Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ลงทุนเกิร์ล
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
18 พ.ย. 2022 เวลา 02:30 • ธุรกิจ
จากอดีตวิศวกร สู่ผู้ก่อตั้ง “ล่าเมียว” ร้านหม่าล่า รายได้เฉลี่ย 6 ล้านบาทต่อเดือน
“ล่าเมียว” ธุรกิจร้านหม่าล่า ที่ตอนนี้กำลังได้รับความนิยม
จนบางช่วงต้องมีลูกค้ามาต่อคิวเข้าร้านกันเลยทีเดียว
ที่น่าสนใจก็คือ แม้ร้านล่าเมียว จะเพิ่งเปิดตัวได้เพียง 3 ปี
แต่มีการขยายสาขาถึง 3 แห่ง บนห้างฯ ทำเลทอง
และยังทำรายได้เฉลี่ย 6 ล้านบาทต่อเดือน เลยทีเดียว
โดยวันนี้ลงทุนเกิร์ล มีโอกาสได้พูดคุยกับคุณแอมป์-รัตตรุจน์ ทองประดิษฐ์
ผู้ก่อตั้งร้านล่าเมียว ถึงวิธีการสร้างแบรนด์ร้านหม่าล่าบนห้างฯ
รวมถึงล่าเมียวมีกลยุทธ์สำคัญอะไร จนทำให้คนรักหม่าล่า ต้องยอมควักกระเป๋าให้กับล่าเมียว ?
ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
ล่าเมียว (La meow) เป็นร้านอาหารจีนสไตล์หูหนานเสฉวน ที่ก่อตั้งในปี 2019
โดยจุดเริ่มต้นของธุรกิจนี้ เกิดจากคุณแอมป์ อดีตวิศวกรชาวไทย ที่ยอมทิ้งเงินเดือนหลักแสนบาท เพื่อลุยธุรกิจร้านอาหาร เพียงเพราะต้องการให้ภรรยาชาวจีน มีอาหารต้นตำรับหูหนานไว้กิน ตอนอยู่ประเทศไทย
ซึ่งคุณแอมป์เล่าว่า ภรรยาชาวจีนของเขา คุ้นเคยกับอาหารจีนสไตล์หูหนาน ที่มีรสชาติเผ็ดชา และเผ็ดเปรี้ยว มากกว่า อาหารคาวของไทยบางชนิด ที่มักจะมีรสชาติออกรสหวาน
โดยเขามีโอกาสได้ไปชิมอาหารจีนต้นตำรับที่เมืองหูหนาน บ้านเกิดของภรรยา
และพบว่ารสชาติของอาหารที่นั่น จัดจ้านเป็นเอกลักษณ์ถูกใจตัวเขาเอง และน่าจะถูกปากคนไทยเช่นกัน
หลังจากนั้น คุณแอมป์ก็เริ่มศึกษาตลาดหม่าล่าในไทย และต่างประเทศ
และตัดสินใจเดินหน้าสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจร้านอาหารอย่างเต็มตัว
โดยคุณแอมป์ ได้ร่วมหุ้นกับเชฟชาวจีนที่ทำอาหารให้เขากินในวันนั้น
เปิดบริษัท ซีบี ทีเอ เทรดดิ้ง จำกัด ที่มีร้านล่าเมียวรวมอยู่ด้วย
และยังเคลมว่า ทุกเมนูเป็นสูตรอาหารต้นตำรับหูหนานแท้ ๆ
แต่ท่ามกลางการแข่งขันสุดดุเดือดในตลาดหม่าล่า
แค่มีสูตรต้นตำรับ อาจยังไม่พอ ที่จะครองใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้
แล้ว “ล่าเมียว” มีกลยุทธ์อะไรในการสร้างแบรนด์ จนสามารถครองใจลูกค้าได้ ?
