nichijou หรือ K-on! เรียกได้ว่า หาอะไรคลายเครียดดูนั่นเอง แต่อนิเมะเหล่านี้มีข้อความที่สะท้อนชีวิตธรรมดาที่กระตุ้นต่อมอะไรบางอย่างในความรู้สึก กลับกลายเป็นว่า อนิเมะเหล่านี้พาเครียดกับชีวิตจริงมากกว่าเดิม เลยเริ่มดูโชเน็นอีกครั้ง และกลับมาติดตาม One Piece
NIchijou
แต่กลายเป็นว่า ไม่ว่าอนิเมะเรื่องไหนก็สะท้อนความเป็นจริงอันโหดร้ายของความน่าเบื่อหน่ายในชีวิตประจำวันอยู่ดี แต่อนิเมะบางเรื่องกลับนำเสนอมุมมองกลับกัน Kyoto Animation สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยม ค่ายนี้นำเสนอความสวยงามในชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายได้อย่างไม่มีที่ติ ผมจำข่าวตอนนี้ค่ายนี้ประสบอัคคีภัยได้ และรู้สึกหดหู่เมื่อรู้ว่าในผู้เสียชีวิตเป็นคนที่ทำอนิเมะที่ผมชื่นชอบอันดับต้น ๆ
ทำไมผมถึงชอบอนิเมะ มันเพียงแต่เนื้อเรื่องอย่างนั้นน่ะหรือ จริงอยู่ว่าเนื้อเรื่องมันดีในอนิเมะหลาย ๆ เรื่อง แต่บางเรื่องก็ทำเป็นซีรีส์คนแสดงหรือเป็นพล็อตของหนังก็ได้ แต่เมื่อดู Hyouka ไปหลายรอบ ผมต้องการจะเข้าใจว่าทำไมอนิเมะเรื่องนี้มันสวยงามเหลือเกิน ทำไมอนิเมะสามารถจับความสวยงามของสภาพแวดล้อม อารมณ์และความรู้สึกของตัวละคร และโทนของเนื้อเรื่องได้ดีขนาดนั้น
Hyouka
Every frame a painting คือวลีที่เหมาะสมที่สุด อนิเมะสามารถทำในสิ่งที่ภาพยนตร์ทำไม่ได้ นั่นคือ ความใส่ใจในลายละเอียดที่ละเอียดที่สุด ในสื่อคนแสดง การถ่ายภาพเคลื่อนไหวมีองค์ประกอบหลายอย่างที่สามารถควบคุมได้ และที่ควบคุมไม่ได้ แต่ในอนิเมะ ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถควบคุมได้ ทั้งในเฟรม นั่นคือ ภาพ สี และองค์ประกอบ และนอกเฟรม นั่นคือ ความสามารถของนักพากย์ เสียงดนตรีประกอบ
ทุกลายละเอียดสามารถควบคุมได้ ทั้งองค์ประกอบที่อยู่ที่พื้นหลัง แสงและสีของภาพ อารมณ์และความรู้สึกที่ถ่ายทอดผ่านใบหน้าของตัวละคร จังหวะเร็วช้าในการเคลื่อนไหวภาพและการเปลี่ยนมุมกล้อง ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถควบคุมได้ และอำนาจในการควบคุมเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อผู้สร้างรู้ว่าจะเอาแบบไหน เขาสามารถทำให้ทุกเฟรมสื่อความหมายได้ทั้งหมดนั่นเอง
หากอนิเมะที่มันดี ผู้สร้างทั้งทีมที่ใส่ใจในลายละเอียด อนิเมะเรื่องนั้นสามารถทำออกมาได้อย่างเพอร์เฟคมากที่สุด สามารถใช้องค์ประกอบทุกอย่างเพื่อสื่อข้อความของเรื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเนื้อเรื่องนำสู่ข้อมูลที่น่าสนใจ แสงและโทนสีของภาพสามารถปรับเปลี่ยนไปตามความรู้สึกและข้อความนั้น ๆ ได้ ความใส่ใจในองค์ประกอบฉาก หากสามารถควบคุมมันออกมาได้อย่างเต็มที่แล้ว มันสามารถใช้ภาพเพื่อสื่อเรื่องราวเองได้โดยไม่ต้องมีบทพูดด้วยซ้ำ
