17 พ.ย. 2022 เวลา 18:44 • ความคิดเห็น
บทความนี้..... หนีไปค่ะ
ยาวประมาณพ็อคเกตบุ๊ค ไม่เน้นวิชาการ...
เริ่มต้นจากบทสนทนาตอนราวน์เช้า....
หมอ หายจากโควิดแล้ว หมอเป็นยังไงบ้างคะ หมอสบายดีมั้ย
น้องพยาบาลถามตอนราวน์
ก็นี่ไง สบายดี ออกจะดีดได้ตั้งแต่วันที่ออกจากรพ. ก็ปกติดี ไม่เหนื่อยนะ ทำงานอยู่เวรอตั้งแต่วันที่ออกจากรพ.จนถึวันนี้เนี่ยยังไม่ได้หยุดเลย เวรยุ่งอีกต่างหาก ก็ยังไม่มีไรนะ ทำไมเหรอ
หนูเพิ่งหายเหมือนหมอ แต่รู้สึกยังไม่ดีเลยค่ะ เพลีย ยังไอบ่อย มีเสมหะอยู่เลย ตอนนี้แค่เดินก็เหนื่อย ตอนป่วยหมอเป็นเยอะมั้ย
อ๋อออออ..... เธอใช่มั้ยหัวหน้ากลุ่มรอบนี้ ป่วยคนแรก เอามาติดพยาบาลอีกคน แล้วหมอไปติดเป็นคนที่สามของกลุ่มนี้... ไล่ลำดับคนป่วย
หมอเป็นเยอะมั้ยเหรอ.... ไม่รู้สิ หมอว่าตอนป่วยหมอก็ไม่ได้แย่นะ แต่หมอมีโรคประจำตัวเป็น SLE เป็นมะเร็ง มีแผลเป็นในเนื้อสมองขนาดไม่เล็กเลย เป็นภูมิแพ้ด้วยซึ่งพอติดมันก็กำเริบ ปอดมีผังผืดด้วยนิดหน่อยเพราะเคยติดวัณโรคจากคนไข้นานมากแล้ว ตั้งแต่สมัยเรียนต่อหมอเด็ก.... ทุกอย่างที่เป็นต้องใช้ยาทั้งแบบต่อเนื่องหรือเป็นครั้งคราว ....
2
ตอนป่วยมันก็ลงปอดนะ ค่าไตหมอขึ้นตั้งแต่วันแรก หลังแอดมิทวันที่สามแลปก็เริ่มไป เม็ดเลือดขาวร่วง เม็ดเลือดแดงร่วง มีติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำด้วยตั้งแต่วันแรกเลย เสมหะเขียงอื๋อยังกะ
ลอดช่อง บางวันเสมหะก็ปนเลือดออกมา แต่ก็ไม่หอบเหนื่อยอะไรมากนะ มีแค่วันแรกหายใจเร็วหน่อย 20 ครั้ง/นาที
หลังแอดมิทสี่ห้าวันก็รู้สึกว่าดีขึ้นนะ สดชื่นดี
วันที่ออกจากรพ. ก็ทำงานเลย อยู่เวรทำงาน เวรก็ดันยุ่ง จนไม่ได้นอนสามสิบแปด สามสิบเก้าชั่วโมง ดูคนไข้เต็มมือมาสามสี่วันแล้ว
แบบที่เห็นอยู่เนี่ย ก็ไม่เป็นไรนะ ไม่เหนื่อยไม่เพลียอะไร ทำงานดีดไปดีดมาอย่างนี้แหละ เห็นป่าวล่ะ..... ดวงเวรยุ่งจนหมอรพ.ศูนย์ประจำจังหวัดที่รับรีเฟอร์บอกว่า.....ทำไมน้องดวงยุ่งแบบนี้ เคสหนักๆมาเรื่อยเลยนะคะ
เราสู้ คนไข้สู้กลับตลอด....
โหหหหห..... หมอหนักกว่าหนูอีก แต่หมอดูสดชื่นจริงๆ หนูเลยสงสัยว่าหมอเป็นเยอะมั้ย ทำไมหนูยังไอบ่อย ยังเหนื่อย...
