22 พ.ย. 2022 เวลา 05:10 • หุ้น & เศรษฐกิจ
"BYD ม้ามืดธุรกิจ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) จากจีน อันดับ 3 ของโลก"
หากพูดถึง ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ หลายคนคงนึกถึง Tesla บริษัทยักษ์ใหญ่ทางฝั่งสหรัฐฯ เป็นอันดับแรก แต่ทราบหรือไม่ว่า ในประเทศจีนมีผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 10 บริษัท และปัจจุบันมีมูลค่าการตลาดของ EV สูงเป็นอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งบริษัทที่กำลังมาแรงมากที่สุดในตอนนี้ คือ ‘BYD’ ที่มียอดส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าแซงหน้า Tesla ในช่วงครึ่งปี 2022 ที่ผ่านมา หรืออาจเป็นไปได้ว่า ห่วงโซ่ของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้ากำลังจะเปลี่ยนแปลงไป
1
BYD ย่อมาจาก Build Your Dream ก่อตั้งเมื่อปี 1995 โดยหวัง ชวนฟู ซึ่งในตอนแรกบริษัททำธุรกิจผลิตแบตเตอรี่โทรศัพท์ และต่อมาก็ได้เซ็นสัญญาเป็นซัปพลายเออร์ผลิตแบตเตอรี่ให้กับ NOKIA เป็นเจ้าแรกในจีน ทำให้ BYD กลายเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่มือถืออันดับ 2 ของโลก และครอบครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% ในจีน ด้วยเวลาเพียงไม่กี่ปี
1
จากนั้นในปี 2002 ทางบริษัท BYD ได้เข้าซื้อบริษัทรถยนต์ Tsinchuan Automobile มาเป็นบริษัทลูก แล้วทำการเปลี่ยนชื่อเป็น “BYD Auto” ซึ่งในตอนแรกทางบริษัทยังผลิตและจำหน่ายรถยนต์น้ำมันอยู่ แต่ค่อย ๆ ต่อยอดธุรกิจและพัฒนามาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าในปี 2008 โดยบริษัทสามารถผลิตรถพลังงานไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) คันแรกของโลกได้สำเร็จ ที่ชื่อว่า “BYD Auto’s F3DM PHEV-60 Hatchback”
สอดคล้องกับที่รัฐบาลจีนออกนโยบายผลักดันรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้ BYD ได้รับความสนใจจากนักลงทุนค่อนข้างมาก และเข้าตาชาร์ลี มังเกอร์ จากนั้นจึงได้ชวนวอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนอันดับ 1 ของโลก เข้ามาร่วมซื้อหุ้นของบริษัทด้วย โดยคิดเป็น 10% ของหุ้นทั้งหมด แต่ปัจจุบันได้มีการขายออกจำนวนหนึ่งตามสภาวะของตลาด
วอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้รับผลตอบแทนจากหุ้น BYD ถึง 44 เด้ง หรือประมาณ 4,000 เท่า ภายในเวลาเพียง 14 ปี
BYD ถือเป็นหุ้นมหัศจรรย์ที่แต่ก่อนนั้น ไม่มีคนให้ความสนใจ เนื่องจากพึ่งมาเด่นในช่วงหลัง ๆ และภาพลักษณ์ของรถยนต์สัญชาติจีนสายตาคนตะวันตกถือว่าไม่ค่อยดีนัก แต่จุดเด่นของบริษัทหลัก ๆ มาจากความเชื่อมั่นในตัวผู้บริหารหรือ CEO หากย้อนกลับไปหลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า แท้จริงแล้วบัฟเฟตต์ไม่ได้ต้องการซื้อหุ้นเพียง 10% เท่านั้น แต่เขาต้องการซื้อหุ้นจำนวน 25% หรือ 1 ใน 4 ของบริษัท
