18 ธ.ค. 2022 เวลา 09:37 • การศึกษา
โทษของผู้รังแกสมณะ
สิ่งที่มนุษย์ทุกคนแสวงหาคือความสุขและความสำเร็จของชีวิต เมื่อได้มาแล้วต้องพยายามรักษาเอาไว้ให้ยาวนานที่สุดเพื่อตนและบุคคลอันเป็นที่รัก นี้เป็นธรรมชาติของมวลมนุษยชาติทั้งหลาย มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มุ่งทำเพื่อประโยชน์สุขของสรรพสัตว์ และก็รู้ว่าเบื้องหลังของชีวิตที่ประสบความสุขและความสำเร็จ เกิดจากดวงบุญที่ติดอยู่ตรงกลางกายนั่นเอง
ถ้าอยากจะให้ดวงบุญนี้ศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์ มีเดช มีอานุภาพ บันดาลความสำเร็จให้บังเกิดขึ้นเป็นอัศจรรย์ ก็ต้องหมั่นทำใจหยุดใจนิ่ง ให้ใจของเราเชื่อมกับดวงบุญภายในให้ได้ ถ้าทำได้อย่างนี้ ความสุขความสำเร็จในชีวิต ก็จะบังเกิดขึ้นมาต่อเนื่องไม่ขาดตอน เหมือนคลื่นในมหาสมุทรที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องระลอกแล้วระลอกเล่าไม่มีที่สิ้นสุด
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า
“อตฺตนา หิ กตํ ปาปํ อตฺรชํ อตฺตสมฺภวํ
อภิมตฺถติ ทุมฺเมธํ วชิรํ วมฺหยํ มณี
ความจริง บาปที่ตนทำแล้ว อันเกิดจากตน ที่มีตนเป็นแดนเกิด ย่อมย่ำยีบุคคล ผู้มีปัญญาทราม เหมือนเพชรย่ำยีแก้วมณีที่เกิดแต่หิน ฉะนั้น”
กรรมที่เราสร้างเอาไว้ เราทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว ถ้าเราได้ทำกรรมดี ถือว่าเป็นโชคดี แต่ถ้าเผลอไปทำกรรมชั่ว ชีวิตจะมัวหมองเป็นตราบาปติดตัวเราไปตลอดชีวิต ถ้าทำความดี ดวงบุญจะใสสว่างหนักขึ้นไปอีก เราจะรู้เห็นและเข้าใจอย่างซาบซึ้งในสิ่งเหล่านี้
หลวงพ่อขอใช้คำว่า เข้าใจอย่างซาบซึ้ง ไม่ใช่เข้าใจเฉย ๆ แต่เข้าไปอยู่ในใจอย่างซาบซึ้ง เมื่อเราหยุดใจได้สนิท เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมกาย จะเกิดความปีติสุขอยู่ทั้งวันทั้งคืน เมื่อเราเห็นบุญได้แล้วเอาใจไปแช่อิ่มอยู่ในบุญ บุญจะเกื้อหนุนให้เรามีความสุขความสำเร็จบังเกิดขึ้นตลอดเวลา
บางครั้งคนเราอาจสังเกตตัวเราเอง หรือบุคคลที่เรารู้จักก็ได้ และเกิดความรู้สึกสงสัยขึ้นมาในใจว่า ชีวิตบางคนดำเนินมาได้ดีตลอด แต่มีบางช่วงที่เกิดมรสุมรุมเข้ามาในชีวิต ทำให้เกิดการพลิกผันเพียงแค่ชั่วเวลาข้ามคืน จากมหาเศรษฐีก็กลายเป็นยาจก หรือบางคนชีวิตอดอยากยากจน อับเฉามาตลอด
แต่จู่ๆกลับประสบความสุขความสำเร็จอย่างที่ตนเองก็ไม่คาดฝัน ชีวิตของมนุษย์ก็แปรเปลี่ยนอยู่อย่างนี้แหละ เมื่อไรบุญในตัวพร่องกระแสบาปก็ดึงดูดเอาวิบัติเข้ามา ชีวิตก็สะดุด เมื่อไรกะแสบุญในตัวเยอะ กระแสบาปตามไม่ทัน บุญก็บันดาลแต่สิ่งที่ดีๆให้เรา ในภาษาธรรมะเรียกกรรรมชนิดอย่างนี้ว่า อุปปีฬกกรรม คือกรรมที่ทำหน้าที่เบียดเบียนกรรมอื่นๆให้มีสภาพตรงกันข้ามกัน กรรมที่พลิกผันนั้นชื่อว่า อุปปีฬกกรรม
อุปปีฬกกรรมนี้ แบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายกุศลและอกุศล ฝ่ายที่เป็นอกุศลทำหน้าที่เข้าไปเบียดเบียนกุศลกรรมที่มีสภาพตรงกันข้าม เพื่อบังคับไม่ให้ผล คือในขณะที่บุญกุศลกำลังให้ผลเป็นความสุขความเจริญ ในขณะที่บุคคลผู้นั้นไม่สร้างบุญบารมีเพิ่มเติม ดวงบุญพร่องเพราะความประมาท อกุศลมีโอกาสได้ช่อง ก็เข้าไปเบียดเบียนให้ผลทันที
นี้เป็นหน้าที่ของอุปปีฬกกรรมฝ่ายอกุศล ถ้าเป็นฝ่ายกุศล ก็ให้ผลตรงกันข้าม ขณะที่ชีวิตกำลังประสบกับความข้นแค้นแสนเข็ญในเรื่องต่างๆ เมื่อบุญตามมาทันก็ให้ผลในทันที เข้าไปเบียดอกุศลให้ตกไป ชีวิตของผู้นั้นก็พลิกผันไปในทางที่ดีขึ้นเป็นอัศจรรย์
เบื้องหลังของมนุษย์ยังมีสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้งทีเดียว ดังนั้นอย่าดูถูกกรรมแม้เพียงเล็กน้อยว่าจะไม่ให้ผล เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต คือมีชายหนุ่มคนหนึ่ง อาศัยอยู่ใกล้พระวิหาร ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระภิกษุสามเณร มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ชายหนุ่มอาบน้ำอยู่ที่หน้าบ้านของตนเอง สามเณรน้อยองค์หนึ่งหน้าตาน่าเอ็นดูพายเรือผ่านมา ชายหนุ่มคนนั้นเกิดจิตนึกสนุกขึ้นมา อยากแกล้งสามเณร จึงเอามือทั้งสองวิดน้ำสาดไปที่เรือ สามเณรกลัวเปียกจึงเอนกายหลบน้ำ ทำให้เรือเอียงและล่มไปในทันที
เนื่องจากสามเณรยังเป็นเด็กอายุไม่กี่ขวบ และไม่นึกว่าตนเองจะถูกแกล้งเช่นนี้ ก็กระเสือกกระสนรีบว่ายน้ำหนี ผ้าจีวรก็หลุดลุ่ยเปียกปอน ท่านเกิดความรู้สึกไม่ค่อยพอใจโยม จึงพูดจาตักเตือนต่อว่าโยมนั้นด้วยถ้อยคำที่ค่อนข้างรุนแรงทีเดียว
ชายหนุ่มเมื่อได้ยินสามเณรพูดอย่างนั้น แทนที่จะสำนึกผิดว่า เราไม่น่าจะไปแกล้งท่านเลย กลับรู้สึกขุ่นมัวโมโหว่า สามเณรตัวน้อยนี้ ปากดีเหลือเกิน ตอนแรกเห็นนึกเอ็นดู แต่เมื่อถูกต่อว่าก็กลับรู้สึกไม่พอใจ ทั้ง ๆ ที่ตนเองเป็นฝ่ายผิด ด้วยความโกรธที่พลุ่งพล่าน จึงปรี่เข้าไปตบหูสามเณร ๒-๓ ที
เมื่อความโกรธทุเลาลง ค่อยรู้สึกสำนึกผิดขึ้นมาบ้าง จึงช่วยสามเณรให้ขึ้นฝั่ง แต่ก็ไม่ได้กล่าวคำขอขมาแต่อย่างใด ชายหนุ่มท่านนั้นเมื่อละจากอัตภาพนั้น ก็ท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิดด้วยความทุกข์อยู่ในวัฏสงสารเป็นเวลายาวนาน เมื่อมาถึงในสมัยพุทธกาล ได้มาเกิดมาเป็นมนุษย์ในหมู่ลิจฉวีกุมาร มีชื่อว่า สุนักขัตตลิจฉวี
เมื่อเติบใหญ่ขึ้น มีโอกาสฟังธรรมเทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใสในพระธรรมเทศนา จึงทูลขอบรรพชา อุปสมบทในสำนักของพระบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้ทราบว่า ในอนาคต ภิกษุรูปนี้จะไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพานอะไร แต่ทรงอาศัยมหากรุณาธิคุณอันไม่มีประมาณ จึงตรัสบอกกัมมัฏฐานในส่วนของสมถภาวนา ในไม่ช้าก็ได้สำเร็จฌานสมาบัติ และได้บรรลุทิพพจักษุอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เพราะพระบรมศาสดาได้ประทานอุบายวิธีอันแยบยลให้ท่าน
เมื่อสุนักขัตตลิจฉวีภิกษุใหม่ ได้บรรลุคุณวิเศษเบื้องต้นอย่างนั้น ก็ดีอกดีใจที่ตนได้ตาทิพย์ซึ่งอยู่ในขั้นโลกิยอภิญญา ต่อมาอยากได้ทิพพโสตคือมีหูทิพย์ จึงเข้าไปเฝ้าทูลขอกัมมัฏฐานที่จะให้ได้บรรลุทิพพโสต พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นด้วยพุทธญาณว่า ภิกษุรูปนี้ จะไม่ได้ทิพพโสต เพราะมีอุปปีฬกกรรมมาเบียดเบียน เนื่องจากอดีตชาติเคยตบหูสามเณรด้วยอำนาจแห่งโทสะ
กรรมนั้นจะถูกอุปปีฬกกรรมมาเบียดเบียน มิให้ท่านได้บรรลุทิพพโสตอภิญญาแน่นอน เพราะพลั้งพลาดไปตบหูสามเณร ผลกรรมยังไม่สูญหายไปไหน คอยหาช่องส่งผลอยู่ตลอดเวลา เมื่อได้ช่องก็เปิดมาใช้ พระองค์ทรงทราบอย่างนี้แล้วจึงทรงประทานแต่บริกรรมภาวนา ไม่ได้ประทานวิธีให้ได้หูทิพย์
สุนักขัตตลิจฉวีภิกษุนั้น กำลังดีอกดีใจที่ตนเองได้ทิพพจักษุ เมื่อได้บริกรรมภาวนาในส่วนของทิพพโสต จึงหมั่นทำอยู่อย่างสม่ำเสมอ แม้จะพยายามบริกรรมภาวนาเท่าไร แต่อุปปีฬกรรมฝ่ายอกุศลเข้ามากางกั้นทำให้ไม่ได้บรรลุทิพพโสต ท่านทำความเพียรอยู่ถึง ๓ ปี ก็ยังไม่บรรลุตามที่ตนเองตั้งใจ จึงเกิดความสงสัยลังเลในตัวพระพุทธองค์ว่าท่านคงไม่รู้จริง คงรู้เพียงทิพพจักษุอภิญญาเท่านั้น เพราะเราทำมา ๓ ปีแล้ว ยังไม่เห็นผลอะไรเลย พระองค์ก็ไม่บอกอะไรเพิ่มเติมอีก
ในใจจึงเกิดความเบื่อหน่ายในสมณเพศ อุปปีฬกกรรมก็บังคับให้ตัวท่านเกิดความคิดที่ไม่ดีเพิ่มขึ้นอีกว่า คงไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ที่เราจะบวชอยู่อย่างนี้ สู้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นดีกว่า เผื่อว่าจะได้บรรลุธรรมอย่างอื่นบ้าง
จะเห็นได้ว่า ชีวิตคนเรามาพบเจอขุมเพชรกองเป็นภูเขา กลับมองเห็นเป็นก้อนกรวด แม้มีตา แต่ถ้าใจบอด ก็เป็นคนมือบอดอยู่นั่นเอง ไม่มีทางบรรลุมรรคผลนิพพานได้เลย เหมือนภิกษุรูปนี้
เมื่อเกิดความรู้สึกอย่างนี้ จึงลาสิกขาไปเป็นคฤหัสถ์ เที่ยวแสวงหาอาจารย์ใหม่ กลับไปได้นิครนถนาฏบุตรนักบวชนอกพระพุทธศาสนาเป็นอาจารย์ ซึ่งตัวเองเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่แล้ว ไปได้ครูที่เป็นมิจฉาทิฏฐิอีก ก็ทำให้ใจบอดมากยิ่งขึ้น เมื่อสิ้นชีวิต จึงได้ไปบังเกิดในนรก ก็ด้วยอำนาจของอุปปีฬกกรรมฝ่ายอกุศลที่เข้าไปเบียดเบียนบังคับให้เห็นผิด จึงทำลายโอกาสที่ดีๆในชีวิตไป
เบื้องหลังของชีวิตเรามีอะไรที่ลึกซึ้งซับซ้อนมากมายนัก อย่าได้ประมาทกัน ใช้ดวงปัญญาให้มากก่อนที่จะตัดสินใจอะไรผิดๆลงไป เพราะถ้าพลาดแล้วก็พลาดไปทั้งชีวิตเลย เรื่องของกรรมเป็นเรื่องลี้ลับ แต่เป็นความลับที่เราสามารถรู้ได้ด้วยวิชชาธรรมกาย ซึ่งเป็นความรู้ที่แท้จริง คือยิ่งรู้ก็ยิ่งแจ่มแจ้ง ยิ่งมีความบริสุทธิ์ มีความสุข เราจะได้เรียนรู้เรื่องราวของชีวิตของตัวเรา และสรรพสัตว์ทั้งหลาย เอาไว้ให้พวกเราเห็นธรรมะใสๆได้เข้าถึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระธรรมกาย
ถึงเวลานั้นเราจะได้ไปศึกษาวิชชาธรรมกายด้วยกันและจะได้ไปดูกันให้ชัดๆว่า อุปปีฬกกรรม ที่หลวงพ่อว่านั้นมันเป็นอย่างไรและคอยกำกับชีวิตของเราอย่างไร แล้วเราจะได้เห็นอีกว่ายังมีเบื้องหลังของกรรมชนิดนี้อีกไหม เบื้องหลังของอุปปีฬกกรรมนั้นมันคืออะไร นี่แหละคือความรู้ที่สักวันหนึ่งเราจะต้องศึกษากันให้ได้
อ้างอิงจาก หนังสือกรรมทีปนี(พระพรหมโมลี)
โฆษณา