อืออออออ.... คนถามเยอะมาก เค้าเห็นเราดีดไปมา เค้าเลยถามว่าตอนป่วยเป็นเยอะป่าว หายไปหลายวัน ตัวเองก็เลยไม่รู้ว่าตอนป่วยเรียกว่าหนักมั้ย เพราะเราไม่รู้สึกว่าร่างกายเรามันแย่มาก แค่เพลียแล้วง่วง หายแล้วมันยังดีดได้ตามปกติ
ในช่วงป่วยหมอดูแลตัวเองดีมากเลยนะ เพราะหมอตั้งใจว่าจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองเป็นลองโควิดง่ายๆเด็ดขาด และช่วงที่สำคัญที่สุดในการลดภาวะแทรกซ้อนในการดูแลคือช่วงที่ยังมีการติดเชื้ออยู่ช่วงแรกๆ จะทำอะไรรีบทำ ดูแลตัวเองให้ดีช่วงนี้เพื่อลดของแถม ยกเว้นมันสุดวิสัย...
มันลงปอด มีติดเชื้อแบคทีเรียร่วม ตัวเองมีโรคประจำตัวเยอะ โอกาสที่โรคมันจะหนักมากมันมีอยู่แล้ว ถ้ามันหนักโอกาสเป็นลองโควิดมากกว่าคนแข็งแรงทั่วไป พอรู้ว่าติดเชื้อ ก็บอกตัวเองว่า จะดูแลตัวเองดีๆเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการแทรกซ้อนที่มันอาจจะมีตามมา หรือเกิดขึ้นตอนที่เราป่วย....
1
หมอใช้ทั้งยาแผนปัจจุบันและสมุนไพรทั่วไปนะ.... พูดจบก็เงียบไป
หนูได้ยามาค่ะ แต่หนูก็กินบ้างไม่กินบ้าง...
ถ้าคนไข้พูดแบบนี้คนเป็นหมอมายี่สิบปีก็รู้แล้วค่ะว่าเค้าไม่ได้อยากกิน และไม่คิดว่ามันมีประโยชน์... ซึ่งเราก็ไม่อาจ บังคับใครได้
หมอใช้ยาหลักทุกตัว ตามที่คุณหมอเจ้าของไข้สั่งอย่างเคร่งครัด ยาแผนปัจจุบันก็ใช้
หมอดูแลตัวเองอย่างมีวินัยช่วงที่ป่วย
นอกจากยาปกติที่คุณหมอเจ้าของไข้สั่งให้
หมอใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการบำบัดรักษาจริงในระบบทางเดินกายใจ
แม้อาจจะยังไม่มีงานวิจัยรองรับในการฆ่าเชื้อได้จริงในคน แล้วยังไม่ใช่ยามาตรฐานใช้เป็นยาหลักในการรักษาคนไข้ แต่เมื่อป่วยแล้วได้ใช้ เรารู้เลยว่า มันดีจริงๆ ในแง่ฤทธ์ยาที่ช่วยบำบัดอาการของโรค
หมอหายใจไม่ออก คัดจมูก เจ็บแสบโพรงจมูกด้านหลัง เจ็บแสบในคอ ไอมีเสมหะเขียว ไม่ใช่สีขาวแบบคนไข้โควิดทั่วไป น้ำมูกก็เขียว
วันแรกๆไอบ่อย ไอลึกมาก ไอทีเหมือนขั้วปอดจะหลุด เสมหะเพียบ
ยาแผนปัจจุบันในมือที่มีทั้งกินทั้งพ่น มันก็เปิดช่องลมหมอไม่ได้ ตอนนั้นยาฝรั่งช่วยอะไรไม่ค่อยจะได้เลยจ้าาาา.... มียาเป็นถุงในมือ กับในห้องยาทั้งรพ. ถ้าอยากได้อะไร แค่บอก เค้าพร้อมเสิร์ฟ​มาก....
