6 ธ.ค. 2022 เวลา 01:54 • ประวัติศาสตร์
ประวัติ ผู้พันแซนเดอร์ส ผู้ให้กำเนิดไก่ทอด KFC
แซนเดอร์สเกิดมาในครอบครัวที่ค่อนข้างยากจน โดยคุณพ่อของเขาทำงานรับจ้างทั่วไปและทำการเกษตรบ้างเล็กๆ น้อยๆ ส่วนคุณแม่ของเขาไม่ได้ทำงาน โดยทำหน้าที่เป็นแม่บ้านคอยดูแลลูกๆ ทั้งสามคน แต่แล้วเมื่อแซนเดอร์สอายุได้ 6 ขวบ ก็ต้องสูญเสียคุณพ่ออันเป็นที่รักไป
ทำให้คุณแม่ของเขาต้องออกไปเป็นลูกจ้างเป็นคนปอกมะเขือในโรงงานผลิตอาหารกระป่อง รวมไปถึงตอนกลางคืนก็ยังรับจ็อบเย็บผ้าเพิ่มเติม แซนเดอร์สจึงรับหน้าที่คอยเลี้ยงดูน้องๆ อีกสองคนอยู่ที่บ้าน โดยคอยหุงหาอาหารให้น้องๆ ซึ่งนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการสั่งสมทักษะ
การเป็นพ่อครัวในวัยเด็กของเขาแถมฝีมือของเขาเจ๋งขนาดที่ว่าเคยได้แชมป์ทำอาหารประจำหมู่บ้านด้วยวัยเพียง 7 ขวบ เท่านั้นอีกด้วย
แต่รายได้ก็ยังคงไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายภายในบ้าน จนเมื่อแซนเดอร์สอายุได้ 10 ขวบ เขาจึงออกไปรับจ็อบที่ฟาร์มข้างๆ บ้านเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของแม่อีกแรง และตอนนั้นเขาเองก็ตัดสินใจลาออกจากโรงเรียนเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายภายในบ้านซึ่งเขาเรียนถึงแค่ชั้นประถม 7 เท่านั้น
ด้วยความเป็นอยู่ที่คงย่ำแย่ แม่ของเขาจึงตัดสินใจแต่งงานใหม่กับเจ้าของฟาร์ม โดยตอนนั้นแซนเดอร์สอายุเพียง 12 ปี แต่ทุกอย่างกลับเลวร้ายลงยิ่งกว่าเดิมเพราะเขาไม่สามารถเข้ากับพ่อเลี้ยงคนใหม่ได้ แถมพ่อเลี้ยงก็ชอบใช้กำลังและทำร้ายร่างกายจนทนไม่ไหว
เขาจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านไปอยู่เมือง Clark County แล้วรับจ็อบหลายต่อหลายจ็อบ จนได้ทำงานที่ไร่แห่งหนึ่ง โดยได้ค่าแรงเดือนละ 15 ดอลลาร์ แต่ดีหน่อยที่เขาประหยัดค่าที่พักกับอาหารที่เจ้าของไร่อนุญาตให้เขาได้หลับนอนและหุงหาอาหารกิน
เขาอยู่ที่นี่จนกระทั่งอายุได้ 15 ปี ตอนอายุ 16 ปี เขาก็ได้เปลี่ยนอาชีพไปเป็นกรรมกรก่อสร้างถนน และเมื่อทางกองทัพสหรัฐอเมริการับสมัครทหารเกณฑ์ เขาได้ปลอมแปลงเอกสารของตนเอง เพื่อจะเข้าไปเป็นทหารในกองทัพสหรัฐ เพราะจริงๆ แล้วเขาอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ จนได้ไปประจำการอยู่ที่คิวบา เป็นเวลา 1 ปี
และหลังจากที่เขาปลดประจำการจากกองทัพ ใน ค.ศ.1908 เมื่อแซนเดอร์ส อายุได้ 18 ปี เขาหวังจะเริ่มต้นครอบครัวใหม่ เขาได้แต่งงานกับ Josephine King และมีลูกด้วยกันสามคนคือ Hasland Jr. ( เสียชีวิตไปตั้งแต่อายุยังน้อย ) และลูกสาวอีกสองคนคือ Mildred Sanders และ Margaret Sanders และในระหว่างนี้นี่เองที่เขาได้เปลี่ยนงานหลายต่อหลายงาน ไม่ว่าจะเป็น คนขายประกันชีวิต ขับเรือกลไฟ เป็นเลขาของหอการค้าโคคัมบัส ซึ่งในระหว่างที่ทำงานที่นี่
เขาได้พบกับนักประดิษฐ์ตะเกียงที่ใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซธรรมชาติได้แซนเดอร์สจึงตัดสินใจซื้อสิทธิบัตรและเปิดบริษัทผลิตตะเกียง แต่ก็ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นานรัฐบาลจู่ๆ ก็มีโครงการขยายไฟฟ้าสู้ชุมชน กลายเป็นตะเกียงเจ้าพายุของเขากลายเป็นสินค้าที่ตกยุคไปในทันที
ในระหว่างที่เปลี่ยนงานไปเรื่อย ๆ แซนเดอร์สเองก็มีโอกาสได้เรียนเกี่ยวกับด้านกฏหมาย โดยอาศัยการเรียนหลักสูตรทางไกลกับ Southern University จนในช่วงปี 1915 สามารถมาประกอบอาชีพในการพิจารณาคดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ศาลได้ แต่อาชีพนี้ต้องมายุติลงเมื่อเขาเกิดมีเหตุทะเลาะวิวาทกันในศาลกับลูกความ และเขาตัดสินใจที่จะจบสายอาชีพนี้ในช่วงปี 1920
