17 พ.ย. 2022 เวลา 09:55 • การศึกษา
นับอสงไขย
นับอสงขัย
อสงไขยแปลว่าอะไรครับ เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าอย่างไรบ้าง ?
อสงไขย แปลตามศัพท์ว่า "ไม่พึงนับ" เพราะมันมากเหลือเกิน มากจนนับไม่ได้ แต่ถ้าจะนับให้ได้ก็ประมาณว่า เขียนเลขหนึ่งไว้ แล้วเติมศูนย์ลงไปอีก ๑๔๐ ตัว เขาอ่านว่า "อสงไขย" คุณลองไปนับดูก็แล้วกันนะ
ตัวเลขนี้เขาเอามานับอะไรกัน มีอะไรที่มีจำนวนหน่วยตั้งเยอะตั้งแยะอย่างนี้
มีเรื่องเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง ท่านเนรูห์ พ่อของนางอินทิรา คาน ท่านได้ศึกษาตำรับตำรามากเข้าๆ ก็มาติดว่า เอ..คำว่าอสงไขย คำนี้บัญญัติไว้ใช้นับอะไรกัน จะนับคนในประเทศอินเดีย ในสมัยพุทธกาลหรือ มันก็ไม่น่าจะใช่ จะนับอะไรมันก็ไม่มีจำนวนมาก ถึงอสงไขยสักอย่าง
แต่ทำไมถึงได้บัญญัติศัพท์คำนี้ขึ้นมาใช้ ท่านหาคำตอบไม่ได้ ก็จะไปตอบได้อย่างไร เพราะคำนี้บัญญัติใช้เฉพาะในพระพุทธศาสนา ท่านเนรูห์นับถือศาสนาฮินดู จึงไม่รู้ว่าหน่วยอสงไขยนี่ เขาเอามาใช้คำนวณเวลา ในการบำเพ็ญบารมี เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องใช้เวลายาวนานมาก ยาวกว่าอายุของโลก
เวลานี้ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ สามารถอธิบายให้เรารู้ว่า โลกเริ่มต้นกันตั้งแต่เป็นหมอกเพลิง แล้วเย็นลง จนในที่สุดเป็นแผ่นดินให้เราได้มาอยู่กันอย่างนี้ รู้กันมาแค่นี้ ถือว่าความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์เก่งแล้ว แต่ทางด้านพระพุทธศาสนา รู้ยิ่งกว่านั้นคือ รู้ว่าโลกเริ่มจากหมอกเพลิง แล้วเย็นลงเป็นแผ่นดิน
จนกระทั่งมนุษย์สามารถอยู่บนพื้นโลกได้ แต่อีกหน่อยเมื่อมนุษย์ก่อเวรรบราฆ่าฟันกันมากๆ เข้า โลกก็จะร้อนระอุ กลับไปเป็นหมอกเพลิงอีกครั้งหนึ่ง เวลานับจากโลกเป็นหมอกเพลิงแล้วเย็นลง จนกลับไปเป็นหมอกเพลิงอีกครั้งหนึ่ง ท่านเรียกว่ากัปหนึ่ง ถามว่ากัปหนึ่งกี่ปี? ตอบว่าอย่าไปนับเลย นานมาก
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อุปมาไว้อย่างนี้ สมมติว่ามีภูเขาแท่งทึบอยู่ ๑ ลูก ลักษณะเหมือนลูกเต๋า แต่เป็นลูกเต๋ายักษ์กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ ยาว ๑ โยชน์ คือ กว้าง ๑๖ กิโลเมตร ยาว ๑๖ กิโลเมตร และสูง ๑๖ กิโลเมตร
ในทุกๆ ๑๐๐ ปี มีผู้เอาผ้าบางเหมือนควันไฟไปลูบ พอลูบทีหนึ่งมันก็จะสึกไปนิดหนึ่ง อีก ๑๐๐ปี ก็มาลูบอีกทีหนึ่ง ลูบอย่างนี้ทุกๆ ๑๐๐ ปี ถ้าเมื่อไรมันสึกไปจนกระทั่งภูเขาลูกนี้ราบเตียนเสมอกับพื้นดิน เมื่อนั้นให้นับว่ากัปหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่ากี่ปี