ตัวอย่างในภาพยนตร์ที่ผมชื่นชอบก็แสดงออกได้อย่างดีเยี่ยม ในเรื่อง The Silence of the Lambs หนังสยองขวัญที่กวาดรางวัลออสก้าร์ไปอย่างมากมาย สามารถใช้องค์ประกอบของฉากเพื่อสื่อข้อความของฉากนั้น ๆ อารมณ์และความรู้สึกของตัวละคร ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครและข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือตัวอย่างของความใส่ใจในลายละเอียดที่ทำให้แต่ละฉากมีคุณค่า มีความหมาย
Anthony Hopkins เล่นเป็น Hannibal Lecter ใน The Silence of the Lambs
อนิเมะที่ยอดเยี่ยมสามารถทำได้โดยความใส่ใจนั้น ยกตัวอย่างเช่น Perfect Blue ผลงานเดบิ้วของซาโตชิ คน ผู้ช่วงลับ เพียงฉากเดียวเราสามารถเรียนรู้ถึงสภาพจิตใจ เจตนา ลักษณะนิสัยของตัวละครได้ โดยไม่ต้องมีบทพูดเลยแม้แต่น้อย เพียงฉากเดียว เราสามารถเข้าใจตัวละครมาโมรุ อุชิดะได้ โดยที่เขาไม่ต้องพูดสักคำ เพียงต้นเรื่อง เรารู้ถึงชีวิตสองด้านของนางเอกมิมะ คิริโกเอะได้ด้วยไม่เสียเวลาอธิบาย
มิมะในมือของมาโมรุ ในเรื่อง Perfect Blue
องค์ประกอบภาพก็เป็นส่วนหนึ่งในการเล่าเรื่อง แต่การเปลี่ยนฉากล่ะ? อีกเรื่องหนึ่งของซาโตชิที่แสดงถึงความสามารถอันยอดเยี่ยมของเขาในการเปลี่ยนฉากคือเรื่อง Paprika เราจะสามารถแสดงถึงเรื่องที่สลับกันระหว่างความจริงกับความฝันได้อย่างไร ซาโตชิสามารถทำได้ ด้วยความคิดสร้างสรรค์ของเขา ซึ่งเรื่อง Perfect Blue ก็มีเนื้อหาคล้าย Black Swan และ Paprika ก็คล้ายกับ Inception แต่เราเห็นอิทธิพลของอนิเมะในภาพยนตร์ได้อย่างชัดเจน
Paprika
นอกจากนี้ ผมกลับสามารถแสดงความรู้สึกได้มากกว่าเมื่อดูอนิเมะ เมื่อถูกเลี้ยงดูมาอย่างเป็นผู้ชาย กับหมู่เพื่อนที่เป็นผู้ชายเป็นหลัก ปัญหาที่ตามมาหลัก ๆ คือการแสดงความรู้สึกและอารมณ์ แม้ว่าสภาพจิตใจจะย่ำแย่แค่ไหน หรือรู้สึกเสียใจอะไรเพียงใด ความกังวล ความเศร้า ความเครียดก็ไม่อาจนำเสนอออกมาได้ เพราะคำว่า “อดทนหน่อยสิ” กับ “คิดมากไปหรือเปล่า” ทำให้ตัวผมเองเลือกที่จะไม่แสดงอารมณ์
เมื่ออยู่กับคนอื่น และเมื่อรู้สึกตัวขึ้นมา กลับรู้สึกเมื่อยหน้าและพบว่าตัวเองยิ้มอยู่ แต่ยิ้มเพราะอะไร เพราะมันเป็นใบหน้าของเราจริง ๆ หรือเป็นเพียงหน้ากากที่ปิดบังอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง เมื่อถามตัวเองแบบนั้น ก็ถามต่อไปว่าจริง ๆ เรารู้สึกอะไรอยู่ในตอนนี้ ที่ ๆ เราอยู่เป็นที่ที่เราอยากจะอยู่จริง ๆ เหรอ เรามีความสุขหรือสนุกสนานอยู่จริงเหรอ หรือจริง ๆ เรากำลังเบื่ออยู่ แต่ใส่หน้ากากเพื่อปิดบังเอาไว้
การแสดงความรู้สึกมันยากเหลือเกิน แม้ว่ากำลังเสียใจหรือผิดหวัง ก็ไม่สามารถพูดมันออกมาได้ เพราะไม่คุ้นชินกับการแสดงอารมณ์ จุกอกแต่พูดไม่ออก ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเขียนและอ่านหนังสือเยอะก็ตาม แต่บางครั้ง แม้จะพูดเป็นคำออกมาก็ใช่ว่าจะสะท้อนความรู้สึกได้ การเขียนบ่อย ๆ เป็นการประดิษฐ์คำและประกอบประโยคเพื่อสื่อความหมายให้คนอื่นเข้าใจ แต่เราเข้าใจตัวเองแบบนั้นจริง ๆ เหรอ หรือมันสามารถแสดงความรู้สึกของเราครบถ้วนจริง ๆ เหรอ
หรือว่าคำเหล่านั้นเป็นหน้ากากเหมือนกัน
หลายครั้งที่อยากจะร้องไห้ แต่ร้องไห้ไม่ออก หลายครั้งที่อยากจะหัวเราะ และก็เป็นเสียงหัวเราะที่สร้างขึ้นมาเพียงไม่กี่วิเท่านั้น บางทีก็อยากจะแสดงความรู้สึกด้วยร่างกายที่ไม่รู้วิธีแสดงออกสิ่งเหล่านั้นออกมา หลายครั้งในการแสดงออกด้วยคำพูดมันก็มีขีดจำกัดของมัน มันอาจจะสื่อความหมายได้ แต่มันไม่อาจสื่ออารมณ์ที่แท้จริงที่แม่นยำได้เหมือนภาษากาย
ผมพบว่าอนิเมะสามารถดึงความเป็นมนุษย์ที่มีอารมณ์และความรู้สึกของผมออกมาได้อย่างน่าเหลือเชื่อ มันน่าเหลือเชื่อเพราะสื่อที่ชมอยู่มันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตจริง ๆ ด้วยซ้ำ เป็นเพียงภาพวาด แต่ทำไมภาพวาดมันถึงสื่ออารมณ์ได้ดีขนาดที่เรามีอารมณ์คล้อยตามได้ ภาพเหล่านั้นไม่ใช่คนจริง ๆ ด้วยซ้ำ หน้าตาก็สวยงามไม่ได้ใกล้เคียงกับหน้าของคนจริง ๆ สักหน่อย คนเรามีทรงกับสีผมแปลก ๆ แบบนั้นเหรอ
1
ย้อนกลับมาที่ Monogatari series โดยเฉพาะ Nisemonogatari คาเกะนูอิถามอารารากิคำถามที่ไคคิคิดขึ้น “สมมุติว่าของปลอมเหมือนของจริงจนแยกไม่ออก อะไรมีค่ามากกว่ากัน” ซึ่งโอชิโนะบอกว่ามีค่าเท่ากัน คาเกะนูอิบอกว่าของจริงมีค่ามากกว่า แต่ไคคิตอบว่า “ของปลอมมีค่ามากกว่า เพราะความพยายามที่จะเหมือนกับของจริง มันจริงยิ่งกว่าของจริงด้วยซ้ำ”
Kaiki Deishu ใน Nisemonogatari
ผมติดอยู่กับประโยคนี้เป็นเดือน (หรือเป็นปีก็ไม่แน่ใจ) แต่หากคิดซะว่าอนิเมะเป็นของปลอม หรือก็คือมนุษย์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ซึ่งมีหน้าตาที่ไม่ได้เหมือนมนุษย์อะไรขนาดจะเรียกว่าเป็น Uncanny Valley แต่มันกลับแสดงออกซึ่งอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ที่เด่นชัดและมีอิทธิพลมากพอ ๆ หรืออาจจะมากกว่ามนุษย์จริง ๆ เสียอีก “มันจริงยิ่งกว่าของจริง”
Trash Taste ซึ่งเป็น Podcast นำเสนอเรื่องราวของบุคคลสามคน (แม้ว่าจะโฆษณาว่าเป็น Podcast อนิเมะก็ตาม) ตอนหนึ่ง พี่กานต์ (Garnt หรือ Gikkuk) พูดไว้น่าสนใจมากว่า ผู้ชายควรจะมีโอกาสร้องไห้มากขึ้น สำหรับเขา เมื่อเขาอยากจะร้องไห้ เขาบอกว่าเขาดูเรื่อง Ano Hana ซึ่งเศร้าจริง แต่สำหรับผมแล้วคือ Violet Evergarden ซึ่งผมร้องไห้ไปเกือบทุกตอน โดยเฉพาะตอนที่ 10 ที่ทำน้ำตาไหลจนปวดหัว
Violet Evergarden
หรือความรู้สึกสบายใจล่ะ? แม้ว่าจะอยู่ที่บ้านที่เป็นพื้นที่ส่วนตัวแล้ว หรืออยู่กับเพื่อนที่ไว้ใจกันมากก็ตาม แต่ไม่มีที่ไหนที่ทำให้มีความสบายใจได้เท่ากับการดูอนิเมะ โดยเฉพาะเรื่อง K-on! ในห้องชมรมดนตรีที่ดื่มชากับกินเค้กกันมากกว่าเล่นดนตรี แม้ว่าตัวเองจะไม่ใช่เด็กสาวเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานวัยรุ่น แต่ก็รู้สึกสบายใจได้เมื่อเห็นพวกเธออยู่ด้วยกันอย่างแปลกประหลาด
K-on! เป็นเรื่องเกี่ยวกับ Cute girls doing cute things ก็จริง แต่ทำไมมันมีอิทธิพลมากขนาดนั้น ผมว่า มันเป็นเพราะความสบายใจ ความคลายเครียดที่สื่อออกมาจากชมรมนั้น เราสามารถคล้อยตามความสดใสวัยเรียนนั้นไปได้ ประหนึ่งย้อนดูเรื่องราวสมัยเรียนที่ความเครียดมากที่สุดก็คือส่งการบ้านไม่ทันหรือการสอบเข้ามหาวิทยาลัย และเมื่อเรื่องราวจบลง สาว ๆ เรียนจบ เรามีความรู้สึกยินดีและเศร้าพร้อม ๆ กัน ประหนึ่งว่าเข้าใจความหมายของจุดจบที่สวยงามนั้น
K-on !
จริงอยู่ว่า K-on! ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่มีแก่นสาร แต่ผมว่าแก่นสารของมันคือความไม่มีแก่นสารนั้นเอง หรือนั่นไม่ใช่ Cup of tea ของใครหลาย ๆ คน อีกเรื่องหนึ่งที่คล้ายกันแต่มีแก่นสารแน่นอนคือเรื่อง A Place Further than the Universe เกี่ยวกับกลุ่มเด็กสาวที่เดินทางไปขั้วโลกใต้ ซึ่งปัญหาและข้อสรุปที่กลุ่มนี้พบเจอเล่าเรื่องราวความรู้สึกที่กินใจ และตอนจบกระตุ้นต่อมน้ำตาพอ ๆ กับ Violet Evergarden
A Place Further than the Universe
หนึ่งในห้าอนิเมะในดวงใจคือเรื่อง Rascal Does Not Dream of a Bunny Girl Senpai ซึ่งชื่อเรื่องอาจพาเอาคนที่ไม่อินอนิเมะเบือนหน้าหนีได้ แต่ผมยืนยักว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับชุดกระต่ายแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสภาพจิตใจของวัยรุ่นที่นำเสนอผ่านปรากฎการณ์เหนือธรรมชาติที่พยายามอธิบายในทางวิทยาศาสตร์ ปัญหาที่วัยรุ่นพบเจอ แม้ว่าผมจะผ่านจุดนั้นไปแล้ว ยังสะเทือนใจถึงทุกวันนี้
Rascal Does Not Dream of a Bunny Girl Senpai
เรื่องราววัยรุ่นมีอะไรมากมายเกิดขึ้น และเรื่องราวเหล่านั้นประกอบให้เราเป็นเราถึงทุกวันนี้ ในช่วงเวลาวัยรุ่นของผมเองก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้นเหมือนกับคนอื่น ๆ เขา แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความรู้สึกอะไรเกี่ยวกับมันเลย แม้ว่าจะไม่ได้แสดงมันออกมา การย้อนดูเรื่องราววัยรุ่นของคนอื่นทำให้ผมย้อนกลับมาดูเรื่องราวของตัวเองที่ปล่อยค้างคาความรู้สึกเอาไว้จนเป็นภัยต่อสุขภาพจิตอย่างไม่รู้ตัว
Rascal ฯ เป็นอีกเรื่องที่เนื้อหากินใจและตัวละครแสดงความรู้สึกผ่านสีหน้าออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมจนอินไปพร้อม ๆ กับตัวละครเหล่านั้น โดยเฉพาะในเรื่องราวของ Rascal Does Not Dream of a Dreaming Girl ที่สะเทือนใจถึงแก่น
แน่นอนว่าผมเองที่มีพื้นฐานความสนใจเรื่องของการเมือง มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะดูอนิเมะการเมือง อย่าง Fullmetal Alchemist ซึ่งถือว่าเป็นอนิเมะดีเยี่ยมตลอดกาล แน่นอนว่าภาพยนตร์หรือซีรีส์คนแสดงมากมายนำเสนอเรื่องราวทางการเมืองเยอะมากในปัจจุบัน แต่ผมกลับพบว่า อนิเมะเรื่องนี้นำเสนอปัญหาทางการเมือง ชนชั้น การเหยียด ความเกลียดชัง การแย่งชิงอำนาจ และอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
FMA: Brotherhood
การนำเสนอของ FMA ไม่ใช่การนำเสนอแบบโยนใส่หน้าว่า นี่คือปัญหาสังคมนะ นี่คือเรื่องของการเมืองนะ จงให้ความสนใจมันนซะ แบบเรื่องอื่น ๆ ที่ทำให้มันเด่นชัดว่านี่คือเรื่องที่เขานำเสนอแบบคิดว่าผู้ชมไม่มีปัญญาที่จะเข้าใจ เพราะผมพบว่า ในสื่อที่นำเสนอแบบนั้นมันไม่มีเนื้อหาอะไรที่ซับซ้อนหรือลึกซึ้งในแง่ของความคิดที่แตกต่างและหลากหลาย ทำให้ต้องเน้นย้ำความคิดอะไรบางอย่างและอย่างเดียวเท่านั้น
อีกเรื่องหนึ่งซึ่งผมมักจะยกขึ้นมาพูดบ่อยครั้ง และพยายามไม่พูดถึงคือกันดั้ม แน่นอนว่าผมเป็นนักสะสมกันพลา แต่กันพลาก็นำผมเข้าสู่มหากาพย์กันดั้ม และพบว่าเรื่องราวที่นำเสนอมันมีแก่นสารที่น่าสนใจเยอะมาก กันดั้มเป็นอนิเมะการเมืองเรื่องแรก ๆ หากไม่ใช่เรื่องแรก เมื่อเรื่องนี้เริ่มฉาย มันไม่ได้รับความสนใจมากเท่าไหร่ ทำให้ยอดขายอนิเมะไม่ดีและต้องตัดจบไป เนื่องจากเนื้อหาของเรื่องไม่ได้รับความสนใจจากเด็ก ๆ เพราะเนื้อเรื่องมีความเป็นผู้ใหญ่มาก
จนกระทั่งของเล่นขายออกอย่างถล่มทลาย ทำให้อนิเมะได้รับความสนใจมากขึ้น แม้ว่าอนิเมะเก่ามากแล้ว แต่ด้วยขีดจำกัดทางการเงินของทีมสร้าง ทุกเฟรม ทุกคำพูดต้องสื่อความหมายและข้อความของเรื่องออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งเรื่องของสงครามที่มีผลกระทบต่อผู้คนโดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่ต้องมาแบกรับสงครามของผู้ใหญ่ เกมการเมืองภายในและการเมืองระหว่างกองทัพ และอื่น ๆ
นอกจากนี้ เมื่อกันดั้มชุดแรกดำเนินถึงจุดจบใน Char’s Counterattack ข้อความของเรื่องก็เด่นชัดขึ้นมา ข้อความที่เป็นหัวใจของเรื่องกันดั้มคือ ความเป็นไปได้ของมนุษย์ ซึ่งความเป็นไปได้นั้นอาจนำสู่ความรุ่งโรจน์ของมนุษย์ หรือภัยสงครามก็ได้ เราจะเชื่อในความเป็นไปได้ของมนุษย์ หรือยุติมันด้วยการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์? แน่นอนนี่เป็นเพียงข้อความสรุปเท่านั้น ไม่ได้ลงลายละเอียดมากมาย ซึ่งลายละเอียดผมเขียนไว้ในบล็อกก่อน ๆ แล้ว และอาจจะขยายความในบล็อกหน้า ๆ
MSG: Char's Counterattack
ส่วนตัวที่มีพื้นหลังหลักเกี่ยวกับนิติปรัชญา ทฤษฎีกฎหมาย และจริยศาสตร์ แน่นอนว่าจะไม่พูดถึง Death Note ไม่ได้เลย เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ผมสนใจมาก และติดใจมาตั้งแต่เด็กจนโต เป็นเรื่องแรกที่ทำให้ผมถามเรื่องของความยุติธรรม เพราะมันดูเหมือนกับว่าทั้งคิระและแอลเป็นพระเอกทั้งคู่ นั่นหมายความว่า อุดมคติเรื่องของความยุติธรรมของทั้งคู่ แม้จะตรงกันข้ามกัน ก็สามารถถูกต้องได้ทั้งคู่เหมือนกัน
