1 ธ.ค. 2022 เวลา 10:40 • หุ้น & เศรษฐกิจ
iiG ปรับกลยุทธ์การเติบโต เพิ่มอัตรากำไรสุทธิ ลดเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน เผยข่าวดีขยายธุรกิจสู่ CLMV มั่นใจรายได้ปี 66 พุ่ง 1,400 ล้าน
iiG ตั้งเป้ารายได้ปี 66 New High โต 60% แตะ 1,400 ล้านบาท พร้อมปรับกลยุทธ์เพิ่มอัตรากำไรสุทธิ และลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
รุกขยายธุรกิจ CLMV เจรจาปิดดีล M&A เพิ่มต้นปีหน้า ตอกย้ำความเป็นผู้นำที่ปรึกษาด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีชั้นนำของไทย มั่นใจรายได้ปีนี้ แตะ 900-950 ล้าน
บริษัท ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป (มหาชน) หรือ iiG ที่ปรึกษาด้านดิจิทัลและเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศไทย เผยแผนพัฒนาธุรกิจปี 2566 เพิ่มขีดความสามารถในการทำไร (Net Profit Margin) จากการบริหารโครงการ
มั่นใจรายได้กว่า 1,400 ล้านบาท ในปี 2566 และ 2,000 ล้านบาทในปี 2567 ขณะที่ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปีนี้ยังแข็งแกร่ง โดยรายได้รวมและกำไรสุทธิยังสามารถทำสถิติ New High อย่างต่อเนื่อง
2
แม้ว่าอัตรากำไรสุทธิในไตรมาส 3 จะปรับตัวลดลงจากอัตราแลกเปลี่ยน และต้นทุนการจ้างงานบริษัทภายนอก (Cost of Outsourcing)
สมชาย เมฆะสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร iiG กล่าวว่า “iiG ตระหนักถึงความสำคัญที่จะต้องเพิ่มอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) โดยมีแผนดำเนินการในหลายด้านเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร ซึ่งไตรมาส 3 ของปีนี้น่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้ว และจะฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ระดับ 11-12% ในไตรมาสสุดท้าย”
1
ทั้งนี้ iiG ได้มีแผนขยายโครงสร้างการบริหารงานภายใน โดยจะมีการแต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ หรือ COO (Chief Operating Officer) คนใหม่
ซึ่งจะเข้ามาดูแลรับผิดชอบงานด้านการบริการที่ปรึกษา ออกแบบ และติดตั้งระบบ ในขณะที่ประธานเจ้าหน้าฝ่ายเทคโนโลยี หรือ CTO (Chief Technical Officer) จะดูแลงานด้านเทคโนโลยี พาร์ทเนอร์ และด้านการขาย เพื่อให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขณะเดียวกัน iiG เร่งแก้ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรด้าน IT ซึ่งมาจากหลายปัจจัย เช่น พฤติกรรมของพนักงานที่เปลี่ยนแปลงไป ความคาดหวังของพนักงาน รวมไปถึงการแย่งชิงบุคลากรในอุตสาหกรรมด้วย
โดยบริษัทมีแผนการพัฒนางานด้าน Human Resource Development (HRD) นำโดย Chief People Officer ของบริษัท เพื่อพัฒนาศักยภาพและสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงาน (Engagement) ซึ่งจะนำไปสู่เป้าหมายการเพิ่มความสามารถในการทำงาน และ Productivity
อีกกลยุทธ์ที่สำคัญมาก คือ การที่บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้า เพื่อเปลี่ยนแปลงสกุลเงินในการให้บริการใบอนุญาตการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Subscription) จากสกุลเงินบาทมาเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐทั้งหมด
ทั้งสัญญาใหม่ และการต่อสัญญาเดิม เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนมาก
โดย iiG ได้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐบ้างแล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนของบริษัทที่ต้องจ่ายให้กับบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์ในต่างประเทศ ซึ่งจากการพูดคุยลูกค้าส่วนใหญ่เข้าใจและยอมรับว่าเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้
นอกจากนี้ iiG ยังเดินหน้าขยายพันธมิตรธุรกิจทั้งในรูปแบบการควบรวมกิจการ (Merger & Acquisition) และกิจการร่วมค้า (Joint Ventures) หลังจากล่าสุดได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อเข้าซื้อกิจการกลุ่มบริษัท แลนซิ่ง บิสสิเนส ซิสเต็มส์ จำกัด
โดยบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทพันธมิตร โดยเน้นธุรกิจที่มีอัตรากำไรสุทธิ 13-14% และมีเป้าหมายขยายธุรกิจไปยังประเทศในกลุ่ม CLMV (Cambodia, Lao, Myanmar, Vietnam) ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้
มั่นใจว่า ปี 2566 iiG จะสามารถทำสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าปี 66 จะมีรายได้มากกว่า 1,400 ล้าน เป้าการเติบโตบริษัทมองแบบ Conservative ซึ่งคิดว่ายังมีความสามารถในการเติบโตมากกว่านี้
1
โดยส่วนหนึ่งมาจากรายได้ของบริษัท แลนซิ่ง บิสสิเนส ซิสเต็มส์ จำกัด ที่จะรวมเข้ามาตั้งแต่ต้นปี 66 ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้กว่า 300 ล้านบาท อีกทั้งบริษัทยังตั้งเป้าอัตรากำไรสุทธิให้ไม่ต่ำกว่า 12% ซึ่งถือเป็น KPI ของทั้งบริษัท