อันดับแรก คือ “หม่าล่าบาร์” ที่ให้ลูกค้าสามารถเลือกวัตถุดิบได้ตามใจชอบ และมาในราคาที่จับต้องได้
คุณแอมป์ สังเกตว่า ธุรกิจร้านหม่าล่าในไทยส่วนใหญ่ จะเน้นชูการขายแบบหม้อไฟ หรือปิ้งย่าง
1
แต่ล่าเมียวเลือกที่จะขายแบบ “หม่าล่าบาร์”
ซึ่งเป็นโมเดลร้านอาหารที่นิยมมากในจีน
แต่ขณะนั้นก็ยังไม่มีใครนำเข้ามาตีตลาดในไทย
แม้ว่าหม่าล่าบาร์ อาจฟังดูไม่คุ้นชินเท่าไรนักสำหรับคนไทย
แต่มันกลับเป็นที่นิยมมากในหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น เกาหลีใต้, ออสเตรเลีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย และเมียนมา
ซึ่งจุดเด่นของหม่าล่าบาร์ คือ ลูกค้าสามารถเลือก D.I.Y. เมนูของตัวเองได้ตามใจชอบ
โดยมีวัตถุดิบให้เลือกหลายสิบอย่าง ในราคาขีดละ 45 บาท
เช่น เส้นมันหวาน, แผ่นสาหร่าย, ปูอัด, ลูกชิ้นชีส, รากบัว และผักต่าง ๆ
อีกทั้ง ยังสามารถเพิ่มเนื้อสัตว์ เช่น หมูสามชั้นสไลซ์, เนื้อสไลซ์, หมึก, หอยเชลล์ หรือแซลมอน ได้เช่นกัน โดยเริ่มต้นที่ถาดละ 45 บาท
และเมื่อเลือกวัตถุดิบเรียบร้อยแล้ว พนักงานจะปรุงแต่ละชาม ตามรสชาติที่เราเลือก
ที่ปรับได้ทั้ง ระดับความเค็ม และระดับความเผ็ด
ซึ่งมีพริกสูตรเฉพาะ 3 ชนิด เป็นตัวชูโรง อย่างพริกดอง, พริกชา และพริกหม่าล่า
โดยลูกค้ายังสามารถเลือกได้ว่า จะให้ทางร้านนำวัตถุดิบที่ลูกค้าตักมา ไปทำเป็นเมนูซุปหม่าล่า หรือ หม่าล่าผัดแห้ง ก็ได้เช่นกัน
1
ถัดมา ก็คือ “ความเป็นร้านอาหารจีน ที่ดูทันสมัย”
หากใครเคยเข้าไปที่ร้านล่าเมียว จะเห็นว่าดิไซน์ของร้านดูทันสมัย มีสีสันสดใส และมีแมสคอตเจ้าแมวเหมียวสีขาวหน้าทะเล้น คอยต้อนรับอยู่หน้าร้าน
ซึ่งคุณแอมป์เล่าว่า เหตุผลที่เลือกใช้แมวเป็นแมสคอตของร้าน เพราะมองว่าแครักเตอร์ของแมว มีหลากหลายอารมณ์ เหมือนเวลาที่ลูกค้าเข้ามาที่ร้าน จะสามารถเลือกอาหารได้ตามใจ ตามอารมณ์ที่ลูกค้าต้องการ แถมยังสร้างการจดจำได้ง่ายอีกด้วย
นอกจากนี้ บรรยากาศในร้าน ยังเหมาะสำหรับคนทุกวัย และทุกโอกาส
ทั้งการนัดคุยงาน สังสรรค์ หรือแม้แต่แวะมานั่งกินช่วงเที่ยง หรือช่วงเย็นก่อนกลับบ้านก็ได้
1
สุดท้าย ก็คือ “การเลือกทำเลทอง”
แม้ล่าเมียวจะเป็นร้านใหม่ที่เปิดมาไม่นาน และไม่ใช่ร้านจากเชนใหญ่
แต่ทั้ง 3 สาขาของล่าเมียว ล้วนตั้งอยู่บนทำเลทองของร้านอาหาร
และกว่าจะได้เข้าไปเปิดร้านในห้างทำเลทองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
1
อย่าง สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ ก็เคยถูกปฏิเสธไปถึง 3 รอบ ก่อนที่จะผ่านการคัดเลือกในรอบที่ 4
