24 ธ.ค. 2022 เวลา 09:00 • การศึกษา
เปรตฝากมาบอก......"ให้ทำบุญ"
พระรัตนตรัยเป็นสรณะอันเกษม ประกอบด้วย พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ รัตนะทั้ง ๓ ประการนี้เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา และเป็นที่พึ่งที่ระลึกของชาวโลกตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลาย
มนุษยชาติที่เกิดมาต่างก็แสวงหาที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดนี้ ผู้ที่ได้เข้าถึงพระรัตนตรัย เห็นพระธรรมกายที่ชัดใสแจ่มอยู่ที่ศูนย์กลางกายภายในตน ได้ชื่อว่าเป็นผู้ประสบความสุขและความสำเร็จในชีวิต ได้บรรลุเป้าหมายของการเกิดมาเป็นมนุษย์ในระดับหนึ่ง ดังเช่นที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านเข้าถึงกายธรรมอรหัต ได้บรรลุเป้าหมายอันสูงสุดของชีวิตแล้ว
มีธรรมภาษิตที่มาใน ทสกนิบาต ว่า…
“กุลบุตรเมื่อหวนระลึกถึงว่า คนโน้นเคยให้ทรัพย์หรือให้อาหารแก่เรา คนโน้นได้พยายามทำกิจอย่างนี้แก่เรา คนโน้นชื่อว่าเป็นญาติ เพราะเกี่ยวพันกันทางฝ่ายมารดาหรือบิดาของเรา คนโน้นชื่อว่าเป็นมิตร เพราะเคยคบหากันด้วยอำนาจความสิเน่หา คนโน้นชื่อว่าเป็นสหายเพื่อนเล่นฝุ่นด้วยกันของเรา จึงพึงให้ทักษิณา คือพึงทำทานอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเหล่านั้น”
การทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนที่ละโลกไปแล้ว เป็นบุญอย่างหนึ่งในบรรดาการทำพลีกรรม ๕ อย่างในทางพระพุทธศาสนา ที่พระบรมศาสดาทรงแนะนำเอาไว้ว่า เมื่อมีความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตในระดับหนึ่ง สิ่งที่ต้องทำให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปคือ ญาติพลี คือสงเคราะห์ญาติพี่น้อง อติถิพลี คือทำการต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมเยียนให้ดี ให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นในมิตรภาพอันดีงาม
เมื่อเขาจากไปแล้วจะได้คิดถึง ทำ ราชพลี คือเมื่อทำธุรกิจมีรายได้ขึ้นมาแล้ว ก็ให้เสียภาษีอากรต่อแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่ เพื่อรัฐจะได้มีเงินทุนหมุนเวียนในการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรือง เทวตาพลี คือทำบุญอุทิศให้เทวดาทั้งหลาย จะเป็นเทวดาประจำบ้าน หรือเทวดาประจำเมืองก็ดี เขาจะลงปกปักรักษาเราและครอบครัวให้อยู่เย็นเป็นสุข
โดยเฉพาะการทำ ปุพพเปตพลี คือทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เพราะชีวิตหลังความตายของหมู่ญาติที่จากไปนั้น เมื่อเรายังเข้าไม่ถึงธรรมกายภายใน ก็ยังไม่รู้ว่าหมู่ญาติเหล่านั้นไปบังเกิดที่ไหน เพื่อความมั่นใจว่า หมู่ญาติของเราจะได้มีสุคติโลกสวรรค์เป็นที่ไป ก็ควรทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้คนเหล่านั้น
เหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยก่อน มีหญิงงามเมืองผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งชื่อ เสรินี นางอาศัยอยู่ในเมืองหัตถินีบุรี แคว้นกุรุรัฐ เป็นหญิงสาวที่มีความงาม นางอาศัยความเป็นผู้มีรูปร่างหน้าตาสวยงามเลี้ยงชีวิต รํ่ารวยจนเป็นเศรษฐีนีผู้มีทรัพย์สินเงินทองมาก สมัยนั้น มีพระภิกษุสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเที่ยวจาริกแสวงหาที่วิเวกและเผยแผ่ธรรมะแก่มหาชนผู้มีบุญตามที่ต่าง ๆ เมื่อเดินทางมาถึงเมืองหัตถินี ก็ปักกลดอยู่ธุดงค์และร่วมกันลงอุโบสถในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ
ชาวเมืองหัตถินีเห็นว่ามีพระภิกษุสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญมาโปรดถึงที่ ก็ชักชวนกันตระเตรียมอาหารหวานคาว น้ำปานะต่าง ๆ เพื่อน้อมนำเข้าไปถวายพระเป็นสังฆทาน มหาชนเห็นว่า นาน ๆ จะมีพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่จาริกมาโปรดถึงบ้าน จึงอาราธนาให้ปักกลดอยู่ธุดงค์ที่เมืองหัตถินี ต่ออีก ๑๕ วัน เพื่อว่าพวกตนจะถวายมหาทานบารมี บำเพ็ญหนทางไปสู่สวรรค์และนิพพาน
พระภิกษุสงฆ์เห็นว่าชาวเมืองเป็นผู้มีศรัทธา จึงรับอาราธนาที่จะอยู่ปฏิบัติธรรมที่นั่นต่ออีก ๑๕ วัน ชาวเมืองเห็นว่า หญิงโสเภณีชื่อเสรินี เป็นคนมีเงินทองมาก และนางได้ประพฤติผิดศีลข้อ ๓ เป็นประจำ จึงอยากให้นางมาเอาบุญถวายสังฆทานบ้าง จะได้มีที่พึ่งสำหรับตน
แต่เนื่องจากนางเป็นคนไม่มีศรัทธา แถมยังถูกความตระหนี่ครอบงำ แม้ชาวเมืองจะบอกบุญนางอย่างไรก็ไม่เชื่อ แล้วยังประกาศยืนยันความไม่เลื่อมใสให้ชาวเมืองรู้ว่า “ตนไม่ทำทานหรอก เพราะทานที่ให้พวกสมณะโล้น จะมีประโยชน์อะไรเล่า ให้สิ่งของไปแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะช่วยให้เรารํ่ารวยขึ้นมาได้”
เมื่อไม่สามารถทำหน้าที่กัลยาณมิตรบอกทางสวรรค์ให้กับนางได้ ก็พากันวางเฉย ต่อมาเมื่อนางป่วยและเสียชีวิตลง แล้วไปบังเกิดเป็นเปรตชีเปลือยที่คูน้ำแห่งหนึ่งในชนบท ไม่มีอาหารหรือน้ำบังเกิดขึ้นแก่นาง ต้องเที่ยวแสวงหาเศษอาหารที่คนใจบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้หมู่ญาติของตน รวมไปถึงสรรพสัตว์ทั้งหลาย แต่ก็เป็นเพียงเศษบุญเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ดังนั้นนางจึงไม่เคยได้รับความอิ่มหนำจากการอุทิศส่วนกุศลของคนเหล่านั้นเลย
ต่อมา มีอุบาสกชาวเมืองหัตถินีคนหนึ่งไปทำการค้าขายอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนั้น เวลาใกล้รุ่ง อุบาสกได้เดินไปหลังคูเพื่อทำสรีระกิจของตนเอง นางเห็นอุบาสกซึ่งเป็นชาวเมืองหัตถินีก็จำเขาได้ ตั้งใจจะเข้าไปขอความช่วยเหลือจากอุบาสกท่านนั้น จึงปรากฏกายเป็นเปรตชีเปลือย มีร่างกายเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก ตัวสูงใหญ่เท่าลำตาล น่าสะพรึงกลัว ได้ยืนแสดงตนอยู่ในที่ไม่ไกลจากอุบาสกนั้น
อุบาสกเห็นนางแล้ว ก็ไม่ได้ตกใจกลัวอะไร เพราะเชื่อมั่นในศีลของตัวเอง จึงตะโกนถามออกไปว่า “ท่านเปลือยกาย มีรูปพรรณน่าเกลียด สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ซูบผอมจนเห็นแต่ซี่โครง ท่านเป็นใครหนอ มายืนอยู่ที่นี่ทำไม” เปรตได้บอกอุบาสกว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเปรต ตกทุกข์ได้ยากเกิดในเปตโลก เพราะทำบาปอกุศลเอาไว้ ขอท่านได้โปรดช่วยดิฉันให้พ้นจากอัตภาพของเปรตด้วยเถิด”
นางได้พรรณนาความทุกข์ให้ฟังว่า “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ในสมัยเป็นมนุษย์ ดิฉันมีสมบัติมากมาย แต่เพราะอาศัยความตระหนี่มัวเมาในทรัพย์ ไม่ต้องการให้สมบัติที่หามาได้พร่องไป จึงไม่ได้ทำเสบียงในการเดินทางข้ามภพข้ามชาติให้กับตนเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังด่าบริภาษพระสงฆ์ผู้เป็นเนื้อนาบุญอีกด้วย
เพราะฉะนั้นเมื่อดิฉันกระหายน้ำ เดินลงไปริมฝั่งแม่น้ำ แม่น้ำที่กว้างใหญ่กลับว่างเปล่าต่อหน้าต่อตา ในเวลาร้อน ดิฉันเข้าไปหลบอยู่ใต้ร่มไม้ ร่มไม้กลับกลายเป็นแดดแผดร้อนเผาผิวกายของดิฉัน ทั้งลมก็กลับกลายเป็นเปลวไฟ เผาร่างของดิฉันจนกลายเป็นเถ้าถ่าน ตายแล้วก็กลับมาเกิดเป็นเปรตใหม่รับกรรมอันแสบร้อนอยู่อย่างนี้เรื่อยไป”
อุบาสกได้ยินเช่นนั้น บังเกิดความสงสารนางยิ่งนัก ถามว่าจะให้ช่วยเหลืออย่างไร นางถึงจะพ้นจากอัตภาพของเปรตที่น่าเกลียดน่ากลัวที่สุดแสนจะทรมานเช่นนั้น เปรตชีเปลือยก็บอกว่า “หากท่านไปถึงหัตถินีนครแล้วช่วยบอกมารดาของดิฉันว่า ลูกของนาง กำลังได้รับความทุกข์ทรมานในเปตโลกเหลือเกิน ทรัพย์ที่มีอยู่ ๔๐๐,๐๐๐ กหาปณะ ได้ซ่อนไว้ภายใต้เตียง ไม่ได้บอกแก่ใคร ๆ เลย ขอให้มารดาเอาทรัพย์นั้นมาทำทานถวายแด่ภิกษุสงฆ์เถิด
ครั้นถวายสังฆทานแล้ว ขอจงอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลมาให้ดิฉันบ้าง ดิฉันจะได้พ้นจากเปตโลกนี้” อุบาสกก็รับปากด้วยความสงสาร
เมื่อเสร็จภารกิจจากการค้าขายในช่วงสาย ก็รีบออกเดินทางกลับไปหัตถินีนคร แล้วก็บอกเรื่องราวที่ตนเองพบกับเปรตให้มารดาของนางฟัง มารดาของนางได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็ไปดูสมบัติที่เปรตฝากมาบอก เห็นทรัพย์ ๔ แสนกหาปณะจริงตามที่บอกทุกอย่าง ก็รีบนำมาจัดแจงทำบุญ เตรียมอาหารและไทยธรรม นำไปถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์
จากนั้นก็อุทิศส่วนกุศลไปให้นาง ทันทีที่มารดาอุทิศส่วนกุศลไปให้ลูกสาว เปรตนั้นก็ได้อัตภาพเป็นทิพย์ มีทิพยสมบัติมากมายบังเกิดขึ้น
คืนนั้นนางมาปรากฏกายให้มารดาเห็น เป็นเทพธิดาที่มีรัศมีกายสว่างไสว บอกให้รู้ว่าตนเองได้รับบุญที่มารดาอุทิศไปให้แล้ว ฝ่ายมารดาเมื่อรู้ว่าลูกสาวได้พ้นจากอัตภาพของเปรตไปเป็นเทพธิดาแล้ว ก็ปีติยินดีเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น จึงนำทรัพย์ของลูกสาวที่เหลืออยู่นั้น ออกให้ทานทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ลูกสาวเป็นประจำ แล้วก็ตั้งใจรักษาศีล นั่งสมาธิเจริญภาวนาจนตลอดอายุขัย ครั้นละโลกไปแล้วก็ได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
จะเห็นได้ว่า ความตระหนี่เป็นภัยแก่ชีวิตของเราในปรโลก ทำให้ต้องไปบังเกิดเป็นเปรต แล้วการทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปถึงหมู่ญาติที่ล่วงลับไปแล้วนั้น มีผลถึงหมู่ญาติที่ล่วงลับไปแล้วจริง ๆ ซึ่ง การทำปุพพเปตพลีจะถึงหมู่ญาติหรือไม่นั้น มีเหตุปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน
ตั้งแต่ต้องทำบุญถูกเนื้อนาบุญ และผู้ที่ล่วงลับไปแล้วต้องอยู่ในสถานภาพที่พอจะรับได้ เช่นเป็นปรทัตตูปชีวีเปรต เป็นอมนุษย์ เป็นกายสัมภเวสี หรือเป็นเทวดา ถ้าเป็นสัตว์นรกก็ต้องรอจนกว่าจะพ้นกรรมจากตรงนั้นเสียก่อน จึงจะมีโอกาสมารับบุญจากหมู่ญาติที่อุทิศไปให้ได้
เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว เราอย่าได้ประมาทหรือตระหนี่กัน ให้เร่งรีบสั่งสมบุญให้กับตนเองให้เต็มที่ ก่อนที่จะหมดเวลาบนโลกมนุษย์ เอาบุญนี้ไปกลั่นเป็นสวรรค์สมบัติและนิพพานสมบัติให้กับตนเอง ทำอย่างนี้ชีวิตจึงจะปลอดภัยและเป็นชีวิตที่มีคุณค่าสมกับได้โอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง
จากหนังสือธรรมะเพื่อประชาชน ฉบับผลของบาป หน้า ๓๖๖ – ๓๗๕
อ้างอิง.......พระไตรปิฎก ฉบับมหามกุฏฯ (ภาษาไทย)
เล่ม ๔๙ หน้า ๔๑๓
2
โฆษณา