30 พ.ย. 2022 เวลา 08:02
รีวิว ชีวิต วัย 25 ปี
ไม่อยากตื่น เพราะไม่มีฝัน ถ้าไม่ตื่น เราก็ยังฝันอยู่
เราในวันนี้ กับเราใน 5 เดือนที่แล้ว
ก็คือ เราในวันที่อายุ 25 เต็ม กับ วันที่ 25 ปี 5 เดือน
มันช่างต่างกันมาก เราวันที่ 25 ปีเต็ม มีความฝัน มีเป้าหมาย
มีแรงผลักดันจากภายในอย่างเต็มเปี่ยม อยากเรียนรู้นู้น
อยากเรียนรู้นี่ แต่พอเวลาผ่านไป เราคนเดิม แต่กาลเวลาเปลี่ยนไป
ทำให้เราคนเดิมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เราในวัย 25 ปีเต็ม คนนั้น
ตอนนี้มันไม่มีแล้ว เราไม่มีความฝันแล้ว เราไม่รู้จะตื่นมาแล้วทำอะไร
ไม่สิ เรารู้ว่าเราต้องทำอะไร แต่เราไม่อยากทำ เราเลยไม่อยากตื่น
เพราะถ้าไม่ตื่นเราก็มีฝันอยู่
ทำไมเวลาผ่านไปแปปเดี๋ยว แต่ความคิดเรากลับเปลี่ยนไปมหาศาล
ดังนั้นบทเรียนที่ 1 ของวัย 25 ปี คือ ความไม่แน่นอน
ไม่ใช่แค่ความไม่แน่นอนไม่หน้าที่การงาน การเงิน
แต่ความไม่แน่นอนก็เกิดขึ้นในความคิดของเราเช่นกัน
แล้วความคิดเราเปลี่ยนไปตอนไหน ทำไมมันถึงเปลี่ยน
ตั้งแต่สมัยเรียนเรามีแนวคิด เรื่องลองผิด มาเสมอ
เราอยากใช้ชีวิต ลองผิดให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้รู้ว่า
อะไรที่เหมาะสมกับ ความเป็นเราจริงๆ
ณ ช่วงวัยเรียน การลองผิด ลองถูก มันก็ดีเสมอมา
เจอสิ่งที่ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ก็ยอมรับได้
เจอสิ่งสมหวัง ผิดหวัง ก็ผ่านมันมาได้
ไม่เคยรู้สึกว่ามันเป็นปัญหาใหญ่ที่กระทบความฝันของเรา
แปลก พอเข้าสู่ช่วงวัยทำงาน
ความผิดหวัง กลับเป็นตัวแปรที่ยิ่งใหญ่
ที่ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือน จนรากเหง้า
ของความคิด รากเหง้าของปัญหา ในความเป็นเรา
ที่ถูกฝังกลบไว้แน่น กระเด็นออกมา
เราคนที่เคยร่าเริง สดใส มองโลกในแง่ดี
กลับกลายเป็นคนที่เป็นความรู้สึก เงียบงำ
ทำหน้านิ่ง ไม่พูดคุยกับใคร
เราก็ไม่รู้หรอกว่า เราเป็นอะไร หรือเรารู้แต่ยังไม่ยอมรับ
และคิดแค่ว่า นั้นคือวิธีแก้ปัญหา และเราต้องอดทน
เห็นคนชอบพูดกันว่า ความสำเร็จเกิดจากความอดทน
(เหรอ?) วันก่อนเราเห็นข่าวนะ อดทนจนต้องฆ่าตัวตาย
เรื่องทั้งหมดนี้มันเกิดขึ้นเพราะ เราย้ายงาน
เราย้ายงานเพราะหวังว่า เราจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
และต่อยอดกับอาชีพในอนาคตของตัวเองได้
เราย้ายงาน เพราะอยากลองทำงานกับคนรุ่นเดียวกันบ้าง
ตั้งแต่จบมาก็ทำงานกับผู้ใหญ่มาตลอด
อยากรู้ว่า เราอยู่ระดับไหนกับเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เราย้ายงานเพราะหวังว่าจะได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี
เจอสังคมที่ทำให้ต่อยอดความคิด และพัฒนาตัวเองได้มากขึ้น
และแล้วชีวิตก็ได้ลองผิดจริงๆ ที่ทำงานใหม่กับที่ทำงานเก่า
คือ หน้ามือ กับ หลังเท้า
สภาพสังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมต่างกัน
ราวกับฟ้ากับเหว
ที่ทำงานใหม่บอกว่า เราต้องการ ความรู้ ความคิด วิธีการใหม่ๆ
แต่คำพูดที่ประกาศขาย กับข้อเท็จจริงมันต่างกัน
องค์กรนั้นใช้แต่ข้อมูลเดิมๆ วิธีคิดเดิมๆ บังคับเรียนในแพลตฟอร์ม
ที่ตัวเองสร้างขึ้นเท่านั้น ทุกอย่างต้องใช้บนแพลตฟอร์มที่บริษัทสร้างขึ้น
พูดจาก็เดิมๆ คนในองค์กรพูดจาเหมือนๆกัน อย่างกับหุ่นยนต์
ที่ถูกฝังซอฟแวร์จากบริษัทไว้ทั้งหมด
คำถามคือ อะไรคือใหม่?
