23 พ.ย. 2022 เวลา 02:22
ฎีกาที่ 2631/2564
การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกยื่นคำร้องเข้ามาในชั้นบังคับคดีว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 10413 เป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดได้เงินจำนวน 540,000 บาท ขอให้กันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวกึ่งหนึ่งจำนวน 270,000 บาท แก่ผู้ร้อง
เท่ากับเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสที่ผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ด้วยกึ่งหนึ่ง และนับได้ว่าเป็นสิทธิอื่นๆ ที่ผู้ร้องอาจขอให้บังคับเหนือทรัพย์สินนั้นได้ตามกฎหมาย ซึ่งการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้นย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงสิทธิของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 322 ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งตามกฎหมายมิได้กำหนดระยะเวลาไว้
เมื่อไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้จัดทำบัญชีและส่งคำบอกกล่าวให้โจทก์หรือเจ้าหนี้รายอื่นมาตรวจสอบและจ่ายเงิน การบังคับคดีจึงยังไม่เสร็จสิ้นลง ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอกันส่วนเข้ามาในชั้นบังคับคดีได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอกันส่วนพ้นกำหนดเวลา 15 วันนับแต่วันขายทอดตลาดนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่าผู้ร้องจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2535 ต่อมาวันที่ 11 ตุลาคม 2536 จำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 10413 จากจ่าอากาศเอกทวีลาภ โดยใส่ชื่อจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียว และจำเลยที่ 1 กับผู้ร้องจดทะเบียนหย่ากันอีกครั้งเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2548 จึงเป็นการได้ที่ดินดังกล่าวมาระหว่างจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกับผู้ร้องซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474 (1) บัญญัติว่า
สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน (1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส ข้อเท็จจริงจึงต้องรับฟังว่า ที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 และผู้ร้องจึงมีส่วนเท่ากันคนละกึ่งหนึ่ง เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวได้ 540,000 บาท ผู้ร้องจึงมีสิทธิกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดกึ่งหนึ่งจำนวน 270,000 บาท
ส่วนที่โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ภายหลังจำเลยที่ 1 จดทะเบียนหย่ากับผู้ร้อง จำเลยที่ 1 ชำระเงินไถ่ถอนจำนองแต่เพียงผู้เดียว หากผู้ร้องประสงค์จะขอกันส่วนจะต้องแบ่งสินสมรสและแบ่งชำระหนี้จำนองที่จำเลยที่ 1 ได้ชำระไปด้วยนั้น เป็นข้อโต้แย้งระหว่างจำเลยที่ 1 กับผู้ร้องในฐานะเจ้าของรวมซึ่งจำเลยที่ 1 จะต้องไปว่ากล่าวแก่ผู้ร้องต่างหาก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา