18 พ.ย. 2022 เวลา 17:02 • ปรัชญา
รวบตึง ทำไมเวรกรรมข้ามชาติและการชดใช้กรรมเก่าถึงไม่มีจริง?
นิยามของการเกิดในแต่ละชาติคือ"กระบวนการวิวัฒน์จิตวิญญาณ"
เหมือนกับเกมส์ที่เมื่อเราเล่นจบในแต่ละครั้ง เราจะได้เรียนรู้มากขึ้นและเก่งขึ้นไปเรื่อยๆ
เกมส์ยิ่งเล่นมากยิ่งมีความผิดพลาดน้อยลง ถูกมั้ย
1
การมาเกิดในแต่ละครั้งก็เช่นกัน
จุดประสงค์ไม่ใช่เพื่อมาชดใช้ในความผิดพลาดจากชาติที่แล้ว
แต่เพื่อการพัฒนาศักยภาพทางจิตปัญญาต่อจากชาติที่แล้ว และสร้างสรรค์ชีวิตขึ้นมาใหม่เพื่อให้ได้เรียนรู้มากกว่าเดิมผ่านความท้าทายต่างๆ
ยกตัวอย่าง
เวลาที่เราเลื่อนระดับการศึกษาขึ้นชั้นเรียนใหม่
เรายังต้องกลับมาแก้ข้อสอบของชั้นเรียนเก่าอยู่หรือเปล่า?
ไม่ต้องใช่ไหม เพราะมันไม่จำเป็นเลย ในเมื่อตอนนี้เรารู้แล้วว่าคำตอบใดคือถูก
ทักษะที่เริ่มต้นจากชั้นเรียนเก่าจะถูกนำมาใช้สำหรับการพบคำตอบใหม่ๆ
การมาเกิดในแต่ละครั้งก็เช่นกัน
นี่คือเหตุผลว่าทำไมการลงโทษข้ามชาติถึงไม่มีจริง
แล้วทำไมเราจึงเรียกการเวียนว่ายตายเกิดว่าเป็นกระบวนการวิวัฒน์?
ก็เพราะมันเป็นเรื่องของการเรียนรู้บนโลกใบนี้
ในบริบทเดียวกับโรงเรียนสถานศึกษาที่ไม่ได้ถูกสร้างไว้เพื่อคอยลงโทษผู้กระทำผิดกฏหมาย
มันไม่มีความสมเหตุผลใดๆที่เราจะควรถูกกรรมหรือถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ในสิ่งที่ตอนนี้เราไม่รู้ เพราะลืมไปหมดแล้วว่าได้เคยทำมันลงไป
(จะมีเหตุผลอันสมควรอะไรกับการต้องถูกลงโทษจากความผิดของชาติอดีต ในเมื่อเราตั้งใจที่จะลืมเหตุการณ์นั้นไปเสียจนหมดก่อนที่จะจุติมาเกิด)
แล้วคำตอบของเรื่องญาณระลึกกรรมของชาติที่แล้วได้ล่ะ?
ไม่มีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาดมาก่อน!
ถ้าทุกอย่างเราทำถูกหมด แล้วเราจะได้เรียนรู้อะไร!?
แล้วถ้าสวรรค์ไม่ต้องการให้เราทำผิด ทำไมถึงสร้างโอกาสนั้นให้ชีวิตเลือกได้ที่จะฝ่าฝืน!?
ไม่ง่ายกว่าหรือถ้าทุกอย่างบนโลกนี้จะถูกจักรวาลจัดระเบียบบังคับไว้ให้เราไม่สามารถที่จะเลือกทำผิดได้เลย
ตอบ : สิ่งที่ตาในเห็นก็ดี หรือนิมิตฝันก็ดี มันเกิดจากพลังการโฟกัสของความหวาดวิตกกังวลสงสัย
อันเป็นผลสืบเนื่องจากความเชื่อที่มีอยู่ก่อนหน้าว่าเราถูกส่งมาเกิดเพื่อชดใช้บาปกรรมเก่า
และพลังแห่งการสร้างของจิตใต้สำนึกเป็นผู้เลือกภาพของมันออกมาจากหนึ่งในจำนวนนับพันๆชาติที่ได้เคยเป็นมนุษย์
เมื่อเชื่อในบาป ก็จะได้เห็นบาป
พอๆกันกับที่คนของแต่ละศาสนาจะได้เห็นสวรรค์นรกที่มีหน้าตาไม่เหมือนกัน
ย้ำอีกครั้ง.. ควรที่จะตระหนักไว้อย่างยิ่งว่าสาเหตุที่เราเห็นภาพของชาติก่อนๆในนิมิตฝันหรือในญาณ ส่วนใหญ่มาจากความคิดที่ฝังไว้ในจิตใต้สำนึก
นั่นก็เพื่อบอกถึงปมบางอย่างภายในใจให้เราได้นำมาตรึกตรองพินิจแก้ไข
โดยใช้มันเป็นแรงขับเคลื่อนในการเป็นคนที่ดีขึ้นไปอีกได้ หากเรายังต้องการเชื่อว่ามันกำลังส่งผลกับชีวิต ณ ปัจจุบัน
แต่ไม่ถูกเลย! ที่จะยังรู้สึกผิดกับสิ่งที่เราไม่มีทางรู้ได้จริงๆว่ามันได้เคยเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า
และไม่ควรอย่างที่สุดในการตัดสินผู้อื่นที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้นว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวร
ความรู้สึกผิดส่งผลร้ายกับจิตใจและร่างกายพอๆกับความวิตกกังวลและความกลัว
และการตัดสินคือความคิดลบที่ขาดปัญญา
1
มันเป็นบ่อเกิดของอคติซึ่งเป็นอุปสรรคสำหรับการเติบโตขึ้นของจิตวิญญาณ
แล้วพึงอย่าลืมว่ากฎแรงดึงดูดทำงานอยู่เสมอ!
