1 ธ.ค. 2022 เวลา 00:00 • ประวัติศาสตร์
พิมายดำ : การเปลี่ยนแปลงสู่สังคมยุคเหล็กในอนุทวีปอินเดีย
สู่การรับ ปรับ และส่งต่อ สืบทอดในท้องถิ่นอันห่างไกล (๒)
วลัยลักษณ์ ทรงศิริ 
มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์
เศษภาชนะดินเผาแบบพิมายดำ พบบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย / ภาพจาก Facebookอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย
🔸แอ่งโคราชในลุ่มมูนบน กลุ่มชุมชนบ้านโนนวัด บ้านปราสาท ทุ่งสัมฤทธิ์ บ้านตำแย เมืองพิมาย : ภาชนะแบบพิมายดำ
ชุมชนโบราณเหล่านี้พบการใช้ภาชนะรูปแบบพิมายดำอย่างชัดเจน ในชั้นดินที่เข้าสู่ยุคเหล็กภายหลังจากการตั้งถิ่นฐานมาเป็นระยะเวลานานแล้ว ระยะเวลาก่อนช่วงยุคเหล็ก นักวิชาการชาวตะวันตกถือเอาแม่แบบจากการกำหนดอายุจากภูมิภาคอื่นๆ มาใช้ หรือโดยกำหนดเป็น ยุคสำริด [Bronze Age] ที่ไม่พบการใช้โลหะที่ทำจากการถลุงแร่เหล็กมาใช้เป็นเครื่องมือ และยุคก่อนหน้านั้นอีกให้ชื่อว่า ยุคหินใหม่ [Neolithic] ที่ใช้การไม่พบโลหะเป็นเกณฑ์
และหลังจากยุคเหล็กไปแล้วจนถึงเมื่อมีการก่อสร้างปราสาทหินจากวัฒนธรรมขอมที่พิมายก็เรียกช่วงเวลานี้ว่า ก่อนสมัยเมืองพระนคร [Pre-Angkorian period] ซึ่งควรใช้กับการแบ่งยุคบ้านเมืองโดยรอบทะเลสาบเขมรมากกว่าการจัดแบ่งยุคเช่นนี้กับชุมชนในแถบลุ่มน้ำมูนตอนบน เพราะในช่วงหลัง ๑,๕๐๐ ปีมาแล้วนั้น พัฒนาการเกิดเมืองพิมายมีความซับซ้อนและต่อเนื่องอย่างเป็นปึกแผ่นมาก่อนการเกิดเมืองพระนครเมื่อ ๑,๐๐๐ ปีที่ผ่านมา
บ้านเมืองในยุคเหล็ก ที่มีการถลุงแร่เหล็กมาใช้เป็นเครื่องมือหรือการทำพื้นที่อยู่อาศัยในรูปแบบมีคูน้ำคันดินรูปกลมล้อมรอบ การเพาะปลูกที่อาจเพิ่มขึ้นตามจำนวนประชากร และการแรกเริ่มเข้าสู่ระยะที่มีการตั้งถิ่นฐานในระดับชุมชนเมืองเป็นศูนย์กลางโดยมีชุมชนรอบๆ เป็นบริวาร
แต่ก่อนหน้านั้น ช่วงเวลานี้คาบเกี่ยวกับการใช้ภาชนะดินเผาแบบท้องถิ่นที่มีอัตลักษณ์โดดเด่นเป็นของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นแบบปากแตรที่บ้านปราสาท แบบเนื้อดีที่บ้านตำแย แบบเขียนสีลวดลายเรขาคณิตที่งดงามแบบบ้านโนนวัด เมื่อมีการเริ่มใช้ภาชนะแบบพิมายดำ ก็พบว่ามีการใช้เครื่องมือเหล็กมาในระยะหนึ่งแล้ว และภาชนะที่เคยใช้มานั้นก็มีคุณภาพดีพอสมควร แม้จะใช้อุณหภูมิน้อยกว่า