ขณะที่รายได้ปี 2567 บริษัทตั้งเป้ารายได้จะขึ้นไปแตะ 2,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นผลจากการเติบโตของธุรกิจเดิมของบริษัท (Organic Growth) จากการให้บริการ CRM และ ERP ที่ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 20-25%
อีกทั้งยังมีรายได้เสริมจากธุรกิจใหม่ อาทิ MarTech, Insure Tech และ Health Tech ซึ่งจะสร้างการเติบโตให้บริษัทในระยะยาว
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 iiG มีรายได้รวม 708 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% YoY มีกำไรสุทธิ 71.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% YoY ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตสูงสุดใหม่ (New high) ทั้งรายได้และกำไรสุทธิ โดยมาจากรายได้ประจำ (Recurring Revenue) 40.2% และรายได้ไม่ประจำ (Non-recurring Revenue) 59.8%
หากแยกตามประเภทของธุรกิจจะพบว่า CRM (Customer Relationship Management) ยังคงเป็นธุรกิจที่ทำรายได้มากที่สุด จำนวน 404 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 55.5% ของรายได้รวมทั้งหมด ตามด้วย ERP (Enterprise Resource Planning) ทำรายได้ 277 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 39.7%
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 18.31ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสสอง 25% ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ในช่วง 9 เดือน ลดลงเหลือ 24% เทียบกับ 28% ในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ลดลงมาอยู่ที่ 10.1% เทียบกับอัตรากำไรสุทธิย้อนหลัง 3 ปี เฉลี่ยที่ 11.5-11.6%
สมชาย ชี้แจงว่า สาเหตุที่กำไรสุทธิลดลงเนื่องจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ ต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นถึง 190.87 ล้านบาท เทียบกับ 160.84 ล้านบาทใน Q1 และ 176.54 ล้านบาทใน Q2 ซึ่งเป็นผลมาจากจำนวนพนักงานที่มากขึ้นจาก 282 คนในปีที่แล้ว เป็น 380 คน (ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565)
ประกอบกับการมีพนักงานไม่เพียงพอ ทำให้ต้องจ้างบุคลากรจากบริษัทภายนอกองค์กรมากขึ้น เพื่อเร่งดำเนินโครงการให้เร็วกว่ากำหนดตามที่ลูกค้าต้องการ โดยในช่วง 9 เดือนแรก
ต้นทุน Outsourcing เพิ่มขึ้นเป็น 109.8 ล้านบาท (มูลค่ารวม 9 เดือน) เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับต้นทุนการจ้างบุคลากรจากบริษัทภายนอก ปีก่อนหน้า 73.5 ล้านบาท (มูลค่ารวม 12 เดือน) เป็นผลทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลดลง
iiG เชื่อมั่นว่า จากแผนการพัฒนาบุคลากร ประกอบกับการเข้าซื้อกิจการบริษัท แลนซิ่ง บิสสิเนส ซิสเต็มส์ จำกัด จะทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนการจ้างงานภายนอกองค์กรได้อย่างมาก
ซึ่งปัจจุบันแลนซิ่งมีพนักงานกว่า 300 คน นอกจากนี้ iiG ยังมองหาบริษัทที่ให้บริการ Outsource ในประเทศเวียดนาม เนื่องด้วยเป็นประเทศที่มีบุคลากรที่มีทักษะความเชี่ยวชาญด้านไอทีสูงและต้นทุนต่ำกว่าด้วย
ขณะเดียวกัน การแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐอย่างรวดเร็ว และความผันผวนของค่าเงินในช่วงไตรมาส 2-3 ยังส่งผลกระทบต่อต้นทุนใบอนุญาตการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Subscription) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายจากการขายและการบริหาร ซึ่งรวมค่าที่ปรึกษาทางการเงินในการทำดีล M&A กับ บริษัท แลนซิ่ง บิสสิเนส ซิสเต็มส์ จำกัดอีกด้วย
ต้นทุนใบอนุญาตการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Subscription) ที่สูงขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจ Salesforce & Oracle Software Subscription and License ในช่วง 9 เดือนแรก ลดลงจาก 18% ในปีที่แล้ว เหลือ 13% ซึ่งถือเป็นปัจจัยชั่วคราว
และบริษัทได้ปรับกลยุทธ์เพื่อลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน โดยการทำเจรจากับคู่ค่าสำหรับสัญญาใหม่และลูกค้าที่ต่อสัญญาเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแทน โดยคาดว่าจะดำเนินการเสร็จสิ้นในช่วงกลางปี 2566
สมชาย มั่นใจว่า อัตรากำไรสุทธิของธุรกิจ ERP จะฟื้นตัวอย่างแน่นอนในไตรมาสสุดท้าย และมาอยู่ที่ระดับ 30% จาก 25% ในไตรมาส 3
โดย Salesforce & Oracle Software Subscription and License จะกลับมาสู่ระดับปกติที่ 16-20% ในช่วงไตรมาสสองของปีหน้า และอัตรากำไรสุทธิในส่วนงานบริการที่ปรึกษา ออกแบบ และติดตั้งระบบ (Implementation) จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% ในปีหน้า
โฆษณา