แน่นอนว่า สำหรับร้านอาหารแล้ว การเลือกทำเลที่มีศักยภาพ ส่งผลต่อยอดขายเป็นอย่างมาก
แม้ว่าในช่วง 3 ปีแรก ล่าเมียว จะยังขาดทุนอยู่ เพราะต้องมาเผชิญกับโควิด 19 พอดิบพอดี
แต่เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
คุณแอมป์ประกาศในรายการ Shark Tank Thailand ว่า
ร้านล่าเมียว สามารถทำรายได้สะสม 65 ล้านบาท ตั้งแต่เปิดร้านมา 35 เดือน
และ 3 เดือนล่าสุด ร้านได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมาก จนมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 6 ล้านบาท
จนตั้งเป้าว่า ในสิ้นปีนี้จะทำรายได้ถึง 75 ล้านบาท
และปี 2023 คาดว่าจะมีรายได้สูงถึง 150 ล้านบาทเลยทีเดียว
ที่น่าสนใจคือ รายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่ ไม่ได้มาจากลูกค้าที่มากขึ้น แต่กลับเป็นลูกค้าเก่าที่มาใช้บริการซ้ำ
ซึ่งส่วนหนึ่ง มาจากเบื้องหลังการทำการตลาดของล่าเมียว ที่ใช้การวิเคราะห์ข้อมูล จากพฤติกรรมของลูกค้า มาปรับปรุงให้ตรงกับความต้องการมากขึ้น
รวมถึงการดิไซน์โปรโมชันให้กับตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม จนกลับมากินซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า หรือประทับใจจนต้องบอกต่อ
ไม่เพียงเท่านี้ ล่าเมียว ยังมีเป้าหมายในการขยายสาขาเพิ่มอีก 3 สาขา ภายในปี 2023 บนห้างฯ ชั้นนำ โดยในวันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ จะเปิดสาขาใหม่ที่สยามเซ็นเตอร์ กับดิไซน์ร้านที่ชิกมากกว่าเดิม
อีกทั้งยังมีแผนที่จะยกระดับจากธุรกิจ “SME” เป็นธุรกิจ “สตาร์ตอัป”
โดยเตรียมตัวจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ เพื่อระดมทุนภายในอีก 3 ปีหลังจากนี้
เนื่องจากมองว่า หม่าล่าฟีเวอร์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยตอนนี้ ไม่ใช่แค่กระแส
แต่ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า หม่าล่าและอาหารจีนยังมีโอกาสเติบโต และจะมีความต้องการเพิ่มขึ้นอีกนั่นเอง..
(ad)กลุ่มบริษัทธนจิรากรุ๊ป เดินหน้าขยายธุรกิจหาญ เวลเนสแอนด์ฮอสพิทอลลิตี้ (HARNN Wellness & Hospitality) ครอบคลุมทั้งเวลเนสและสปาภายในประเทศและต่างประเทศในระดับ Regional สร้างให้แบรนด์ไทยเป็นที่รู้จักและสร้างความภูมิใจในระดับสากลรวมกว่า 16 สาขาทั่วภูมิภาค
https://www.facebook.com/TANACHIRA-GROUP-174055739828807/
#TANACHIRA #HARNN #SCapebyHARNN
Reference:
-สัมภาษณ์พิเศษ กับคุณแอมป์-รัตตรุจน์ ทองประดิษฐ์ ผู้ก่อตั้งร้านล่าเมียว
ธุรกิจ
6 บันทึก
19
8
6
19
8
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย