18 พ.ย. 2022 เวลา 10:48 • ท่องเที่ยว
เขื่อนวชิราลงกรณ (เขื่อนเขาแหลม) .. หนีร้อนไปนอนเขื่อน ณ กาญจนบุรี
กาญจนบุรีกับฉันไม่ใช่คนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน …
ฉันเคยมาเที่ยวเมืองกาญจน์หลายครั้ง บางช่วงเวลาแม้จะไม่มีก๊วนเที่ยว แต่หากไม่มีโปรแกรมไปไหนก็มักจะนั่งรถไฟท่องเที่ยวไปดูปราสาทหิน น้ำตก เขื่อน และเส้นทางสายประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจของสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่กาญจนบุรีอยู่บ่อยๆ
เสน่ห์ของกาญจนบุรี ที่นักเดินทางชอบก็คือ สภาพพื้นขุนเขาอันสลับซับซ้อน มีสันเขาด้านทิศตะวันตกกั้นเขตแดนไทย-พม่า
เขื่อนวชิราลงกรณ เป็นเขื่อนหินถมแห่งแรกของประเทศไทย เททับหน้าด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก
เขื่อนสูงจากฐาน 92 เมตร สันเขื่อนกว้าง 10 เมตร ยาว 1,019 เมตร ... มีความจุ 8,860 ล้านลูกบาศก์เมตร ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเฉลี่ยปีละ 5,369 ล้านลูกบาศก์เมตร
บริเวณปล่อยน้ำได้ติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้า 3 เครื่อง ขนาดกำลังผลิต 100,000 กิโลวัตต์ รวมกำลังผลิต 300,000 กิโลวัตต์ ให้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยปีละ 760 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง
เขื่อนวชิราลงกรณเป็นเขื่อนเอนกประสงค์โดยมีวัตถุประสงค์ด้านผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นหลัก สร้างปิดกั้นแม่น้ำแควน้อยบริเวณตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี อยู่ห่างจากตัวอำเภอไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 6 กิโลเมตร
ตัวอ่างเก็บน้ำอยู่ในท้องที่อำเภอท้องผาภูมิ และอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี มีพื้นที่รับน้ำฝน 3,720 ตารางกิโลเมตร และสามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้เฉลี่ยปีละประมาณ 760 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมง
เริ่มก่อสร้างในเดือนมีนาคม 2522 เสร็จในปี 2527 ... เดิมมีชื่อว่า เขื่อนเขาแหลม หลังสร้างเสร็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ฯ ทรงประกอบพิธีเปิดเขื่อนวชิราลงกรณ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม 2529 และพระราชทานชื่อใหม่ว่า "เขื่อนวชิราลงกรณ"