สุดท้ายคือ จู่ๆก็นึกถึงขิงสด แทนที่หมอจะโทรหาหมอเจ้าของไข้ พยาบาลหรือห้องยา หมอโทรขอขิงสดมาสักแง่งจากห้องครัว
น้ำขิงร้อนๆ แค่จิบผ่านคอลงไป คือนิพพาค่ะ หมอรู้เลยว่านี่คือทางรอด ฤทธิ์ยาที่มีจริง ไม่ต้องไปรองานวิจัยอะไรบนโลก อย่างน้อยก็จมูกโล่ง กินเองรู้เองนักเลงพอ น้ำขิงสดนี่แหละ กินแล้วออกฤทธิ์เปิดโพรงจมูกได้ในเวลาเป็นวินาที
เทียบเท่ากับ iliadine ที่ใช้พ่นทางจมูก แต่ยาจะใช้ได้ไม่บ่อย และไม่ควรใช้ต่อเนื่องหลายๆวัน นี่คือความวิเศษที่ตัวเองเพิ่งรู้จากน้ำขิงสด
หลังจากนั้นสิ่งที่หมอทำคือ
1. จิบชาน้ำขิงสด วันละ 2- 3 ลิตร ทานอุ่น ถึงอุ่นจัด หรืออุณหภูมิห้อง ไม่ทานน้ำเย็นเลย
2.อังไอสมุนไพร สูดไอร้อนพวกนั้นเข้าปอด เป็น inhalation therapy เข้าทางเดินหายใจตัวเอง ลดการอักเสบ เปิดหลอดลม ละลายและขับเสมหะดีมากๆ เท่าที่หาได้ตอนนั้นมี
ขิงสด กระชายสด หอมแดง สั่งซื้อทางช้อปปี้ค่ะ.... สิ่งเหล่านี้นึกได้เพราะแม่ ตอนเด็กๆ เวลาเป็นหวัด คัดจมูก กลางคืนนอนไม่ได้หายใจไม่ออก แม่จะบุบๆหัวหอมแดงมาให้เราดม เกลี๊ยดเกลียด
ตอนป่วยอยู่ตอนนั้นคิดว่าถ้าได้ลูกมะกรูดสด พิมเสน ยูคาลิปตัสออยล์​มาเพิ่มด้วยจะดีมาก
แต่หาได้แค่นั้น ก็ใช้แค่นั้นค่ะ
เอาทุกอย่าง ล้าง หัวหอมปอกเปลือก ขิงหั่นท่อน กระชายตัดแต่ง ส่วนที่เสียหรือไม่สะอาดออก แล้วทุบ บุบให้แตกเพื่อให้ได้ตัวยาเต็มที่
ต้มน้ำร้อนให้เดือด ปล่อยคลายร้อนหน่อยค่ะ ไม่งั้นหน้าลวกหมด แล้วเทน้ำร้อนใส่เครื่องแกงที่เราาเตรียมไว้ เอาผ้าคลุมศีรษะแล้วอังไอร้อนที่ลอยขึ้นมา สูดลึกๆให้เข้าปอดให้เต็มที่
อังจนไอร้อนพวกนี้หมดก็พอ
มันจะประมาณ 15 นาที
ทำเสร็จน้ำมูกจะไม่เหนียว ไหลออกมาเชียว จะไอได้ดี เสมหะจะไม่เหนียว ขับออกมาง่ายและเต็มที่ ให้ไปล้างจมูก เอาน้ำมูกออกให้หมด ไอให้เต็มที่เพื่อระบายเอาเสมหะออกจากทางเดินหายใจของเราให้ได้มากที่สุด มันจะไอซักพัก จนเสมหะหมดมันจะหยุดไอ ทำแบบนี้เช้า-เย็น เอาสารคัดหลั่งสกปรกพวกนี้ออกจากตัวในแต่ละวันให้มากที่สุด เปิดช่องลมตัวเอง สูดเอาตัวยาเข้าไปในทางเดินหายใจค่ะ
3.กินน้ำกระชายสด มะนาวน้ำผึ้ง ช่วยละลายและขับเสมหะ กระชายเองก็มีฤทธ์ยับยั้งเชื้อ
มันจะแสบทั้งคอเหมือนเอาแอลกอฮอล์ราดแผลสด จนวันที่สี่ อาการแสบคอน้อยลงมากๆๆๆๆ ถึงรู้ว่า.... อ้าวปกติกินน้ำกระชายไม่ได้แสบหรอกหรือ แปลว่าเยื่อบุช่องคอเราอักเสบน้อยลงไปเยอะแล้วนี่ ยาต้านไวรัสก็คงทำงานของเขาได้ดี
การดูแลตัวเองที่ผ่านมาก็คงไม่ใช่เรื่องสูญเปล่า หรือไม่มีประโยชน์ คนมีโรคระดับเรา ตอบสนองการรักษาดีและไวมาก.....
4.โควิด เวลาติดเชื้อ มันไม่ได้อยู่แค่ทางเดินหายใจ มันไปทางเดินอาหารด้วย แล้วจะปล่อยให้มันอยู่สบายในลำไส้เราทำไม...
อาหารอะไรเป็นยารับประทานเข้าไปค่ะ
ทานอาหารที่มีสมุนไพรพวก ขิง กระชาย
หัวหอม เยอะๆ ตั้งแต่น้ำกระชายไปจนถึง
ผัดขิงสด แกงส้ม แกงเลียง น้ำยาขนมจีน
แกงป่า แกงเขียวหวานใส่กระชายซอยมาก็ตักทานเลยค่ะ
5.ทานผักผลไม้เยอะๆ เอาวิตามินตามธรนชาติน้อยนิด แต่ทานแล้วสดชื่น ช่วยขับถ่าย
ไม่ให้ตัวเองท้องผูก ต้องขับถ่ายทุกวัน เอาของเสียออก
6.พักผ่อนให้พอ ง่วงนอนเลยค่ะ กลางวันก็ช่าง ปกติเป็นคนไม่นอนกลางวัน นอนดึก แต่หลับได้ลึกและหลับง่าย ไม่มีนอนไม่หลับ
แต่ถ้าป่วยจะหลับเก่งทั้งกลางวันกลางคืน....
สองสามวันแรกมันจะเพลียมาก ตื่นตอนเช้า ทำกิจวัตร ทานข้าว อบสมันไพรตัวเอง (ผลพลอยได้คือหน้าใสกิ๊ก)​ ล้างจมูก ไอ ระบายเสมหะ แล้วก็พัก...
การพักของตัวเองคือ เดินจงกรมค่ะ เดินไปชั่วโมงสองชั่วโมง มันจะเริ่มรู้สึกเพลีย ง่วง แต่ไม่เหนื่อยนะคะ พอรู้สึกว่าร่างกายเพลียเต็มที่ต้องการการพักปุ๊บ ก็หยุดเดินค่ะ จะไปนอนเลย แล้วจะหลับยาวที่ละสามถึงสี่ชั่วโมง นอนกลางวันวันละสองรอบ รอบละสามสี่ชม. ไม่ต้องพูดถึงทีวี อยู่รพ.สิบวัน ไม่เปิดเลน บางคนบอกดูซีรี่ส์สิ แก้เบื่อ... สำหรับเรามันไม่ใช่การพักผ่อน มันกระตุ้นการรับรู้ กระตุ้นอารมณ์ให้ขึ้นๆลงๆ เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์เปลี่ยนไปมาตามอารมณ์หนังโดยใช่เหตุ อยู่เงียบๆกับตัวเองสบายอารมณ์กว่า
กลางคืนสี่ทุ่มนอน ตื่นหกโมงเช้า ไม่มีคำว่านอนไม่หลับค่ะ หลับแซ่บมาก ยาในถุงที่เขาจัดให้ ที่ไม่ได้ใช้คือยานอนหลับ
พี่หมอน้องหมอที่เค้าจะมาเยี่ยมบอกว่า มาทีไรเห็นหลับตลอด นอนเก่งจริงๆ เลยไม่มีใครโทรเข้ามาคุยด้วย
พอวันหลังเริ่มสดชื่นขึ้นจะไม่รู้สึกอยากนอนกลางวันแล้ว ตอนนั้นค่อยอ่านหนังสือ หรือเอางานมาทำ
7.กินแค่วันละสองมื้อค่ะ เกิดจากการรับรู้ร่างกายของตัวเองว่า ร่างกายตัวเองต้องการอาหารแค่นี้ มันพอ มากกว่านี้คือเกิน มันไม่อยากกิน ....