เป็นที่แน่ชัดว่า ภาชนะดินเผาแบบพิมายดำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกนำเข้ามาจากแดนไกล โดยที่ยุคคลาสสิคของภาชนะแบบพิมายดำ ซึ่งเป็นภาชนะสีดำขัดมันเป็นหลักนั้นมีความคล้ายคลึงกับภาชนะที่พบในชุมชนรอบอ่าวเบงกอลซึ่งเป็นต้นทางที่ชัดเจน และทางคาบสมุทรภาคใต้แบบคอคอดกระ [Kra Isthmus] ซึ่งเป็นสถานีการค้าและการผลิตหลายแห่ง เช่น ที่เขาเสก ก่อนจะกลายมาเป็นภาชนะแบบใช้สอยในรูปทรงอื่นๆ ในภายหลังแต่ยังคงรูปแบบเทคนิคการผลิตที่คงเดิม
เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นสิ่งของสูงค่าเพื่ออุทิศให้กับผู้วายชนม์และอาจจะเคยถูกนำไปใช้สำหรับเป็นสิ่งของที่บ่งบอกสถานภาพผู้คนที่มีช่วงชั้นทางสังคม [Social Stratification]
การศึกษาภาชนะแบบพิมายดำตั้งแต่เริ่มต้น จัดแบ่งออกเป็นกลุ่มการศึกษาตามช่วงเวลาและความต่อเนื่อง ตลอดจนเมื่อกลายเป็นโครงการศึกษาขนาดใหญ่ เห็นว่าแบ่งได้ดังนี้
แหล่งโบราณคดีที่พบภาชนะแบบพิมายดำในแถบลุ่มน้ำมูนตอนบนและข้ามลงมาในพื้นที่ติดต่อของที่รายลุ่มภาคกลางบริเวณลุ่มน้ำป่าสัก
๑. การค้นพบและการทำงานต่อเนื่องของนักวิชาการชาวอเมริกันและการทบทวนแหล่งโบราณคดีของนักโบราณคดีไทย การศึกษาทางโบราณคดีในประเทศไทย เริ่มให้ความสนใจเศษภาชนะดินเผาแบบสีดำขัดมัน ซึ่งพบครั้งแรกในการขุดตรวจชั้นดินใต้ปราสาทประธานเมื่อมีการบูรณะปราสาทหินพิมายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๐๘ เจ้าหน้าที่ทางโบราณคดีไทยก็พบว่ามีเศษภาชนะสีดำจำนวนมาก
สันนิษฐานว่าบริเวณนั้นน่าจะเป็นบริเวณ ‘บ้านส่วย’ ซึ่งอยู่บริเวณมุมเมืองพิมายด้านตะวันออกเฉียงใต้ นักโบราณคดี โซลไฮลม์ [Solheim, Wilhelm G II, 1966, 1979, อ้างใน Welch & McNeil, 1989] ซึ่งทำงานแบบโบราณคดีกู้ภัย [Salvage Archaeology] ในช่วงปลายทศวรรษที่ ๑๙๖๐ แล้วนำเสนออีกครั้งราว ๑๐ ปีต่อมา ศึกษาและเรียกภาชนะแบบนี้ว่า ‘ภาชนะดินเผาแบบพิมายดำ’ [Phimai black] โดยน่าจะมีการขุดค้นทางโบราณคดีที่บ้านส่วยในปี พ.ศ. ๒๕๐๙
ต่อมาที่ ‘บ้านส่วย’มีการขุดค้นทบทวนอีกครั้งโดยนักโบราณคดีจากกรมศิลปากรเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๓–๒๕๔๔ พบภาชนะแบบพิมายดำจำนวนมาก รูปแบบภาชนะแบบพิมายดำที่พบคือ แบบทรงชามก้นกลมสีดำสนิท ด้านนอกผิวเรียบ ส่วนปากทำเป็นร่องหยัก ๓ ชั้น ผิวด้านในตกแต่งลายเส้นและขัดมัน แบบชามปากกว้างก้นตัดใบย่อมกว่า การพบว่ามีกองกันอยู่หลายกลุ่ม กลุ่มละหลายใบ
