8 ธ.ค. 2022 เวลา 13:26 • การศึกษา
จะเชื่อตอนเป็นหรือจะเห็นตอนตาย
การพัฒนาจิตเพื่อการฝึกฝนอบรมตนเอง ถือเป็นเรื่องใหญ่และเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเป็นรากฐานของการพัฒนาในทุกสิ่ง ชีวิตของเราจะสูงส่งขึ้นหรือตกต่ำลงก็ขึ้นอยู่ที่การพัฒนาตนเองในภพชาติปัจจุบันนี้เป็นสำคัญ อุปสรรคต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ถือว่าเป็นสิ่งที่ช่วยหล่อหลอมชีวิตของเราให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เหมือนเพชรกว่าจะฉายแสงแวววาวเป็นที่ดึงดูดตาดึงดูดใจของผู้ที่ได้พบเห็น ก็ต้องผ่านแรงกดดันของโลกและผ่านการเจียระไนมาก่อนแล้ว จึงจะมีความงดงามและทรงคุณค่า
เช่นเดียวกับบนเส้นทางของการสร้างบารมีเพื่อให้เป็นผู้มีความสมบูรณ์พร้อมในทุกด้าน บางครั้งก็อาจต้องมีอุปสรรคบ้าง หรือบางทีเราก็ไม่ทราบว่า สิ่งที่พบมันเกิดขึ้นเพราะอะไร และไม่ทราบว่าจะแก้ไขได้อย่างไร ที่สำคัญไม่รู้ว่าจะไปถามใครได้ เมื่อใดที่ยังไม่พบทางออก ก็ขอให้ลองหลับตาของเราลงเบา ๆ ปล่อยวางจากเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทั้งหมด แล้วทำใจให้หยุดนิ่งอยู่ตรงกลาง ถึงเวลาเมื่อใจสงบ เราก็จะพบทางออกและช่องทางแห่งความสำเร็จได้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า
“อิธ ตปฺปติ เปจฺจ ตปฺปติ
ปาปการี อุภยตฺถ ตปฺปติ
ปาปํ เม กตนฺติ ตปฺปติ
ภิยฺโย ตปฺปติ ทุคฺคตึ คโต
บุคคลผู้ทำบาปย่อมเดือดร้อนในโลกนี้ ย่อมเดือดร้อนในโลกหน้า ย่อมเดือดร้อนในโลกทั้งสอง บุคคลผู้ทำบาปนั้นย่อมเดือดร้อนว่า บาปอกุศลเราได้ทำไว้แล้ว บาปนั้นย่อมนำเขาไปสู่ทุคติ ทำให้เดือดร้อนอย่างยิ่ง”
ในกระแสของสังคมโลกยุคปัจจุบัน มีสิ่งเป็นที่ล่อตาล่อใจมากมายเรียกว่า เบญจกามคุณ คือทำให้มนุษย์เหินห่างจากการทำความดี เมื่อไม่ทำความดีอกุศลก็เข้าแทรก ทำให้เกิดความพอใจกับการแสวงหาความสุขที่เกิดจากวัตถุภายนอก มากกว่าที่จะหันมาแสวงหาความสุขจากภายใน ทำให้มนุษย์มีความทะยานอยากอยู่รํ่าไป
ถ้าหากไม่ได้กัลยาณมิตรคนแรก คือบิดามารดาคอยสั่งสอนอบรมลูกให้เจริญเติบโตด้วยความรู้คู่คุณธรรม รวมทั้งได้ครูบาอาจารย์ผู้คอยแนะนำพร่ำสอนให้ลูกศิษย์ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้อย่างถูกต้องแล้วละก็ เส้นทางชีวิตของบุคคลนั้น อาจต้องจมปลักอยู่กับเบญจกามคุณและพบกับความเสื่อมได้
การจะได้เบญจกามคุณเหล่านั้นมาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจะต้องทำการแก่งแย่งชิงดีกัน มีทั้งคู่แข่งและคู่แค้น ทำให้ต้องทำบาปอกุศล บางครั้งถึงกับเข่นฆ่ากัน ลักขโมยบ้าง ต้องผิดศีลกาเม โกหกมดเท็จ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสต่าง ๆ ที่ปรารถนา ที่ระคนไปด้วยกิเลสตัณหา
ความผิดพลาดของชีวิตที่หลงไปทำบาปอกุศลเอาไว้นั้น ทำให้ชีวิตต้องเดือดร้อนใจ นึกถึงเมื่อไรใจก็เศร้าหมองไม่ผ่องใส ร้อนทั้งตนเอง ร้อนทั้งคนอื่น ร้อนทั้งชาตินี้และชาติหน้า วิบากกรรมอันเผ็ดร้อนมันจะคอยส่งผลต่อ ๆ กันไปข้ามภพข้ามชาติทีเดียว
ดังเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล ในกรุงพาราณสี มีคฤหบดีท่านหนึ่ง ชื่อจูฬเศรษฐี เป็นคนไม่มีศรัทธาในพุทธศาสนา จึงไม่มีความเลื่อมใสในการให้ทาน เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว ไม่เอื้อเฟื้อต่อการบำเพ็ญบุญ ชอบทุบตีข้าทาสบริวาร ไม่พอใจใครก็ทำโทษคนนั้นจนถึงกับเลือดตกยางออก เห็นใครทำบุญให้ทานก็จะเข้าไปห้ามไม่ให้ทำ
เมื่อถึงเวลาตัวเองเสียชีวิตลงก็ไปบังเกิดเป็นเปรต มีร่างกายปราศจากเนื้อและเลือด มีเพียงหนังหุ้มกระดูกและเอ็น มีศีรษะโล้น ปราศจากเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เป็นเปรตชีเปลือยน่าเกลียดน่ากลัวมาก
ฝ่ายบุตรสาวของเศรษฐีชื่อว่า อนุลา ซึ่งไปอยู่กับสามีอีกเมืองหนึ่ง เมื่อรู้ว่าบิดาเสียชีวิตแล้ว ก็ตั้งใจจัดภัตตาหารหวานคาวเป็นอย่างดี แล้วเชิญพราหมณ์มารับประทานอาหารที่บ้านของตน เพื่อจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้เป็นบิดา ฝ่ายเปรตเมื่อรู้ดังนั้นจึงไปที่อันธกวินทนคร เมื่อเหาะไปถึงกรุงราชคฤห์
บังเอิญว่าตกดึกคืนนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูกำลังยืนชมดวงจันทร์ในยามราตรี ทรงนึกถึงพระบิดาที่ตนเองเป็นผู้รับสั่งให้ทำปิตุฆาต เมื่อนึกถึงอนันตริยกรรมที่ทำลงไปจึงไม่อาจบรรทมหลับได้ เพราะความเดือดร้อนใจและทรงฝันร้ายเป็นประจำ พระองค์จึงเสด็จขึ้นไปบนปราสาท เมื่อมองออกมานอกช่องพระแกล ก็ทอดพระเนตรเห็นเปรตตนนั้นลอยผ่านมาพอดี ทรงเข้าพระทัยว่าเป็นสมณะผู้ไม่มีผ้าไตรจีวร จึงตรัสถามว่า
“ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นบรรพชิตเปลือยกายในยามราตรีเช่นนี้ จะเร่งรีบไปที่ไหนกัน ท่านปรารถนาจะให้เราช่วยบ้างไหม เราเป็นพระราชา สามารถจะให้อัฐบริขารแก่ท่านได้ทุกอย่าง ขอเพียงท่านเอ่ยปากบอกมาเถอะ เราจะขวนขวายหามาให้”
เมื่อเปรตถูกพระราชาตรัสถาม ก็หยุดยืนอยู่กลางอากาศ ทูลตอบไปว่า “ข้าพระองค์ไม่ใช่สมณะ ข้าพระองค์เคยเป็นคฤหบดีผู้มั่งคั่งอยู่ในกรุงพาราณสี แต่เพราะเป็นคนตระหนี่ ไม่เคยให้สิ่งของแก่ใคร ๆ เป็นคนทุศีล แสวงหาทรัพย์บนความทุกข์ยากของคนอื่น อีกทั้งสอนให้คนในบ้านไม่ให้ทานกับใครอีกด้วย ให้ตระหนี่หวงแหนทรัพย์เอาไว้ ทรัพย์เก่าอย่าให้หมดไป ทรัพย์ใหม่ต้องเพิ่มขึ้นทุกวัน
บัดนี้เมื่อข้าพระองค์มีสภาพต้องมาเป็นเปรต จึงได้รู้ถึงผลกรรมอันเผ็ดร้อนของตนเองแล้ว แม้ปรารถนาอาหารที่หมู่ญาติพากันทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ ก็ไม่มีญาติคนไหนทำบุญให้กับข้าพระองค์เลย เพราะทุกคนเป็นคนตระหนี่หมด ญาติเหล่านั้นไม่เชื่อเรื่องบุญและบาป มัวทำบาปกันเป็นอาจิณ ไม่นานก็จะมาเกิดเป็นเปรตเหมือนกับข้าพระองค์
แต่ยังมีลูกสาวของข้าพระองค์ชื่ออนุลา นางอยู่ไกลจากที่นี่มาก ยังนึกถึงข้าพระองค์ ตั้งใจจะถวายทานแด่พราหมณ์แล้วอุทิศส่วนกุศลให้กับข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะไปเมืองอันธกวินทนครเพื่อรับส่วนกุศลที่ลูกสาวอุทิศให้”
พระราชาทรงสนพระทัยมาก จึงทรงรับสั่งกับเปรตไปว่า “ถ้าท่านได้เสวยผลทานที่ลูกสาวทำให้แล้ว ก็ช่วยกลับมาบอกแก่เราด้วยเถอะ” จูฬเศรษฐีเปรตทูลรับพระดำรัสแล้ว ก็เหาะต่อไปถึงอันธกวินทนคร แต่ไม่ได้รับผลแห่งทานนั้นเลย เพราะพราหมณ์ทั้งหลายที่มาบริโภคอาหารของนางล้วนเป็นผู้ไม่มีศีล ไม่สมควรแก่ทักษิณา จึงไม่สามารถหลุดพ้นจากอัตภาพของเปรตนี้ไปได้ เปรตกลับมากรุงราชคฤห์อีก และไปปรากฏกายเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าอชาตศัตรู พร้อมทั้งเล่าเรื่องความเป็นไปทั้งหมดให้พระองค์ทรงทราบ
พระเจ้าอชาตศัตรูเมื่อทรงทราบว่า การจะหลุดพ้นจากสภาพของเปรตได้ ต้องถวายสังฆทานแด่ภิกษุสงฆ์ผู้เป็นนาบุญอันเลิศต่างหาก จึงตรัสกับเปรตไปว่า "ในวันพรุ่งนี้ให้ท่านมาคอยรับส่วนบุญส่วนกุศลที่เราจะอุทิศให้ ซึ่งเกิดจากการได้ถวายทานกับทักขิไณยบุคคล" ครั้นรุ่งเช้า พระราชาทรงถวายทานอันประณีตแด่สงฆ์ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ทรงกราบทูลเรื่องราวนั้นแด่พระตถาคตเจ้า ทันทีที่พระเจ้าอชาตศัตรูทรงอุทิศส่วนกุศลไปให้ ร่างของเปรตก็เปลี่ยนเป็นเทพผู้มีรัศมีกายสว่าง มีวิมานอันเป็นทิพย์บังเกิดขึ้นทันที
เทพบุตรนั้นมาปรากฏเฉพาะพระพักตร์ของพระราชา กราบทูลว่า “ข้าพระองค์เป็นเทพผู้มีฤทธิ์ มนุษย์ทั้งหลายผู้มีฤทธิ์เสมอด้วยข้าพระองค์ไม่มี ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตรดูอานุภาพอันหาประมาณมิได้ของข้าพระองค์เถิด นี่เป็นผลที่เกิดจากอนุโมทนาบุญ ในการถวายสังฆทานของพระองค์แด่ภิกษุสงฆ์ผู้เป็นทักขิไณยบุคคลอันเลิศ เป็นเนื้อนาบุญอันเยี่ยม ทำให้เกิดอานิสงส์อันจักนับจักประมาณมิได้แก่ข้าพระองค์ บัดนี้ ข้าพระองค์เอิบอิ่มด้วยทิพยสมบัติมากมายที่พระองค์ทรงอุทิศให้ มีความสุขยิ่งนัก” แล้วก็ทูลลาพระราชาไปสู่สุคติโลกสวรรค์
เมื่อเปรตทูลลากลับไปแล้ว พระเจ้าอชาตศัตรูจึงทูลเรื่องนั้นแก่พระภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยเรื่องของเปรต เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทราบนั้น พระพุทธองค์จึงทรงแสดงธรรมแก่พุทธบริษัทที่มาฟังธรรมในวันนั้นว่า “อริยมรรคมีองค์ ๘ มีในที่ใด เนื้อนาบุญก็มีอยู่ในที่นั้น พระสงฆ์เท่านั้นเป็นประมุขของผู้บูชา สังฆทานเป็นประมุขของผู้หวังบุญ พืชแม้มีจำนวนน้อยที่บุคคลหว่านแล้วในนาดี
เมื่อฝนโปรยลงมาโดยสม่ำเสมอ ผลิตผลย่อมยังชาวนาให้เกิดความปลาบปลื้มใจ ฉันใด ทานแม้น้อยที่บุคคลบริจาคแล้วในท่านผู้เป็นทักขิไณยบุคคล มีศีล มีคุณความดี เป็นผู้คงที่ บุญย่อมมีผลมาก ฉันนั้นเหมือนกัน ทานที่บุคคลให้แล้วในเขตใดมีผลมาก ควรเลือกให้ในเขตนั้น” เมื่อมหาชนฟังธรรมแล้ว ก็สละมลทินคือความตระหนี่ เป็นผู้ยินดีในการทำบุญให้ทานยิ่ง ๆ ขึ้นไป
เมื่อทุกท่านรับทราบเช่นนี้แล้ว ก็อย่าได้ตระหนี่ อย่าประมาทในชีวิต ให้รีบหมั่นสั่งสมบุญกันให้เต็มที่ จะได้ไม่ต้องไปเกิดในอบาย ไปรอส่วนบุญจากคนอื่นเขาอุทิศไปให้ ต้องให้ได้ทิพยสมบัติมาด้วยตัวของเราเองจะดีกว่า ปัจจุบันนี้มีพระสงฆ์ซึ่งเป็นเนื้อนาบุญอันเลิศอยู่มากมาย ไทยธรรมของเราก็พอแสวงหามาได้ เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวคือ รู้จักเพิ่มเติมความศรัทธาเข้าไปและหาโอกาสสั่งสมบุญกันให้เต็มที่ แล้วเราจะมีชีวิตที่สดใส ไม่ต้องเดือดร้อนใจในภายหลัง จะมีแต่ความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไปในปรโลกกันทุกคน
คนที่เกิดมากินบุญเก่าอย่างเดียวโดยไม่ได้สร้างบุญใหม่ไว้ ก็จะต้องไปพบกับชีวิตที่น่ารันทดหดหู่อย่างนี้แหละ ผู้กินบุญเก่าย่อมโศกเศร้าในปรโลก นี่เป็นกฎแห่งการกระทำของสรรพสัตว์ เป็นกฎเกณฑ์ในสังสารวัฏที่เราจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องกฎแห่งกรรมนี้ถึงแม้จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม
แต่ความจริงมันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะประกอบเหตุไว้เช่นไรย่อมได้รับผลเช่นนั้น และก็อย่ามัวคิดว่าเมื่อเราตายไปแล้ว หมู่ญาติจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ บางทีเขาก็อาจลืมเราไปแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือตนเองกระทำไว้ดีกว่า อย่าไปหวังพึ่งคนอื่น เพราะฉะนั้นในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ ควรรีบสั่งสมบุญเอาไว้ให้มาก ๆ
1
อย่าได้ประมาทชะล่าใจ อย่าเพิ่งไปปลื้มใจกับทรัพย์สมบัติที่เราหามาได้ ควรเอาทรัพย์นั้นมาสร้างบารมีให้เต็มที่ แล้วเราจะได้ทั้งความรวย ความสวย ความฉลาด แล้วจะสมปรารถนาในทุก ๆ สิ่งไปทุกภพทุกชาติกัน
1
จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับผลของบาป หน้า ๓๓๘ – ๓๔๘
อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)
เล่ม ๔๙ หน้า ๒๕๕
โฆษณา