1
ในวันแรกก็เริ่มต้นจากสามมื้อตามปกติที่คุ้นชิน แต่พอเข้าวันที่สองที่สาม ร่างกายต้องการพัก มันจะรู้เลยว่า มื้อที่สามคือส่วนเกิน วันที่สามก็เริ่มขอทานข้าวสองมื้อ ไม่สั่งมื้อเย็น
บอกเขาว่ากินข้าวไม่ทัน ไม่รู้จะกินมื้อที่สามตอนไหนเพราะ
เช้าทานแปดโมง หลับตื่นอีกทีบ่ายสอง ทานมือที่สอง.... แล้วก็หลับตื่นอีกทีหกโมงกว่า ไม่หิว.....​จะกินมื้อที่สามเพื่ออออ เพราะอีกไม่นานก็นอน ..... อย่างมากก็อะไรเบาๆ ไม่หนักท้อง นม ผลไม้ หรือขนมนิดหน่อย กักตัวดูอาการ พร้อมติดตามค่าแลปที่ไม่ปกติจนครบสิบวันน้ำหนักไม่ขึ้นค่ะ
8.ไม่คิดเยอะ 😄😊.....​แม้จะบอกตัวเองว่า ไม่ต้องการเป็นลองโควิด และจะพยายามลดโอกาสที่ตัวเองจะป่วยหนักให้ได้มากที่สุด แต่ก็ไม่เคยทำสิ่งเหล่านี้ด้วยความกังวล หรือหวาดกลัวถ้าต้องเผชิญกับมันจริงๆ
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิเ
ไม่มีคำว่ากลัวตัวเองจะนอนไม่หลับ กลัวมันลงปอด(ลงไปแล้ว 😅)​ กลัวนู้น คิดนี่
อยู่กับตัวเองแบบสบ๊ายยยยสบาย
อยู่กับตัวเอง แค่ดูแลตัวเองไปวันๆก็หมดเวลาเช้ายันค่ำแล้ว ว่างก็เดินจงกรม ว่างก็นอน ว่างก็อ่านหนังสือ ว่างก็ทบทวนวิชาการ พ่อแม่เค้าโทรเยี่ยมเอา ชีวิตโคตรดี ถ้าไม่พูดเรื่องงาน ไม่ต้องมีภาระผูกพันดูแลคนอื่น กักเป็นเดือนก็เอาค่ะ
การที่อยู่กับตัวเอง ทำให้รู้อะไรกับตัวเองมากขึ้น อย่างน้อยๅก็รู้ว่า
จริงๆแล้ว ตัวเองหายใจแค่ 10 ครั้งต่อนาที
วันแรก หายใจ 20 ครั้ง/นาที
วันที่สอง หายใจ 16 ครั้ง/นาที เมื่อก่อนเราเคยหายใจเท่านี้เป็นปกติ
หลังจากเข้าวันที่สาม
เราหายใจแค่ 10-12 ครั้ง/นาที ตลอด
น้องหมอบอก พี่หายใจเร็วกว่าเต่านิดนึง เราก็ไม่รู้เต่าหายใจนาทีละกี่ครั้ง
สัญญาณ​ชีพที่ส่งให้พยาบาลทุกรอบ
ความดันเราไม่เคยมีสูงเลย เต็มที่ก็ร้อย
ชีพจรเต็น 60-70 80+ บ้างเป็นครั้งคราว
หลังเดินจงกรมแม้จะเดินต่อเนื่องเป็นชั่วโมงสองชั่วโมง หรือหลังอ่านหนังสือสองสามชม.ต่อๆกัน ชีพจรจะช้า เหลือ 60+
ความดันจะเกาะต่ำ หายใจช้า....
ใจมีผลกับกายมาก ใจพักไม่กระสับกระส่าย กายก็จะไม่กระสับกระส่าย.....
ใจไม่ป่วย แค่รับรู้การเจ็บป่วยก็จะไม่ซ้ำเติมร่างกาย
แต่พยาบาลกระสับกระส่ายแทนค่ะ.... 😆
หมอ หมอเป็นไงมั่ง หมอเหนื่อยมั้ย....
ไม่เหนื่อยค่าาาา.....​
ตอบเพราะรู้ว่าเค้าห่วง แต่ก็นึกขำ ไอ้เด็กพวกนี้ คนเดินไปเดินมาดีๆในห้องก็เห็นอยู่ สัญญาณ​ชีพตัวอื่นดีหมด O2sat 98-99 หายใจ 10 ครั้งเนี่ยนะคนเหนื่อย ไม่ใช่คนไข้ที่กำลังจะหยุดหายใจซะหน่อย ที่จะหายใจช้าง ช้าลง .....
หมอนอนเยอะ พยาบาลบ่นห่วงๆ .....