ทำให้ผู้ศึกษาคาดว่าน่าจะมีการผลิตขึ้นที่แหล่งโบราณคดีบ้านส่วยนี้เองโบราณวัตถุที่พบร่วมกันอื่นๆ นอกจากกระดูกสัตว์ต่างๆ ที่น่าจะนำมาใช้รับประทานเป็นอาหารและสัตว์เลี้ยง พบโบราณวัตถุพวก แวดินเผา เบี้ยดินเผา ตะคันดินเผา ลูกกระสุนดินเผา ชิ้นส่วนของพวยกาจากภาชนะที่เรียกว่า กุณฑี หูภาชนะ หินดุ แม่พิมพ์ดินเผา เพื่อทำห่วงหรือวงแหวน แต่อาจจะมีความหมายอื่นใดอีก แท่งดินเผา ส่วนของฝาภาชนะที่เป็นจุกหรือส่วนภาชนะที่เป็นตุ่มแหลม
วัตถุที่ทำจากดินเผาหลากหลายและไม่สามารถสันนิษฐานการใช้งานได้ กำไลดินเผา แหวน กำไลและกระพรวนสำริด ลูกปัดแก้วสีต่างๆ ลูกปัดหินคาร์นีเลียนพบเพียงชิ้นเดียว กำไลและลูกปัดเปลือกหอย ค่าอายุที่ได้คือ ๒,๐๓๐ +/- ๒๑๐ ปีมาแล้ว หรือเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๖-๘ (รัชนี ทศรัตน์ และอำพัน กิจงาม, ๒๕๔๗)
๒. การสำรวจและขุดค้นแหล่งโบราณคดีสำคัญที่บ้านปราสาท อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ในพื้นที่ซึ่งเรียกว่า ‘ลุ่มน้ำมูนตอนบน’ [Upper Mun Valley] การขุดค้นที่บ้านปราสาทโดยนักโบราณคดีไทยเริ่มศึกษาใน พ.ศ. ๒๕๒๖ เป็นชุมชนโบราณที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ
การฝังศพมีของอุทิศให้กับศพคือเครื่องประดับทำจากเปลือกหอย เครื่องประดับสำริด ลูกปัดหินกึ่งมีค่า ภาชนะซึ่งมีการพบการถลุงเหล็กในชั้นดินนี้ เครื่องปั้นดินเผาที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์คือภาชนะ คอแคบ ปากบานแบบปากแตร บางใบทรงสูงเหมือนคนโท เคลือบน้ำดินสีแดง ชั้นดินในระยะต่อมาคือชั้นดินที่พบภาชนะแบบสีดำขัดมันคือแบบพิมายดำ
ข้อมูลที่น่าสนใจ ใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการเปรียบเทียบรูปแบบภาชนะในกลุ่มลุ่มน้ำมูนตอนบนได้ดี คือการขุดค้นของนักโบราณคดีอเมริกัน เดวิด เวลช์ [David J. Welch] ในช่วง พ.ศ. ๒๕๒๒-๒๕๒๓ [Welck & McNeil, 1989] ทำงานศึกษาโดยการขุดค้นที่แหล่งโบราณคดีที่บ้านตำแยและโนนบ้านขาม ซึ่งข้อมูลส่วนใหญ่มาจากบ้านตำแยที่ตั้งอยู่ห่างไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองพิมายราว ๕ กิโลเมตร ทางเหนือของลำน้ำมูนราว ๒ กิโลเมตร การขุดค้นได้ค่าอายุอยู่ที่ ๓๖๐ BCE, ๓๙๐ BCE-๒๕ BCE, ๔๕ CE หรือในระหว่างประมาณ พุทธศตวรรษที่ ๒-พุทธศตวรรษที่ ๖
รูปแบบภาชนะแบ่งกลุ่มได้คือ แบบบ้านตำแย แบบพิมาย แบบประวัติศาสตร์ตอนต้น และแบบประวัติศาสตร์ไม่นานมานี้ เวลช์และคณะ ทำงานอย่างละเอียดในการวิเคราะห์ภาชนะดินเผา แยกแยะความหลากหลายในการใส่ไฟ วัตถุที่ใช้เป็นตัวประสานเนื้อดิน [Temper] ผิวภาชนะหลังเผาเสร็จ การตกแต่งลวดลาย ซึ่งภาชนะแบบบ้านตำแยใช้ทรายและเนื้อดินเผาแตกหักในการเป็นส่วนผสมประสานเนื้อดิน ได้ภาชนะเนื้อดีเนื้อบางเพราะใช้การเผาที่อุณหภูมิสูง
ส่วนที่สองเป็นภาชนะแบบพิมายคลาสสิค [Classic Phimai Black] ที่ใช้ ‘แกลบ’ เป็นตัวประสานเนื้อดิน การใช้อุณหภูมิไม่สูงเท่าชั้นดินบ้านตำแยที่อยู่ลึกกว่า มีการสลิปน้ำดินสีแดงและสีน้ำตาลแดง ภาชนะแบบจานชามปากกว้างและมีการขูดลวดลายด้านในภาชนะ มีการขัดมันจนเห็นเป็นริ้วลาย ซึ่งโซลไฮลม์รายงานจากการขุดค้นที่บ้านส่วยทั้งสองครั้ง [Solheim, 1965, 1979 อ้างใน Welch & McNeil, 1989]
ภาชนะแบบคลาสสิคพิมายดำนี้พบที่บ้านสัมฤทธิ์ และบ้านปราสาท ซึ่งเห็นชัดเจนว่าอยู่ในชั้นดินที่อยู่เหนือชั้นดินแบบปากแตร สันนิษฐานเพียงน่าจะมีการใช้งานที่เฉพาะเจาะจง แต่พัฒนาการของการเกิดขึ้นอย่างไรนั้นไม่ได้กล่าวถึง
แบบที่สามจากการขุดค้นที่บ้านตำแย พบภาชนะแบบพิมายดำที่มีรูปทรงภาชนะการใช้งานในครัวเรือนเรียกว่าภาชนะแบบพิมายดำตอนปลาย อายุที่โนนบ้านขามอยู่ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๕ เป็นภาชนะแบบมีสัน ปากกว้าง และแบบไหก้นกลม ผิวเรียบ ค่อนข้างหนา และการเคลือบสลิปบางชิ้นใช้สีแดงเหลือง ใช้แกลบข้าวเป็น Temper และมีการขัดเงา มีความแตกต่างในรูปทรงภาชนะแบบช่วงคลาสสิคพิมายดำอย่างชัดเจน
จากการทดลองหาอุณหภูมิจากการเผาไหม้ภาชนะแบบพิมายดำอยู่ที่ ๘๐๐-๑๒๐๐ °C เป็นการเผาภาชนะที่อุณหภูมิสูงกว่าภาชนะที่นำไปเปรียบเทียบยุคก่อนหน้าคือที่โนนนกทา ซึ่งอยู่ในลุ่มชีตอนบน [Meacham and Solheim, 1980] การขุดค้นของโซลไฮลม์ แม้ไม่พบร่องรอยของเตาเผาภาชนะแบบพิมายดำเพราะขุดค้นในพื้นที่เล็กมาก แต่คุณภาพของเนื้อภาชนะทำให้เขาตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะผลิตในเตาปิดมากกว่าการเผากลางแจ้ง ตามแบบการเผาภาชนะเนื้อดินแบบเปิดโล่งที่พบได้ทั่วไปในอีสานและลาวในยุคนั้นและในปัจจุบัน
นอกจากพบภาชนะแบบพิมายดำในแถบบ้านปราสาท ทุ่งสัมฤทธิ์ เมืองพิมายและโดยรอบเมืองพิมาย เช่น  ทุ่งผีโพน ทางด้านเหนือของเมืองพิมายที่ค่อนข้างไกลระยะทางราว กิโลเมตร ๓๖ กิโลเมตร เป็นแหล่งผลิตเกลือยุคโบราณขนาดใหญ่ขุดค้นโดย อิจิ นิตต้า เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้ค่าอายุที่ ๑๗๙๐+/๑๙๐ ปีมาแล้ว หรือเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๗-๙ โนนสลักได บ้านพุทรา ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองพิมายราว ๗ กิโลเมตรแล้ว