ก่อนหน้าที่จะมีการสร้างเขื่อน น้ำในฤดูฝน ทั้งในลำน้ำแควน้อย และแควใหญ่จะมีปริมาณมาก เมื่อไหลมารวมกันจะทำให้เกิดน้ำท่วม ลุ่มแม่น้ำแม่กลองเป็นประจำ หลังจากได้ก่อสร้างเขื่อนศรีนครินทร์ และเขื่อนวชิราลงกรณแล้วเสร็จ อ่างเก็บน้ำของเขื่อนทั้งสองจะช่วยเก็บกักไว้ เป็นการบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ดังกล่าวอย่างถาวร …
รวมถึง ทำให้มีแหล่งน้ำถาวรเพิ่มขึ้นอีกแห่งหนึ่ง เพื่อช่วยเสริมระบบชลประทาน ในพื้นที่ของโครงการแม่กลองใหญ่ โดยเฉพาะทำการเพาะปลูกในฤดูแล้ง จะได้ผลผลิตการเกษตรเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนเหมาะสำหรับเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาน้ำจืดได้เป็นอย่างดี ช่วยเพิ่มพูนรายได้ให้แก่ประชาชนอีกทางหนึ่งด้วย
บนสันเขาด้านที่หันลงมาที่บริเวณเขื่อน มีพระพุทธรูปนาคปรกตั้งอยู่ … เหมือนกับจะช่วยสอดส่อง ปกป้อง คุ้มครองทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสรรพชีวิตที่นี่ … ที่พึ่งทางด้านจิตใจของชาวเขื่อน
เมื่อมองออกไปยังสถานที่รอบๆ ทำให้คิดถึงหนังสือซีรี่ย์ยาว ที่เล่าถึงเรื่องราวต่างๆของชาวเขื่อนที่เข้าไปโลดแล่นอยู่ในหนังสือชุดชาวเขื่อน …
ในหนังสือชุดนั้นผู้เขียนได้ประมวลชีวิตประจำวันของคนที่ทำงานกับเขื่อนไว้เกือบทุกแง่มุม ด้วยภาษาและลีลาการเล่าผ่านตัวอักษรงดงาม เต็มไปด้วยสีสันและอารมณ์ขัน ทำให้น่าติดตาม สามารถสร้างจินตนาการและอารมณ์ร่วมได้ไม่ยาก … หนังสืออีกชุดหนึ่งที่ฉันเคยติดงอมแงมในอดีต
แม้จะเคยไปเที่ยวหลายครั้งแล้ว แต่เขื่อนวชิราลงกรณ ก็ยังเปี่ยมเสน่ห์ให้เรากลับไปเยือนได้อีกหลายๆครั้ง… ด้วยภูมิประเทศเป็นเนินเขาสูงๆ ต่ำๆ ล้อมรอบด้วยเทือกเขาที่เห็นอยู่ไกลๆในสายตา ทำให้อากาศที่นี่น่ารื่นรมย์ ไม่ร้อนจนเกินไป
บริเวณที่ทำการ อาคารฝึกอบรม สัมมนา สนามกอล์ฟ เรือนพัก และเรือนรับรองของเขื่อนฯ ตั้งอยู่รวมกันในบริเวณที่กว้างขวางมาก …
ด้านหลังสุด เป็นบริเวณป่าโปร่งที่เจ้าหน้าที่ของเขื่อนเล่าให้ฟังว่าเป็นที่อาศัยของสัตว์จำพวกนกมากมาย เนื่องจากไม่ถูกรบกวนด้วยมนุษย์ … ในบริเวณบ้านพัก สโมสร และบริเวณทั่วไปก็สามารถเห็นนกหลากชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนกที่เห็นได้ทั่วไป เช่น นกพิราบ นกเอี้ยง นกนางแอ่น และอีกหลายชนิด ที่ชวนกันมาร่อนถลาบินโฉบไปโฉบมา อวดโฉม ให้เราได้ชื่นชมกันตลอดเวลา
ฉันชอบการจัดตกแต่งภูมิทัศน์ของที่นี่ และผู้คนที่นี่ ดูเหมือนจะให้ความสำคัญของการใช้จักรยานค่อนข้างมากค่ะ … เราจะมองเห็นผู้คนขี่จักรยานไปนั่นมานี่ เป็นพาหนะหลักอย่างหนึ่ง …