มันพร้อมที่จะนำประสบการณ์ตามที่เราคิดและรู้สึกใดๆก็ตามมามอบให้กับชีวิตเรา
เพราะการคิดถึงสิ่งใดคือการใส่พลังงานให้กับสิ่งนั้น
ชีวิตที่เปี่ยมสุขเกิดจากการมีทัศนคติที่เป็นบวกอยู่เสมอ ใช่หรือไม่?
เวลานี้โลกกำลังบอกความจริงผ่านทุกช่องทางว่ามนุษย์เลือกได้และมีทางเลือกอยู่เสมอ
เราอยากจะให้ชีวิตนั้นเป็นไปในทิศทางใด และจะรังสรรค์มันขึ้นมาด้วยวิธีไหน
1
ก็เริ่มต้นจากสิ่งที่เราเชื่ออยู่ตอนนี้นี่แหละ
2
ความเชื่อที่ดีอย่างสมบูรณ์ หรือความเชื่อที่เป็นอุปสรรคกับการก้าวไปข้างหน้า?
เวลาที่เราจะหาขอบเขตความจริงของสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์รู้ เช่น อดีตชาติ อนาคตชาติ ชีวิตหลังความตาย นรก สวรรค์
ให้เทียบมันกับความรู้สึกของใจเราในตอนนี้ ไม่ใช่จากความคิด!
มองไปยังคนรัก พ่อแม่ ลูกหลานเด็กเล็กๆ
มองเข้าไปในแววตาของทารก
แล้วถามหัวใจตนเองว่า เรารู้สึกว่าพวกเขาคือผลแห่งบาปจากชาติที่แล้วมั้ย
หรือเป็นเหล่าฑูตสวรรค์ที่มาช่วยสอนบางอย่างให้แก่เรา
ใช่ บางครั้งพวกเขาก็ทำสิ่งที่แย่ๆ เราก็ด้วย
เราอาจคิด "สวรรค์จะลงโทษอย่างเหมาะสม"
และรวมทั้งจะลงโทษเด็กเล็กๆที่ไร้เดียงสาด้วยใช่ไหม?
เด็กไร้เดียงสาเพราะพวกเขายังไม่รู้! พวกเขาจะผิดไหม?
แล้วตอนนี้ล่ะพวกเรารู้อะไร!?
พวกเราต่างจากเด็กไร้เดียงสาแค่ตรงที่เราทำสิ่งผิดได้ร้ายแรงกว่าเท่านั้นแหละ
แต่กับสัจจะจริงแท้ของชีวิตพวกเราก็คือผู้ที่ยังไม่รู้อะไรเลยไม่ต่างจากเด็กๆ
ถ้าสวรรค์อันเป็นที่สถิตย์แห่งเหล่าจิตวิญญาณอันสูงส่ง
แต่ก็จะลงโทษมนุษย์บนโลกด้วยการนำผลบาปมาใส่ไว้แม้กระทั่งในตัวของทารกและเด็กๆ
เช่นนั้นสวรรค์คงไม่ใช่ที่ที่เราควรจะกลับไปอีกเลย
แต่มันยังพอแก้ความเข้าใจผิดๆนี้ได้อยู่
มีคำจำกัดความสั้นๆที่เรียกคุณลักษณะของดวงวิญญาณมนุษย์ไว้ว่า
เป็นจิตประภัสสร จิตพุทธะ จิตเดิมแท้ และพระเจ้า
ถ้าอย่างนั้นบาปและเวรกรรม มันจะใช้พลังของระบบระเบียบการจัดสรรค์อะไรที่จะสามารถสร้างให้แต่ละชาติของจิตพุทธะ,จิตประภัสสรของเราต้องเป็นไปตามอำนาจของมัน
เป็นไปตามอำนาจของบาปอย่างมากเกินไปกว่าการตั้งใจสร้างของดวงจิตวิญญาณแห่งพุทธะหรือพระเจ้าของเราเอง
มีบางสำนักถึงกับสอนอย่างหมดสิ้นซึ่งปัญญาเหตุผลว่า
ธรรมชาติของจิตเป็นสิ่งใฝ่ต่ำ
เมื่อแรก มันจะมาเกิดเป็นเปรตก่อนจะเป็นสัตว์ที่ต้องสะสมบุญจนกว่าจะได้เกิดเป็นคน
คำถาม ไหนว่าตายเป็นเปรตเพราะจิตละโมบ?
ยังไม่ทันได้เกิดเป็นคนที่ทำผิดศีลอะไรก็ถูกลงโทษเสียแล้ว...
แล้วคำว่าจิตพุทธะของท่านหายไปไหน?
แล้วสัตว์สะสมบุญจากทางไหนดี?
พวกเขานั่งฟังพระสวดมนต์?
แล้วยุคก่อนมีศาสนาใครสวดมนต์ให้พวกสัตว์ฟัง?
เสือสิงโตบำเพ็ญตบะไม่กินเนื้อหรือ?
ถามจริงว่านี่คือคำตอบว่าสัตว์สร้างบุญได้อย่างไร...??
พวกเราถูกปลูกฝังให้ยอมรับการมีจิตสำนึกของความกลัวและการประณามตนเอง
ประณามว่าเราคือผลของบาป
ประณามว่าชีวิตเป็นการชดใช้กรรมเก่า
ไม่เชื่อคำสอนฉันพวกเธอจะไม่พ้นนรก (ถ้านรกมันเคยมีจริงอะนะ)
ความกลัวที่จะต้องตอบโต้ฆ่ากันให้ตาย (ตายแล้วก็เอาไปฆ่าต่อในนรกไม่จบสิ้น)
ความกลัวที่สอนให้เลี้ยงลูกด้วยการเฆี่ยนตี (นั่นใช่ความรัก? : มันเป็นวิธีเดียวกันกับที่สร้างเรื่องนรกขึ้นมา)
และแก้ปัญหาชีวิตนานาด้วยความรุนแรง (แม้ไม่ใช่ด้วยการกระทำของฉัน แต่ก็จะเป็นผลของบาป)
นั่นแหละที่พวกเราถูกสอนให้เชื่อว่ามันถูก
ถูกไปยันผลของชีวิตในชาติถัดๆไป
ผลกรรมจะติดตามเราไปทุกภพชาติ เอาอะไรให้กรรมมันยึดเกาะและสร้างผลได้หรอ?
เกาะในจิต?
จิตเป็นความคิด อารมณ์ ความรู้สึก
"เมื่อเปลี่ยนความคิด ชีวิตจะเปลี่ยน" เคยได้ยินประโยคนี้บ่อยๆใช่ไหม
เราตอนนี้ยังคิดไม่เหมือนตอนวัยเด็ก วันพรุ่งก็จะคิดไม่เหมือนวันนี้ แล้วชีวิตของเราก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆใช่ไหม?
เปลี่ยนตามระดับการสร้างสรรค์ของพลังความคิด
แล้วถึงขนาดเปลี่ยนชาติใหม่ก็แล้ว ทำไมผลกรรมมันจะยังกลับมาส่งผลซ้ำเหมือนเดิมอยู่อีก...
บางที คำสอนประเภทนี้มันก็เป็นอะไรที่ล้าหลังเหลือเกิน
ธรรมะที่มนุษย์สอนๆกันมีเพียงสองแหล่งที่มาคือรักและกลัว
จะดีกว่าไหม ถ้าเราจะเลือกเชื่อแต่สิ่งที่ทำให้ชีวิตเปี่ยมด้วยพลังความเบิกบาน เสรีภาพ ความกล้าหาญ ความงดงาม การเยียวยา การอภัย การแบ่งปัน และการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันในปีติแห่งรัก
2
ปัญญาเป็นสิ่งที่มีอยู่ในจิตวิญญาณของทุกผู้คน
เราไม่ฟังจิตวิญญาณตนเองแต่ไปฟังความเชื่อของผู้อื่น
ชีวิตกว่าจะไปถึงสวรรค์ได้ก็เลยต้องเดินผ่านนรกก่อน
นั่นแหละสัจธรรมที่มนุษย์สั่งสอนกันมา
การเวียนว่ายตายเกิดนั้นเพื่อเก็บรวบรวมทุกประสบการณ์สำหรับการเป็นสิ่งที่งดงามที่สุดเท่าที่เราจิตวิญญาณสามารถจะเป็นได้
มันมิใช่หนทางแห่งความทุกข์ทรมานแสนสาหัสมิจบสิ้นทั้งโลกนี้และโลกหน้า
เสร็จจากร่ำเรียนก็กลับมาบ้าน มาพักในสวรรค์ มาสู่อ้อมกอดของผู้ให้กำเนิด
มาเต็มพลังสำหรับการเรียนรู้ของวันถัดไป ชาติต่อไป
นี่แหละสัจธรรมของจิตวิญญาณ
โฆษณา