ยังพบว่ามีอยู่ตามชุมชนโบราณที่ต่อมาตั้งถิ่นฐานเป็นเมืองแถบต้นน้ำลำตะคอง เช่น ที่บ้านโตนด ปราสาทพนมวัน ต่อเนื่องจนถึงเมืองเสมา และกลุ่มบ้านโนนทองหลาง ในอำเภอเทพารักษ์ ซึ่งอยู่ในเส้นทางตัดลงสู่ที่ราบลุ่มภาคกลาง
การขุดค้นที่ซับจำปา โดย สว่างเลิศฤทธิ์ กล่าวถึงภาชนะแบบสีดำขัดมัน ซึ่งเป็นเทคนิคที่เรียกว่า พิมายดำ ความแตกต่างอย่างชัดเจนคือการใช้ตัวประสานเนื้อดิน [Temper] ที่ต่างกัน ในขณะที่แบบพิมายดำจะใช้ตัวประสานคือ ‘แกลบข้าว’ แต่ที่ซับจำปาใช้ ‘ทราย’ ทำให้ไม่แน่ใจว่าเป็นแบบพิมายดำ ส่วนที่บ้านโป่งมะนาว พบภาชนะแบบพิมายดำแบบเต็มใบและมีรูปแบบเช่นเดียวกับแถบลุ่มน้ำมูนตอนบน
ส่วนการขุดค้นที่บ้านจันเสน ในอำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ โดยเบรนเน็ท บรอนสัน ในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ซึ่งพบโบราณวัตถุสำคัญในระยะที่ ๒ คือ ภาชนะแบบที่พบแถบเมืองท่าชายฝั่งรัฐโอริสสาซึ่งอาจจะเป็นภาชนะแบบสีดำขัดมันและหวีงารูปราชมงคลศิลปะแบบอมราวดีอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๘ ค่าอายุที่ได้จากคาร์บอน ๑๔ อยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๖-๙ รูปแบบภาชนะนั้นอาจจะไม่ใช่ภาชนะสีดำขัดมันซึ่งมีลักษณะเฉพาะก็ได้ ส่วนรายงานการขุดค้นทางโบราณคดีที่หอเอก เมืองนครปฐมโบราณ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๕๒ นั้นยังไม่แน่ใจในรูปแบบภาชนะเช่นกัน
๓. การศึกษาทางโบราณคดีขุดค้นแหล่งโบราณคดีโนนวัด ตำบลพลสงคราม อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา และกระบวนการศึกษางานโบราณคดีอย่างต่อเนื่อง ขุดในพื้นที่ขนาดใหญ่โครงการศึกษาวิจัย ‘The Development of An Iron Age Chiefdom’ โดย ชาร์ล ไฮแอม [Charles Higham]
เป็นความร่วมมือระหว่างกรมศิลปากรและมหาวิทยาลัยโอทาโก นิวซีแลนด์ ดำเนินการระหว่าง พ.ศ. ๒๕๓๘ ถึง ๒๕๔๒ และโครงการต่อมา ‘Environment Change and Society before Angkor: Ban Non Wat and the upper Mun River Catchment in Prehistory’ โดย ไนเจล ชาง มหาวิทยาลัยเจมส์คุก ออสเตรเลีย ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔ โดยทำงานสำรวจในเขตอำเภอเมือง โนนสูง ขามทะเลสอ สีคิ้ว ปากช่อง ด่านขุนทด เทพารักษ์ โนนไทยและสูงเนิน ซึ่งเรียกโดยรวมว่าเป็นบริเวณลุ่มน้ำมูนตอนบน รวมทั้งขุดค้นที่บ้านโนนวัดในหลุมขุดค้นใหม่
