25 พ.ย. 2022 เวลา 08:26 • การศึกษา
สัญญาแห่งความเลื่อมใส
สัญญาแห่งความเลื่อมใส
ในอดีต มีพระอรหันต์รูปหนึ่งชื่อ "รโหสัญญิกะ" ท่านเป็นพระสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่ ๗ ขวบ เป็นสุขาปฏิปทา ขิปปาฏิญญา คือ ผู้ที่ปฏิบัติได้สะดวกและตรัสรู้ได้รวดเร็ว
แม้มีอายุเพียง ๗ ขวบเท่านั้น แต่ได้บรรลุคุณวิเศษ มีอภิญญา ๖ คือ มีหูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติได้ รู้วาระจิต มีอิทธิฤทธิ์ ทำอาสวะให้สิ้นได้ และถึงพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ ๔ คือ มีปัญญาแตกฉานในอรรถ ในธรรม ในภาษา และในปฏิภาณไหวพริบ เป็นเรื่องปกติวิสัยของพระอรหันต์ทั้งหลาย
เมื่อท่านได้บรรลุรหัตผลแล้ว ท่านก็จะระลึกชาติหนหลัง ที่เรียกว่าบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ย้อนไปดูประวัติการสร้างบารมีของตนเอง เมื่อพบเห็นว่าแต่ละภพแต่ละชาติ ท่านได้ทุ่มเทสร้างบารมีอย่างเต็มที่ ก็จะเกิดความปีติ ปราโมทย์ใจ
พระรโหสัญกะได้เล่าเรื่องในอดีตชาติของท่านว่า ทุกชาติที่ผ่านมา ท่านได้บำเพ็ญกุศลไว้มากมายได้พบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาหลายพระองค์ มีความเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่งในพระพุทธองค์
ท่านจะระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์อยู่เสมอ มีใจผูกพันกับพระรัตนตรัยตลอดเวลา ได้สั่งสมมหากุศลด้วยการเจริญพุทธานุสสติ ทำให้ท่านมีอุปนิสัยของการบรรลุมรรคผลนิพพาน
แต่มีอยู่ชาติหนึ่ง ท่านได้ไปเกิดในยุคที่ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เรียกว่า "กาลวิบัติ" คือช่วงเวลาที่ว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนา ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติในโลก มนุษย์ในยุคนั้นจึงหมดโอกาสที่จะได้รู้จักพระพุทธศาสนา มิได้รับรสแห่งพระสัทธรรม
สัญญาแห่งความเลื่อมใส
ถ้าใครไปเกิดในยุคนั้น ก็เท่ากับว่าเกิดมาเปล่าประโยชน์ หาแก่นสารอันแท้จริงในชีวิตไม่ได้ ในสมัยนั้น ท่านได้เกิดในตระกูลของพราหมณ์ ในเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง พอเจริญวัยขึ้นได้ศึกษาศิลปวิทยา จนประสบความสำเร็จ
แต่เนื่องจากท่านเป็นผู้ที่สั่งสมบุญเก่ามาดี จึงมีดวงปัญญามองเห็นว่าความรู้ที่ตนมีอยู่นั้น หาแก่นสารอะไรไม่ได้ แล้วยังเป็นทางมาแห่งบาปอกุศล ยากที่จะประกอบอาชีพให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ได้
ท่านจึงได้สละเพศฆราวาส ออกบวชเป็นฤๅษีอยู่ในป่าหิมพานต์ เมื่อบวชแล้ว ได้เป็นผู้มักน้อยสันโดษประพฤติพรหมจรรย์ จนมีผู้ศรัทธาเลื่อมใสมาขอเป็นลูกศิษย์ มีบริวารถึง ๓,๐๐๐ คน
ออกบวชเป็นดาบสอยู่ในสำนักของท่าน ตั้งอาศรมอยู่ใกล้ภูเขาวสภะ เป็นยอดเขาที่สูงรองมาจากภูเขาหิมวันต์ ซึ่งนักพรตในยุคนั้นถือว่าเป็นภูเขาที่เป็นสัปปายะที่สุด
ท่านฤาษีได้สั่งสอนศิษย์เหล่านั้น อยู่นานถึง๓,๐๐๐ ปี แต่ก็ยังไม่ทราบถึงสรณะอันแท้จริง ท่านจึงคิดว่า "เราเป็นอาจารย์ของศิษย์เหล่านี้ เป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในฐานะที่ควรแก่การเคารกราบไหว้ แต่น่าเสียใจที่เราไม่มีอาจารย์ แม้ที่พึ่งที่แท้จริงของเราก็ไม่มี"
เมื่อคิดดังนี้แล้ว ก็เกิดความละอายใจ จึงได้เรียกประชุมศิษย์ทั้งหมด แล้วกล่าวกับศิษย์ทั้ง ๓,๐๐๐ คน ว่า "ท่านทั้งหลายอาศัยเราเป็นอาจารย์ แต่เราไม่อาจที่จะแนะนำหนทางหลุดพ้นให้แก่ท่านทั้งหลาย ไม่ทราบถึงการบรรลุอมตธรรมอันสูงสุด ขอให้ท่านทั้งหลายจงอย่าได้เป็นผู้ประมาท"
ท่านก็รู้สึกละอายใจตนเอง ที่ชีวิตไม่มีแก่นสารสาระ แม้ศิษย์ทั้งหลายก็ไม่มีใครรู้ว่า อะไรคือแก่นสารสาระที่แท้จริง ดังนั้นท่านจึงปลีกวิเวก โดยหาที่สงัดปรารภความเพียรอยู่เพียงลำพัง
ในขณะนั้นเองบุญเก่าตามมาทัน ได้กระตุ้นเตือนจิตสำนึกของท่าน ให้ระลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเนื่องจากในอดีตชาติ ท่านได้เจริญพุทธานุสสติเป็นเนืองนิจ แม้มาเกิดในยุคที่ไม่มีพระพุทธเจ้าก็ตาม แต่ท่านก็นึกขึ้นมาได้
แล้วทำจิตของตนให้เลื่อมใสในพระญาณของพระทศพล เกิดความปีติ มีใจผ่องใส จิตใจเบิกบานนึกถึงพระพุทธเจ้าเอาไว้ในใจ โดยทำความรู้สึกคล้ายกับว่า ได้นั่งอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระบรมศาสดา ท่านนั่งขัดสมาธิคู้บัลลังก์ อยู่บนอาสนะที่ปูลาดด้วยใบไม้ทำความเพียรไม่เลิกรา จนกระทั่งสิ้นชีวิตอยู่ในอิริยาบถนั้น
ด้วยอานุภาพแห่งใจที่ผ่องใส ไม่เศร้าหมองเมื่อละโลกแล้ว จึงไปบังเกิดในพรหมโลก สมกับที่พระพุทธองค์ ได้ตรัสว่า"จิตฺเต อสงกิลิฏเจ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตผ่องใส บุคคลพึงหวังสุคติได้"
ด้วยอานิสงส์ที่ท่านได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ตลอดระยะเวลา ๓๑ กัปป์ ท่านไม่เคยรู้จักทุคติเลย คือ ไม่เคยตกไปสู่อบายภูมิไม่เกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน ในกัปป์ที่ ๒๗ ที่ผ่านมา ท่านได้เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิสมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการทีเดียว
ในภพชาติสุดท้าย ในสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ท่านเกิดในตระกูลสูง มีความพรั่งพร้อมด้วยโภคทรัพย์สมบัติ พออายุได้ ๗ ขวบบุญเก่าก็มาเตือนและสอนตัวเองได้ว่า สิ่งทั้งหลายในโลกล้วนไม่เป็นสาระ ไม่เป็นแก่นสาร เกิดความเบื่อหน่ายในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จึงได้ออกบวช ในขณะที่พระอุปัชฌาย์เอามีดโกนจรดที่ปลายผม ท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ทันที
ฝึกใจให้หยุด ให้นิ่ง
ดังนั้น การเจริญพุทธานุสสติ จึงมีอานิสงส์มากเป็นเหตุให้บรรลุมรรคผลนิพพานตั้งแต่เยาว์วัย ถ้าหากใครระลึกถึงพระพุทธเจ้าเอาไว้ในใจอยู่เสมอ ใจจะผ่องใสปิดประตูอบายภูมิได้ละโลกก็ไปสู่สุคติโลกสวรรค์
เมื่อถึงคราวที่จะต้องมาเกิดในเมืองมนุษย์ ก็จะเกิดในตระกูลที่ดี มีโภคทรัพย์สมบัติเพียบพร้อม บริบูรณ์การนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์นี้ จึงมีอานิสงส์ยิ่งใหญ่มีผลอันไพบูลย์ ในปัจจุบันจะทำให้เรามีความสุข สดชื่น แจ่มใส เบิกบาน ดวงจิตผ่องใสขึ้นมาทันที
เพราะฉะนั้นให้หมั่นประคับประคองใจ ให้หยุดนิ่งนึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ทุกๆ วัน เพื่อใจของเราจะได้สะอาด บริสุทธิ์ และเข้าถึงสันติสุขที่แท้จริงกันทุกๆ คน
โอวาทคุณครูไม่ใหญ่
(วันศุกร์ที่ ๒๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๒)
รวมพระธรรมเทศนา หน้า ๘๕-๙๒
ภาพจาก เพจการบ้าน
1
โฆษณา