เออ อันนี้ไม่เถียง ก็เพลียร่าง ก็พักร่าง มันกระตุ้นการอักเสบ จนมีไข้ จนเม็ดเลือดฉันร่วง ไตร่วงได้ มันก็ต้องเพลียมั่งมั้ย เรื่องธรรมดา เพลียก็พัก ปิดสวิทซ์ หลับค่ะ ....
ความสุขกับการดูแลตัวเอง อยู่กับตัวเอง คือดีย์
9.โควิดเป็นโรคที่กระตุ้นให้มีการอักเสบได้เยอะมาก และทั่วร่าง และน้ำตาลในเลือดที่สูงคือปัจจัยที่ส่งผลกับการอักเสบ ทั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ไม่ดี
ตัวเองไม่ได้เป็นเบาหวานค่ะ ถ้าคนเป็นเบาหวานต้องคุมน้ำตาลให้ดี
ตัวเองนั้นน้ำตาลในเลือดคือปกติตลอด ....
แต่ก็ดูแลตัวเอง ไม่ให้น้ำตาลในเลือดสูงปรี๊ดบ่อยๆหรือสูงตลอดจนตับอ่อนต้องทำงานหนัก จากกันกินขนมหวานทั้งวัน กินจุบกินจิบ กินน้ำหวาน น้ำอัดลม ชาไข่มุก เครื่องดื่มพวกนี้ไม่เอาเข้าปากค่ะ แม้จะชอบ นึกอยากก็ต้องอดทนไม่กิน
กินชาน้ำขิงทั้งวันจนบอกตัวเองว่า สงสัยว่านี่ถ้าเพิ่งคลอดลูก เป็นแม่ลูกอ่อนน้ำนมน่าจะออกดี นอกจากชาน้ำขิงก็มีแค่ น้ำเปล่า นม
นมอัลมอนด์ อัลโวคาโด้ปั่นในมื้อเย็นบางวัน
ทำอยู่แบบนี้.....
4 วัน รู้สึกว่าดีขึ้นมาก เจ็บคอลดลง อาการแสบในช่องคอตอนดื่มน้ำกระชายมีนิดหน่อย
5 วัน รู้สึกว่าหายค่ะ ไม่เจ็บคอเลย ไอน้อยลงมาก เสมหะน้อยลงเยอะ ไอเป็นเลือดแค่วันเดียวก็ไม่มีอีก วันที่ 5 เสมหะ มีสีเขียวจางๆปนออกมาไม่มาก
เราไม่ได้ใช้สเตียรอยด์เลย.... รอดมาอย่างไม่น่าเชื่อ .... หมอทุกคนพร้อมจ่ายให้มากเมื่อถึงเวลา.... ในขณะที่เราพยายามมากที่จะไม่ให้มันถึงจุดที่ต้องใช้สเตียรอยด์
เราทำในบริบทที่เราทำได้เพื่อดูแลตัวเองในช่วงที่เรายังมีโอกาสและมีเวลาที่จะทำและเป็นช่วงที่ดีที่สุดคือยิ่งตัดสินใจทำเร็วยิ่งดี
แต่ก็ต้องอยู่พักเพื่อติดตามดูฟิล์มและค่าเม็ดเลือด ค่าไต ก่อนกลับ ทุกอย่างดีขึ้น....
บางอย่างทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องรออย่างมีคุณภาพตามสภาพ เพราะพอทำงานก็อดนอนจนได้ 😆
เดิมไม่คิดว่าจะเล่าเรื่องนี้ในพื้นที่สาธารณะ
แต่เพราะเห็นญาติของคุณหมอที่ทำงานด้วยกันป่วยไล่ๆกัน เห็นพยาบาลสองคนที่ป่วยด้วยกัน เขาเป็นก่อน สุขภาพก็ดีกว่า บางคนไม่มีโรคประจำตัว และควรหายก่อนด้วยสภาพที่แข็งแรงดีกว่าเรา กลายเป็นว่า สภาพน้องสองคน แม้จะผ่านไปร่วมสองสัปดาห์ยังไม่กลับมาเป็นปกติ อ่อนเพลีย เหนื่อย ไอ....
และญาติของคุณหมออีกท่านอาการไอ เสมหะ หลอดลมไวก็ยังลากยาว....
ในขณะที่ตัวเองดีดมาก อดนอน ดูคนไข้ เหมือนคนไม่ได้ป่วย....