โดยการศึกษาทั้งสองโครงการประกาศว่า เป็นแหล่งโบราณคดีที่มีความต่อเนื่องทางวัฒนธรรมที่ยาวนานที่สุดและเป็นหลุมขุดค้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยแบ่งอย่างคร่าวๆ เป็นยุคหินใหม่ อยู่ในช่วงอายุประมาณ ๓,๐๐๐-๓,๗๐๐ ปีมาแล้ว, ยุคสำริดอายุระหว่าง ๒,๕๐๐–๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว และยุคเหล็กอายุประมาณ ๑,๕๐๐–๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว ต่อเนื่องจนถึงสมัย ทวารวดี เขมร อยุธยา รัตนโกสินทร์ จนถึงปัจจุบัน
โบราณวัตถุที่พบก็น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะเครื่องประดับจากสำริด ลูกปัดทำจากหินมีค่า แก้ว เป็นตุ้มหู เครื่องประดับศีรษะ ห่วงเอวสำริด กำไลข้อมือ ข้อเท้า แหวนนิ้วมือ นิ้วเท้า ฯลฯ ภาพรวมคือพบภาชนะดินเผาแบบโนนวัดในระยะก่อนภาชนะแบบพิมายดำ ซึ่งเป็นรูปแบบการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายคลึงกับแหล่งโบราณคดีกลุ่มลุ่มน้ำมูนตอนบนที่อื่นๆ ซึ่งควรต้องกล่าวถึงอย่างละเอียดต่อไป
มีงานศึกษาที่น่าสนใจสำหรับกลุ่มงานศึกษาในโครงการนี้ที่เกี่ยวกับภาชนะแบบพิมายดำของนักศึกษาปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยโอทาโก นิวซีแลนด์ เรื่อง ‘Phimai is the New Black: Assessing the Standardisation of Kiln Fired Phimai Black Ceramics from the Iron Age Site of Non Ban Jak, Northeast Thailand’ [Helen Rosemarie Heath, 2016] โดยศึกษาในแหล่งโบราณคดีโนนบ้านจักร ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านโนนวัดราว ๑๐ กิโลเมตร
สรุปคือ พิมายดำเป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมโยงผู้เสียชีวิตเข้ากับอัตลักษณ์ของคนยุคเหล็กลุ่มน้ำมูนตอนบน ทำจากดินเหนียวแบบเฉพาะ แสดงให้เห็นว่า แต่เดิมเคยมีอุดมคติที่เกี่ยวข้องกับภาชนะแบบนี้ต่อมาจึงมีการเลียนแบบ แล้วค่อยๆ เปลี่ยนแปลง จากภาชนะสำหรับคนชั้นสูงก็ปรับมาเป็นเพื่อคนทั่วไป
ภาพจาก Phimai is the new black: Assessing the standardization of kiln fired Phimai black ceramics from the Iron Age site of Non Ban Jak, Northeast Thailand, 2016 โดย Helen Rosemarie Heath.