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมัยที่เกิดเป็นพระโพธิสัตว์ และได้รับพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งข้างหน้า โดยจะใช้เวลาบำเพ็ญบารมีอย่างน้อยที่สุด ๔ อสงไขย แสนมหากัป ลองเขียนเลข ๔ ลงไปตัวหนึ่งแล้วเติมศูนย์อีก ๑๔๐ ตัว
แล้วประมาณเวลาว่า โลกเป็นหมอกเพลิงแล้วก็เย็นลง จนมีผู้คนมาอาศัยอยู่ แล้วในที่สุดโลกก็ไหม้ กลับไปเป็นหมอกเพลิงอีก ช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์อย่างนี้นานเท่าไร นับประมาณเวลาอย่างนี้ไปอสงไขยครั้งกับอีกแสนครั้ง รวมกันเข้าไป นั่นแหละเป็นระยะเวลาน้อยที่สุดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะต้องใช้สำหรับฝึกตนเองให้เป็นคนดี
จนกระทั่งสามารถที่จะสอนให้คนอื่นรู้ตามได้อีกด้วยท่านใช้เวลากันนานถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้นเวลาปฏิบัติธรรม เราจึงได้ซาบซึ้งกันนักหนาว่า แหม...เรานี่โชคดีนะ เกิดมาได้มาพบพระพุทธศาสนา แม้ไม่พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังได้เจอคำสอนของพระองค์
นี่ถ้าให้เราไปค้นเองว่าบาปเป็นอย่างไร คงไม่รู้หรอก ขนาดบารมีอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังเสียเวลาค้นมาถึง ๔ อสงไขย กับแสนมหากัป ถ้าให้พวกเราค้นเอง อย่าว่าแต่ ๔ อสงไขยเลย อีกกี่ล้านอสูงไขยกัป เราก็ค้นไม่เจอ
ขนาดมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาวางเส้นทางไว้ให้ เรายังสะเปะสะปะ คลำไม่เจอเลย ท่านเนรูห์ที่ว่ามีปัญญามาก มาเจอตัวเลขอสงไขยเข้ายังงง...ไม่รู้ใช้ทำอะไร เราศึกษาพระพุทธศาสนาแล้วจะพบเสมอว่า เวลาที่พระอรหันต์ท่านระลึกชาติ ไม่ใช่ระลึกแค่ ๒ ชาติ ๓ ชาติ หรือ ๕ ชาติ ๑๐ ชาติ ล้านชาติ
แต่ท่านระลึกชาติ ย้อนไปเป็นกัปเป็นอสงไขยๆ ชาติทีเดียว ทำไมทำได้อย่างนั้น ท่านทำได้ เพราะธรรมดาพระอรหันต์ใจท่านใสเป็นแก้ว ใสเป็นเพชร ความสว่างของใจสามารถใช้ส่องย้อนระลึกไปดูอดีตได้ การกระทำต่างๆ ที่เกิดในโลกนี้จริงๆ แล้วถูกบันทึกอยู่ในใจของเรานี่เอง
เราเกิดมากี่ชาติ ใจของเราบันทึกไว้หมดแต่เป็นบันทึกละเอียด ซึ่งพอจะอุปมาเทียบเคียงกันได้กับวิดีโอเทป ที่สามารถบันทึกได้ทั้งภาพทั้งเสียงนั่นแหละ การบันทึกเรื่องราวในใจ ก็บันทึกเป็นภาพเป็นเสียงเช่นกัน เป็นภาพซ้อนภาพ เสียงซ้อนเสียง
เมื่อฝึกสมาธิแล้ว มาเจออย่างนี้เข้า จึงไม่แปลกใจเลย เวลาใครเขามาบอกว่า เครื่องคอมพิวเตอร์ มันบันทึกได้เท่านั้นเท่านี้ อย่ามาคุยเลยว่าคอมพิวเตอร์มันเก่ง คนเราเก่งกว่า บันทึกได้มากกว่านั้นตั้งมากมาย ค่อยๆ ฝึกสมาธิไป แล้วจะรู้เอง
หลวงพ่อ ต อ บ ปั ญ ห า ๖ (ศาสนา) (หน้าที่ ๖๑-๖๓)
ภาพดีๆ ๐๗๒
1
โฆษณา