สุดท้ายก็บอกให้พวกเขาไปทำแบบเราเพื่อช่วยระบายเสมหะออก ร่วมกับการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบัน
หมอ.... หมอเหมือนหยุดไปเป็นเดือนเลย คนไข้ถามหาหมอจนไม่รู้จะว่ายังไง พอเราไม่ตอบอะไรมากบอกแค่ไม่อยู่
บางคนก็วนมาถามแล้วถามอีกว่าหมอไปไหน จนพยาบาลได้แอบกระซิบอกบอกว่าหมอติดโควิด เขาหัวเราะแล้วถึงเลิกถาม
หยุดสิบวันเอง พยาบาลบอกเหมือนหยุดเป็นเดือน.... เก้าวันครึ่งด้วยซ้ำเพราะวันที่สิบ ออกจากสภาพคนไข้มาไม่กี่ชม. วันนั้นก็เล่นบทหมอต่อเลย
และหลังจากที่ได้ป่วยเอง การรักษาคนไข้
โควิดของตัวเองก็เปลี่ยนไป นอกจากสั่งยาตามมาตรฐานการรักษาทั่วไป แนวทางการปฏิบัติตัวที่มีประโยชน์กับตัวเอง ก็ถูกถ่ายทอดสู่คนไข้ทุกคนที่สามารถจะบอกได้...
เด็กเล็กไม่ต้องยุ่งเขาเยอะค่ะ ไม่ได้แปลว่าต้องทำแบบนี้กับทุกคน ทุกกรณี แต่ถ้าเด็กโต เด็กวัยรุ่นถ้าเขามีอาการแล้วต้องดูแลตัวเองที่บ้าน การอบสมันไพรที่หาได้ง่ายๆตามตลาดบ้านเรานิดหน่อย แม่ทำให้ได้ การงดน้ำหวาน ทานอาหารมีประโยชน์เป็นเวลา การพักผ่อนที่
เหมาะสม ไม่ได้มีข้อเสียอะไรกับชีวิต
โชคดี มีความสุข รักษ์สุขภาพกันทุกคนนะคะ 😄😇
โควิดเขาไม่ไปไหนหรอกค่ะ
ปรับตัวอยู่ด้วยกันไป เพื่อนใหม่ของเรา....
ยินดีที่ได้รู้จักเธอนะโควิด.....​😄😊😍
แม้จะรอดมาได้ทุกทุกซีซั่น
ดูคนไข้ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ไม่เคยติดเลย
สุดท้ายตายน้ำตื้นติดกับพยาบาลตอนราวน์.....
คลุกคลีกันนาน 😅
โชคดีที่เป็นตอนหลังได้วัคซีนมาแล้วสี่เข็ม ทำให้พอมีภูมิอยู่บ้าง เป็นเหตุผลหนึ่งที่ช่วยผ่อนหนักเป็นเบา
ได้ mRNA 2 เข็ม แม้จะไปต่อด้วย mRNA เข็มที่สามไม่ได้ เพราะผลข้างเคียงจากวัคซีนที่มีต่อโรคประจำตัวตอนเข็มที่สองที่ตอนนั้นตัวเองก็ต้องลุ้นว่า ร่างจะพังมั้ย แค่ไหน...
เข็มที่สามคือ ไม่คิดจะเสี่ยง ระวังตัวเอา บอกตัวเองอย่างนั้น รอวัคซีนใหม่กลุ่มอื่นเข้ามา...
โชคดีที่เป็นตอนการระบาดใหญ่สงบ ไม่ได้อยู่ในช่วงระบาดรุนแรงเหมือนที่ผ่านมา
และเป็นช่วงที่ยามีให้เลือกใช้หลายตัวตามความเหมาะสม เพราะคนป่วยไม่ได้มากจนล้นระบบ โอกาสเข้าถึงการรักษาพยาบาล รวมทั้งยาก็ง่ายกว่าตอนคนป่วยมากกว่านี้มากๆ
ทรัพยากรในการรักษามีให้ใช้เหลือๆ ไม่ต้องแย่งกัน ไม่ต้องเอาอะไรมาจากใครเพื่อมาให้เรา ทุกอย่างเราใช้สอยตามจำเป็นด้วยสิทธิ์ของเราแบบสบายใจ
ถือซะว่าได้วัคซีนอีกเข็ม ดีค่ะ 😊
โฆษณา