นี่ก็เป็น 1 สิ่งที่เรารู้สึกโดนกดทางความคิดอย่างที่สุด
และไม่คิดว่าวัฒนธรรมแบบนี้จะส่งผลกระทบอย่างใหญ่มาก
ต่อชีวิตของเรา คือ เราไม่กล้าคิดอะไรเป็นของตัวเอง
เรากลัว เรากลัวว่าเราคิดแล้วจะทำไม่ได้
เรากลัวว่าความคิดเรามันจะไม่ดีพอ
มันทำให้เราคิดอะไรไม่เป็น
มันไม่ใช่แค่ความกลัว แต่มันผสมความวิตกกังวล
ดังนั้นความผิดหวังจึงเริ่มขึ้น
ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ได้ตระหนักรู้ถึงภาวะอารมณ์ของตัวเอง
จนเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องไปหาหมอ
เพราะอาการชาหัว เหมือนเลือดไม่ไปเลี้ยงที่ศีรษะ
จนทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับหลายคืนและไม่มีท่าที
ว่าจะหายไป เราเคยเกิดอาการแบบนี้แล้วตั้งแต่สมัยมหาลัย
แต่ทุกครั้งที่เป็น มันก็จะหายไป แต่ครั้งนี้ต่างออกไป
มันไม่มีท่าทีว่าจะหายเลย
เลยตัดสินใจไปหาหมอประสาท
ผลการวินิจฉัยครั้งแรก คือ ออฟฟิศซินโดรม
แต่พอเวลาผ่านไปเราสังเกตว่าถ้าเราไม่กินยา
อาการนั้นมันก็ยังมีอยู่
เราเลยสงสัยว่ายาที่ให้คือ ยาอะไร
แล้วก็พบว่า มันคือ ยาแก้เครียด คลายวิตกกังกล
ซึ่งยาพวกนี้มีผลกระทบมากมาย
ถ้าหยุดยาอย่างไม่ถูกต้อง
อ้าวไหนบอกว่าเป็น ออฟฟิศวินโดรม
ทำไมต้องกินยาแก้เครียด
ก็เลยถามหมอ หมอเลยบอกว่า
เราเป็นโรคเครียด
ทำไมไม่บอกแต่แรก
เราก็เลยกลับมานั่งเครียดอีก
ว่าเราเครียดอะไรว่ะ มีอะไรให้เครียด
(ยังๆ ยังไม่รู้ตัว 555+)
แล้วอาการมันก็ไม่ดีขึ้นเหมือนต้องกินยาไปเรื่อยๆ
บวกกับสิ่งแวดล้อมที่เราอยู่ ณ ที่นั้น
เราต้องอยู่โรงแรมกับทีมที่บริษัทจัดให้ตลอดเวลา
เพราะเป็นฐานต่างจังหวัด เรารู้สึกว่ามัน toxic มากๆๆๆๆๆ
เราต้องมารับรู้เรื่องคนอื่น ซึ่งเป็นเรื่องลบๆตลอดเวลา
ไม่รู้สิ เรายอมรับเรื่องพวกนี้ไม่ได้หรอกนะ
เราอาจไม่ได้ถูกฝึกให้รับภูมิคุ้มกันในด้านนี้มา
ที่สำคัญเราไม่อยากรับรู้ด้วย
เราไม่อยากฟังใครดี ไม่ดียังไง
เราอยากคุยเรื่องพัฒนาตัวเอง เรื่องความรู้มากกว่า
แบบสังคมที่เราเคยเจอมา
ความผิดหวังครั้งที่ 2 คือ ความผิดหวัง
บทเรียนที่ได้ การรู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเอง
พอเวลาผ่านไป เรายอมรับได้ว่าเราอยู่ในภาวะเครียด
ถึงก่อนหน้านั้น เราจะไม่ยอมรับมัน
ใช่ เรายอมรับและรับรู้
แต่เราก็ยังไม่รู้วิธีแก้ปัญหาอยู่ดี
มีคนถามเราว่า เมื่อรู้ว่าตัวเองเครียด
แก้ปัญหามันยังไง เอาตรงๆนะ เราไม่รู้โว้ย