การปั่นจักรยานช้าๆทำให้เราได้ออกกำลัง และได้ชื่นชมกับสิ่งสวยงามรอบตัวที่ราคาถูกแสนถูก
การไฟฟ้าฯในปัจจุบัน ดูเหมือนจะมีนโยบายที่สำคัญอย่างหนึ่งให้เขื่อนภายใต้การดูแลทุกแห่ง ได้มีการจัดตกแต่งสวนในเขื่อนทุกแห่งให้สวยงาม เพื่อภาพพจน์ที่ดี ในการเป็นสถานที่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
… พร้อมๆกับการส่งเสริมให้คนทั่วไป ไปเที่ยวชมบริเวณเขื่อนด้วย
เขื่อนวชิราลงกรณ … เป็นเขื่อนที่มีการจัดตกแต่งบริเวณที่ทำการ อาคารสถานที่สำนักงาน สโมสร และพื้นที่ที่กว้างขวางออกมาได้สวยมาก
พื้นที่ด้านหน้าของสโมสร และร้านอาหาร … มีสวนสวยๆให้ผู้คนที่มาเยือนได้ไปโพสท่าเก๋ๆเก็บภาพกลับไปอวดเพื่อนๆในโลกโซเชี่ยล
สะพานแก้ว …
ตั้งอยู่ข้างๆสโมสร มีความสูงจากระดับพื้นดินด้านล่างหลายสิบเมตรเหมือนกัน
เวลาเดินก็ออกอาการเสียวๆเล็กน้อย ความยาวของสะพานไม่มากนัก โดยมีจุดเด่นอยู่ที่เราสามารถมองเห็นพื้นที่ด้านตรงข้ามที่เป็นภูเขาสีครามอยู่ไกลๆ และด้านล่างเป็นพื้นที่ราบในหุบเขาดูเขียวขจี
เวลาพลบค่ำ แสงจากดวงไฟไม่มากเกินไป เมื่อสะท้อนวิบๆวับๆ ทำให้วิวและบรรยากาศชวนฝันไม่เบาเลยค่ะ
สโมสรของการไฟฟ้าฯ มีร้านอาหารเรือนเขาแหลม และร้านกาแฟ ไว้บริการอาหารตามสั่งไว้บริการตลอดวัน .. มีเมนูให้เลือกหลายอย่างที่ล้วนน่ากินมาก
ที่ได้รับการแนะนำก็เป้นจำพวกปลาที่ได้จากเขื่อนมาสดๆ น้ำพริกรสชาติจี๊ดจ๊าด ตุทุกเมนูต้องยกนิ้วให้ในเรื่องของความกลมกล่อมของรสชาติ ถูกปากมากๆ
บริเวณที่ตั้งของอาคารสำนักงาน และสถานที่ต่างๆของการไฟฟ้าถูกโอบล้อมด้วยขุนเขาน้อยใหญ่ ทำให้มีหมอกหนา หรือจางๆทุกวัน ดูโรแมนติก … ตอนเช้าหากเดินออกมาสูดอากาศที่ปราศจากฝุ่นผง บรรยากาศดีมากๆ
บรรยากาศของที่นี่ดูสบายๆ น่ารื่นรมย์มาก … เช้าๆท่ามกลางสายลมอ่อนๆที่นำความเย็นมากระทบผิวกายให้สดชื่น ยังมีพระสงฆ์เดินเข้ามารับบิณฑบาตจากพุทธศาสนิกชนทุกวัน ….
ฉันคิดเอาเองว่า คงมีแนวความคิดจะให้เป็นเมืองที่น่าอยู่สำหรับทั้งพนักงาน เจ้าหน้าที่ และยังเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเข้ามาเห็นอาณาจักรของที่นี่ และเขื่อนขนาดใหญ่ในอีกด้านหนึ่ง
หลายครั้งที่เราไปเยือน .. เรามักจะถือโอกาสนั่งรถขึ้นไปที่สันเขื่อน เพื่อชมพระอาทิตย์ดวงกลมโตลอยเหมือนไข่แดงอยู่สูงๆ ค่อยๆลอยตัวสูงขึ้นจากซอกหลืบของภูเขาสูง แสงสีแดง ส้ม เหลืองทอง ดูระยิบระยับเป็นเชิงชั้น คละกันไปกับแสงเรื่องของชั้นบรรยากาศสีฟ้าเทา
ครั้งล่าสุดที่ผ่านมา .. หมอกของช่วงปลายฝนต้นหนาวนั้นนหนามาก จนทำให้มองไม่เห็นพระอาทิตย์