🔸ผลจากการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมยุคเหล็กในอนุทวีปอินเดียสู่การรับ ปรับ และส่งต่อสืบทอดในท้องถิ่นอันห่างไกล
ภาชนะดินเผาแบบพิมายดำ [Phimai Black ware] ถือว่าได้รับอิทธิพลโดยตรงจากภาชนะแบบสีดำขัดมัน [Northen Black Polished ware] ในชุมชนบ้านเมืองทางอ่าวเบงกอลตะวันตกและตะวันออก ซึ่งพบมากตามเมืองท่าชายฝั่งที่ส่วนใหญ่เป็นเมืองสำคัญทางพุทธศาสนาด้วยในช่วงก่อนพุทธกาล อายุอยู่ในระหว่าง[๗๐๐ BCE-๕๐ BCE]  ส่วนที่พบตามเมืองท่าทางตอนใต้ลงมาอายุราวพุทธศตวรรษที่ ๒-๗
แม้การศึกษาที่ผ่านมาจะไม่มีการลงความเห็นอย่างชัดเจนนักว่า ภาชนะเหล่านี้มีความสัมพันธ์สืบเนื่องกัน แต่ในห้วงเวลาไม่นานนี้ พบโบราณวัตถุทั้งภาชนะแบบสีดำขัดมัน และโบราณวัตถุอื่นๆ บริเวณคอคอดกระ ซึ่งกำหนดอายุได้โดยประมาณระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๓-๘ (วลัยลักษณ์ ทรงศิริ, ๒๕๖๓)
ภาชนะแบบพิมายดำแบบคลาสสิค ซึ่งกำหนดอายุโดย เดวิด เวลช์ ราวพุทธศตวรรษที่ ๒-๖, รัชนี ทศรัตน์และคณะราวพุทธศตวรรษที่ ๖-๘ และคณะทำงานโครงการโดยมหาวิทยาลัยโอทาโกกำหนดอายุว่าภาชนะแบบพิมายดำเริ่มต้นที่ยุคเหล็กระยะที่ ๓ ประมาณราวพุทธศตวรรษที่ ๘-๑๐ ซึ่งอายุแตกต่างไปจากการศึกษาของกลุ่มอื่นๆ และการพบภาชนะแบบพิมายดำในระยะต่อมานั้นเดวิด เวลช์ ให้อยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๒-๑๕ ส่วนการศึกษาโดยโครงการจากมหาวิทยาลัยโอทาโกเป็นยุคเหล็กระยะที่ ๔ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐-๑๒
รูปแบบภาชนะแบบพิมายดำแบ่งออกเป็นสองระยะ คือระยะแรกที่ปรากฎ มีรูปแบบคลาสสิคเป็นรูปทรงชามและจาน ด้านในภาชนะมีการขูดขีดลวดลาย ซึ่งพบรูปแบบเช่นนี้แถบคอคอดกระ รวมทั้งต้นทางอนุทวีปในอินเดีย ส่วนในระยะต่อมา เริ่มเป็นภาชนะหม้อกลมแบบมีสัน ตกแต่งผิวภาชนะ และเป็นแบบไหก้นรูปตัววี รูปตัวยู ชามมีก้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นภาชนะที่ใช้งานในการเป็นเครื่องใช้ในครัวเรือนและเนื่องในพิธีกรรมการฝังศพทั้งที่สำหรับใส่กระดูกเด็กสำหรับการฝังศพครั้งที่สอง ซึ่งก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน
ในเรื่องระยะเวลาการผลิตและรูปแบบภาชนะแบบสีดำขัดมัน [NBPW] และการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโอทาโกระบุว่าภาชนะแบบพิมายดำนั้นเผาในเตาเผาภาชนะ ใช้การผสมเนื้อดิน [Temper] ที่เป็น ‘แกลบข้าว’ และมีการผสมเนื้อดินที่มีลักษณะเฉพาะ จากเครื่องใช้ของชนชั้นสูงในระยะแรกก็ปรับเปลี่ยนเป็นของใช้ทั่วไปของผู้คนทุกระดับ โดยมีผู้ชำนาญในการผลิตและนำออกไปแลกเปลี่ยนหรือซื้อขายให้กับชุมชนที่อยู่โดยรอบด้วย