เรารู้แค่ ยอมรับอารมณ์ ยอมรับว่าตัวเองเครียด
เรารู้แค่นั้น และเราก็ไม่อยากอยู่ในสภาพแวดล้อมลบๆ
แบบนี้ เราเลยตัดสินใจลาออก (555+)
ทั้งๆ ที่ไปทำงานได้ 3 เดือน
ปกติเราก็ลาออกบ่อยนะ
จบมา 2 ปี ก็ทำงานมาแล้ว 4 ที่
แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป
เรารู้สึกกลัว เรารู้สึกวิตกกังวล
ไม่มีความฝัน ไม่มีเป้าหมาย
ไม่รู้จะทำไรต่อดี
คิดถึงแต่อดีตเก่าๆ วนซ้ำไปซ้ำมา
ตามหลอกหลอน เหมือนเจ้ากรรมนายเวรไม่ผิด
การลองผิดครั้งนี้ไม่สนุก และไม่ตลกเลย
การลองผิดในวัยผู้ใหญ่ นี่มัน....
บทเรียนที่ 3 what if
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะแก้ไขอะไร?
ถ้าช่วงวัยเรียน เราตอบคำถามนี้ได้เร็วมาก
เราไม่อยากแก้ไขอะไรเลย เราจะเลือกเหมือนเดิม
เพราะทุกครั้งที่เลือก เราเลือกมันด้วยตัวของเราเอง
แต่ ณ ตอนนี้มันเปลี่ยนไป
อาการสับสน วิตกกังวล กำลังเล่นงานเราอย่างจัง
ถ้าย้อนกลับไปเราจะย้ายที่ทำงานมั้ย
เรารู้สึกตัวเองตัดสินใจผิดครั้งแรกในชีวิต
เรารู้สึกว่าการตัดสินใจผิดครั้งนี้
ทำให้ตึกที่เราพยายามสร้างมันมาตลอดพังทลาย
ลงเป็นผุยผงและหายวับไปกับตา
และเรายังมองไม่เห็นทางว่าจะกอบกู้มันกลับมายังไง
เราเลยบอกกับพ่อว่า ทำไมหนูใน 5 เดือนที่แล้ว
กับหนูในวันนี้ต่างกันจัง
5 เดือนที่แล้วยังมีความฝันอยู่เลย
แต่ทำไมตอนนี้มันหายไปแล้ว
พ่อกลับบอกว่า ตอนนี้ยังไม่มี เดี๋ยวมันก็มีใหม่ได้
ใช่ เดี๋ยวมันก็มีใหม่ได้
ตอนนี้เราก็ยังไม่มีความฝันหรอกนะ
เราเลยไม่อยากตื่น เพราะทุกครั้งที่เราหลับ
เราได้ฝัน แต่เมื่อตื่นขึ้น ความฝันก็หายไป
ดังนั้น ถ้าให้เราย้อนเวลากลับไป ตอนนี้เราจะตอบว่า
เราไม่แก้ไขอะไร เพราะถ้าเรากลับไป เราก็จะทำเหมือนเดิม
บทเรียนที่ 4 พอใจกับอดีต มีความสุขกับปัจจุบัน
อดีต คือ เรื่องที่ผ่านมาแล้ว และหล่อหลอมให้เราเป็นเรา
ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะดีหรือแย่ยังไงเราก็ผ่านมันมาได้
จงพอใจกับมัน
ส่วนปัจจุบันเรามีความสุขมั้ย?
ถ้ามีความสุขก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆ
แต่ถ้าทุกข์ มีอะไรทำให้เรามีความสุขได้บ้าง
ความทุกข์นั่นแก้ปัญหาได้ยังไง
ความทุกข์นั่นเรายอมรับได้มั้ย
ถ้าเราแก้ไม่ได้ ใครช่วยเราแก้ได้บ้าง
ลองฝึกลมหายใจ ดูมั้ย
ลองอ่านหนังสือเรื่องอารมณ์ดูมั้ย
หรือฟัง Podcast ดี
อนาคตเป็นไงไม่รู้ อย่าเพิ่งสนใจมัน
เอาปัจจุบันเราให้ดีพอ
To Kanoon (Note to Self)
โฆษณา