แนวเขาและยอดเขาช้างเผือกจุดสูงสุดของที่นี่ที่สูง 1,249 เมตรสามารถมองเห็นได้อย่างเด่นชัด ซึ่งทั้งเนินกูดดอยและเนินช้างเผือกต่างก็เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นชั้นดีที่สามารถมองเห็นดวงตะวันแรกแย้มยามเช้าได้อย่างสวยงามน่ายล
เราลงมาจากสันเขื่อน .. แวะชม ศาลาชมวิว และสวนสวยๆ ด้านล่าง
พื้นที่บริเวณนี้ ตั้งอยู่ทางซ้ายมือก่อนถึงโรงไฟฟ้าเขื่อนวชิราลงกรณ
ณ จุดนี้เราสามารถที่จะถ่ายรูปโดยเห็นชื่อของเขื่อนได้ รวมถึงอาจจะนั่งพักรับอากาศสดชื่น ลมเย็นๆ ของเขื่อนวชิราลงกรณ
ฉันชอบการจัดภูมิทัศน์ของที่นี่มากค่ะ ด้วยมีสนามหญ้าเขียวๆอยู่แทบทุกตารางนิ้ว ประดับประดาด้วยไม้ยืนต้นนานาชนิดที่ลำต้นสูงชะลูดขึ้นไปในอากาศ
บางต้นให้ดอกสีสันสวยงาม ดอกไม้หลายชนิดฉันไม่เห็นที่ไหนมาก่อน ดอกไม้หลายชนิด เช่น กัลปพฤกษ์ กาฬพฤกษ์ กระโดน อินทนิล ฯลฯ
ด้านหน้ามีพลับพลาที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนิน ทรงประกอบรัฐพิธีเปิดเขื่อนวชิราลงกรณ
ฉันชอบต้นกัลปพฤกษ์ที่ปลูกเรียงรายตามแนวโค้งของถนนมาก ต้นดอกกัลปพฤกษ์ที่ออกดอกบานสะพรั่ง โดยมีภาพของภูเขาสูงที่เราเพิ่งจะจากมาเป็นฉากหลัง เป็นภาพแสนสวยในสายตา และดูอ่อนโยน อ่อนน้อมอยู่ในที
.. ทิ้งดอกและกลีบดอกให้พร่างพรูลงมาปกคลุมพื้นดินเหมือนพรมดอกไม้ จนไม่กล้าที่จะไปก้าวเท้าไปเหยียบให้ดอกชอกช้ำใต้อุ้งเท้า
หากอยากจะมาเที่ยวให้เจอกัลปพฤกษ์ออกดอกสะพรั่งสวยงาม แนะนำให้มาเที่ยวในช่วงต้นเดือนมีนาคมนะคะ
สถานที่แนะนำเมื่อมาเยือนเขื่อนวชิราลงกรณอีกแห่งหนึ่ง คือ สวนเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษาบรมราชินี ตั้งอยู่ทางซ้ายมือทางเข้าเขื่อนวชิราลงกรณ
ด้านหน้าทางเข้า ไปชมสวน
ซุ้มตกอต่บได้น่ารักมาก
ลายเสื่อกระจูดและลายผ้าตีนจก ซึ่งเป็นลายที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ทรงสนพระราชหฤทัย .. ได้รับการออกแบบให้เป็นสวนสวย มองไปเหมือนกับเขาวงกตเล็กๆ
ศาลากลางสวน สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้คนได้นั่งพักผ่อน และชื่นชมสวนสวยอีกด้วย
การเดินทาง …. เขื่อนวชิราลงกรณ อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 278 กิโลเมตร การเดินทางโดยรถยนต์ ใช้เส้นทางถนนสายเพชรเกษมหรือสายพุทธมณฑล เข้าสู่จังหวัด กาญจนบุรี แล้วเดินทางต่อไปตามทางหลวงหมายเลข 323 มุ่งสู่อำเภอทองผาภูมิ เป็นระยะทาง 130 กิโลเมตร ก็จะถึงอำเภอทองผาภูมิ จากทองผาภูมิไปยังเขื่อนอีกประมาณ 20 กิโลเมตร มีป้ายบอกชัดเจน
โฆษณา