ซึ่งทาง CEO ออกตัวว่า จะไม่ขายเด็ดขาด บ่งบอกถึง “การไม่ยอมขายบริษัทตนเอง” หากเปรียบเทียบกับ Start-Up บริษัทอื่น ๆ คงยอมขายหุ้นให้กับนักลงทุนระดับโลกไปแล้ว แสดงว่า ทาง CEO จะต้องมั่นใจในตัวบริษัทของตนเองมากว่า จะสามารถเติบโตในอนาคตได้อีกไกล และจำนวนการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าก็ได้พิสูจน์ด้วยตัวของมันเองแล้ว
- ในปี 2020 บริษัทส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 189,689 คัน
- ในปี 2021 บริษัทส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 603,782 คัน
- ในครึ่งแรกของปี 2022 บริษัทส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าจำนวน 641,350 คัน (แซงหน้า Tesla)
อีกทั้ง บริษัทยังมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน และตั้งปณิธานว่าจะเป็นบริษัทยานยนต์อันดับ 1 ของโลกให้ได้ ซึ่งในปัจจุบันมูลค่าทางการตลาดตามหลังแค่ Tesla และ Toyota เท่านั้น หากดูการตลาดในเชิงลึกจะพบว่า โครงสร้างบริษัทมีความคล้ายคลึงกับ Tesla ไม่ว่าจะเป็นการยืนยันว่าจะไม่มีการผลิตรถสันดาป พร้อมทั้งมีโมเดลรถยนต์ไฟฟ้าหลายประเภทรวมถึงรถสาธารณะ ซึ่ง Tesla ยังไม่มีแนวโน้มจะทำขึ้นในเร็ว ๆ นี้
1
สะท้อนถึงสัญญาณการเติบโตและโอกาสที่ดีในอนาคต เช่นเดียวกับรถบรรทุกไฟฟ้าที่มีการใช้งานมากในตะวันตก โดยเฉพาะรัฐแคลิฟอร์เนีย เนื่องจากมีสำนักงานและโรงงานตั้งอยู่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทางบริษัทยังไม่สามารถตีตลาดในสหรัฐฯ ได้ เนื่องจากมีเจ้าใหญ่อย่าง Tesla อยู่แล้ว รวมไปถึงราคาน้ำมันในสหรัฐฯ ยังค่อนข้างถูก จึงเปิดรับรถยนต์ไฟฟ้าน้อยกว่ายุโรปหรืออินเดีย และยังมีประเด็นเกี่ยวกับนโยบายกีดกันการค้าของรัฐบาลอีกด้วย แต่หาก BYD สามารถทลายกำแพงเหล่านี้ได้ Tesla คงต้องปฏิวัติแผนการตลาดครั้งใหญ่
1
นอกจากนี้ อีกด้านที่เป็นจุดเด่นสำคัญของ BYD คือ การเป็นเจ้าแห่งแบตเตอรี่ เนื่องจากเมื่อก่อนบริษัทเป็นอันดับ 1 ของธุรกิจการผลิตแบตเตอรี่ ทำให้สะสมประสบการณ์มานาน สะท้อนไปถึงความได้เปรียบสูงสำหรับการแข่งขันในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า โดยในปี 2020 ที่ผ่านมา บริษัทในผลิตแบตเตอรี่ Blade Battery ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องของความปลอดภัย โดยจะใช้ความร้อนต่ำและเก็บพลังงานได้สูง ที่สำคัญต้นทุนการผลิตต่ำกว่าแบตเตอรี่ในรถยนต์ไฟฟ้าเจ้าอื่น ๆ
1
สำหรับการตีตลาดในไทย ล่าสุด BYD ซื้อที่ดิน 600 ไร่ จาก WHA เพื่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย ที่น่าสนใจ คือ เป็นรถยนต์ไฟฟ้าพวงมาลัยขวา โดยจะเริ่มปีผลิตในปี 2567 จำนวน 150,000 คัน/ปี
1
อ่านเพิ่มเติมที่ : https://traderbobo.com/byd-ev-car-from-china-ranked-3rd-in-the-world/
โฆษณา