แน่นอนว่าผมอยู่ข้างแอล หนึ่งคือผมชอบความเป็นนักสืบ เคยเป็นแฟนการ์ตูนโคนัน และชอบอ่านคินดะอิจิทั้งรุ่นปู่และรุ่นหลาน มากไปกว่านั้นยังเป็น Sherlockian อีกด้วย สองคือผมเห็นด้วยกับความยุติธรรมในอุดมคติของแอล แต่เรื่องนี้ หากจะให้พูดถึงคงยาวเกินไป ขอละไว้เท่านี้ก็แล้วกัน ไว้มีโอกาสจะมีขยายความความเห็นของผมในเรื่องของความยุติธรรมมในมุมมองของเรื่อง Death Note
Death Note
โดยรวมแล้วน่าจะทำให้เห็นและเข้าใจว่าทำไมผมจึงให้ความสนใจกับอนิเมะอย่างมาก มันสวยงาม เต็มไปด้วยความหมาย สื่ออารมณ์และความรู้สึกได้ดี เนื้อหามีความลึกซึ้ง แต่แน่นอนว่าไม่ใช่อนิเมะทุกเรื่องจะดีหมด แน่นอนว่าผมเองก็เคยดูอนิเมะที่ไม่ดีตามมาตราฐานที่วางเอาไว้จากการเสพอนิเมะชั้นยอดเรื่องอื่น ๆ แต่มันก็คุ้มค่าที่จะลอง เพราะเราก็ไม่รู้ว่าเราจะไปเจออะไรดี ๆ ที่มีความหมายจากที่ไหนและเมื่อไหร่
การเปิดโอกาสนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ผมคงไม่เข้าถึงปรัชญาอัตถิภาวะนิยมหากผมไม่ยอมรับว่าตัวเองติดใจเรื่องฮารุฮิ ผมคงไม่ตั้งคำถามซึ่งเป็นแก่นของหัวข้อป.เอกที่กำลังร่างโครงงานอยู่ในตอนนี้หากไม่ดูเรื่อง Rascal ฯ ผมคงไม่ได้อยู่ในวงการนิติปรัชญาหากไม่เสพ Death Note หรือ Fullmetal ฯ ผมคงยังอยู่กับความไร้ความรู้สึกหากไม่เปิดใจให้กับ Violet Evergarden หรือ Hibike! Euphonium
Hibike! Euphonium (Poster ประกาศซีซั่น 3)
หรือ Monogatari series ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมให้ความสนใจมากที่สุดในตอนนี้ก็จริง และก็ยกขึ้นให้เป็นอนิเมะชั้นยอด บล็อกนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพราะผมอยากจะพูดถึงเรื่องนี้ แต่ผมไม่สามารถหาเพื่อนคุยด้วยได้เลย เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่จะแนะนำให้คนอื่นดูได้ง่าย ๆ และมันยากที่จะหาคนที่เคยดูแล้วเหมือนกัน หากผมไม่เปิดใจดูมันตั้งแต่แรก ผมเองก็คงยังไม่เห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
แน่นอนว่าสื่อชนิดอื่นก็มีส่วนสำคัญเช่นนั้น นอกจากอนิเมะแล้ว ผมคิดว่าเกมที่ดำเนินตามเนื้อเรื่องคือสื่อที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการนำเสนอเรื่องราวต่าง ๆ แม้ว่ามันอาจจะทำได้ดีกว่านิเมะ แต่มันคงใช้ทุนการสร้างเยอะกว่า และเข้าถึงยากกว่าเพราะราคาและเวลาโดยร่วมที่สูง เกมที่เปิดโลกผมมากที่เมื่อเล่นจบแล้วต้องลุกขึ้นปรบมือให้คือ Nier: Automata และ 13 Sentinels: Aegis Rim
13 Sentinels: Aegis Rim
อนิเมะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างตัวตนของผมที่ผมเป็นอยู่ในตอนนี้ และเมื่อดูอนิเมะดี ๆ จบสักเรื่องหรือสักตอน ผมอดใจไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืดและบอกกับตัวเองว่า “ดีใจจริง ๆ เลยนะ ที่เกิดมาชอบดูอนิเมะ!”
โฆษณา