เมื่อลองเปรียบเทียบกับผลของการศึกษาวิเคราะห์รูปแบบภาชนะจากแหล่งโบราณคดีอังกอร์เบอเรย จังหวัดตาแก้วในกัมพูชา ศึกษาระหว่าง พ.ศ. ๒๕๓๙-๒๕๔๓ โดยโครงการโบราณคดีลุ่มน้ำโขงตอนล่าง [Stark & Fehrenbach, 2019]
โดยจัดทำลำดับเวลาของเครื่องปั้นดินเผาที่ผลิตในท้องถิ่นซึ่งอยู่ในช่วง ๕๐๐ BCE- ๒๐๐ CE หรือราวพุทธศตวรรษที่ ๑-๓ ว่า เครื่องปั้นดินเผาที่อังกอร์เบอเรยในระยะแรกและต่อมาในระยะที่ ๒ มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในเขตลุ่มน้ำมูนตอนบน มีส่วนร่วมในการค้าทางทะเลจีนใต้อย่างชัดเจน โดยมีเทคโนโลยีการผลิตแบบอินเดียใต้เข้ามา แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบพื้นฐานของการผลิตในท้องถิ่นที่เป็นภาชนะเด่นประเภท Fine Orange wares
ส่วนระยะที่ ๓ มีการผลิตกุณฑีเนื้อบางมีคุณภาพดี ทำให้เห็นร่องรอยของการสัมพันธ์กับทางชายฝั่งอ่าวเบงกอลที่เชื่อมโยงกับชุมชนส่วนใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคกึ่งก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งพิจารณาแล้วก็คล้ายคลึงกับการก่อตัวของบ้านเมืองและรัฐเริ่มแรกทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งบริเวณชุมชนในลุ่มน้ำมูนตอนบนในแอ่งโคราช เกี่ยวข้องกับพัฒนาการในยุคเหล็กของบ้านเมืองที่เริ่มมั่นคงและเริ่มมีการติดต่อการค้าทางทะเลกับทางอนุทวีปอินเดียและทะเลจีนใต้ในฐานะที่เป็นดินแดนสุวรรณภูมิ
ความซับซ้อนทางสังคมและการเมืองเกี่ยวข้องกับการพัฒนาของรัฐดังกล่าวนี้ ภาชนะดินเผาแบบพิมายดำอาจจะเป็นส่วนหนึ่งในหลักฐานที่ชี้ว่า มีความคงอยู่ในสิ่งของหรือสินค้าที่เป็นของสูงค่า [Prestige goods] จากต้นทางในช่วงหลังพุทธกาลพร้อมกับสินค้าต่างๆ ที่มาพร้อมกับพ่อค้าหรือนักบวชทางพุทธศาสนา แม้ว่าสังคมที่ผลิตภาชนะแบบพิมายดำจะมีความชัดเจนในพิธีกรรมทำศพแบบเดิม
คือการฝังไม่ใช่การเผาแล้วเก็บเถ้าหรือกระดูก แต่ก็จะปฏิเสธไม่ได้ว่าเริ่มมีการเผยแพร่ความเชื่อแบบใหม่คือพุทธศาสนาที่อาจเข้ามาพร้อมกันกับภาชนะสีดำขัดมันนี้ รวมทั้งเครื่องประดับต่างๆ ที่มาจากดินแดนห่างไกลเช่นกัน ก่อนที่จะก่อตัวเป็นอาคารศาสนสถานต่างๆ อีกหลายร้อยปีต่อมา เพราะการศึกษาเรื่องการใช้พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น การปักเสมาด้วยหินก้อนใหญ่ๆแบบธรรมชาติที่เชื่อมโยงกับระบบหินตั้ง [Megalith] ในยุคเหล็กนั้นก็เริ่มปรากฎชัดเจนแล้วเช่นกัน
ติดตามบทความ วิดีโอ และรายการต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่
โฆษณา