ผ่านมาหลายปี จนถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้งหนึ่งของแซนเดอร์ส นั้นก็คือเมื่อตอนที่เขาอายุประมาณ 40 ปี หลังจากที่ได้สะสมเงินเก็บมาหลายปี เขาได้ตัดสินใจนำเงินก้อนนั้นไปเปิดปั๊มน้ำมันเล็ก ๆ ที่เมือง Corbin รัฐ Kentucky และแน่นอนว่า คราวนี้เขาได้เริ่มต้นทำในสิ่งที่รักและเชี่ยวชาญเป็นพิเศษสักกะที นั่นก็คือการทำอาหารขายให้แก่คนที่เดินทางผ่านเส้นทางนั้นและแวะเติมน้ำมันที่ปั๊มของเขา ที่มีโต๊ะนั่งเพียง 6 ที่นั่งเท่านั้น แต่ด้วยความที่อาหารที่เขาทำมันมีรสชาติที่อร่อย จนเกิดการบอกปากต่อปากกัน ทำให้เริ่มมีคนแวะเข้า
มาสั่งอาหารที่ปั๊มน้ำมันเขามากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเขาตัดสินใจที่จะเปิดร้านอาหารจริง ๆ จัง ๆ เสียทีเขาจึงย้ายไปเปิดร้านอาหารที่โรงแรมฝั่งตรงข้าม โดยมีพื้นที่รองรับลูกค้ากว่าร้อยที่นั่งเลยที่เดียว โชคดีหน่อยที่แถวนั้นแทบไม่มีร้านอาหารร้านอื่นเลยนอกจากร้านของเขาทำให้ร้านเป็นที่รู้จักอย่างหนาหูกันในชื่อว่า " Kentucky Fried Chicken of Harland Sanders " โดยในปี 1930 นักวิจารณ์อาหารชื่อดังอย่าง Duncan Hines ยกให้ร้านของแซนเดอร์สเป็น Adventure in Good Eating ทำให้ร้านอาหารของเขาได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น
อย่างมากมาย จนกระทั่งในปี 1935 ผู้ว่ารัฐเคนทักกีที่ชื่อ Ruby Laffoon ก็ได้แต่งตั้งให้แซนเดอร์สเป็น " Kentucky Colonel " หรือ " ผู้พันแห่งเคนทักกี " โดยตำแหน่งนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางการทหาร แต่เพื่อให้สดุดีสำหรับคนที่ชอบสร้างคุณงามความดีและทำประโยชน์ให้กับรัฐเคนทักกี
ในปี 1937 ผู้พันแซนเดอร์สมีความคิดที่จะขยายกิจการ ด้วยการเปิด Motel ควบคู่ไปกับร้านอาหารโดยใช้ชื่อว่า Sanders Court & Cafe โดยกะเอาไว้ว่าจะเป็นร้านอาหาร Fast Food ยอดฮิตแห่งใหม่ แต่ก็ไม่เข้าข่ายเพราะว่า ใช้เวลาในการทอดไก่นานเกินกว่าที่จะเป็นร้านอาหารจานด่วนได้
จนกระทั่งในปี 1939 ผู้พันแซนเดอร์สก็ได้คิดค้นวิธีการทอดไก่ให้เร็วขึ้นจากเดิมที่ใช้เวลาทอดไก่กว่าครึ่งชั่วโมง ให้เหลือเพียงแค่ 9 นาทีด้วยวิธีการนำกระทะทอดแบบแรงดันเข้ามา ซึ่งนับได้ว่า เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ในยุคนั้นเลยก็ว่าได้และก็ีร้านอาหารต่าง ๆ ในปัจจุบันก็ยังคงใช้วิธีการทอดแบบผู้พันมาจนถึงทุกวันนี้
ในปี 1947 เขาได้หย่าร้างกับภรรยา แล้วแต่งงานใหม่ในปี 1949 กับ Claudia Ledington ซึ่งเป็นเลขาในร้านของเขานั่นเอง โดยในปี 1950 ตอนที่แซนเดอร์สอายุได้ 60 ปี เขาก็ได้รับตำแหน่งผู้พันอีกครั้งจากรองผู้ว่ารัฐเคนทักกี ที่ชื่อว่า Lawrence Weatherby และในคราวนี้ ผู้พันเคนทักกี ก็ได้เริ่มต้นสร้าง Personal Branding ด้วยการแทนตัวเองว่าผู้พัน และแต่งชุดสูทสีขาวและผูกไทร์สีดำแบบ String tie ที่มีเอกลักษณ์การแต่งตัวแบบผู้ดีชาวอเมริกาทางตอนใต้และไว้หนวดเคราสีขาว พร้อมกับถือไม้เท้า โดยกลายเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์
นับตั้งแต่นั้นมาจวบจนถึงปัจจุบันแม้ว่าคนรุ่นหลังจะไม่รู้จักผู้พันในรายละเอียดลึก ๆ แต่หากเจอรูปปั้นหรือโลโก้ที่ไหน คนส่วนใหญ่ก็แทบจะรู้ทันทีว่า นี่คือ ผู้พันแซนเดอร์ส อย่างแน่นอน
แต่ทุกอย่างก็เหมือนจะไปได้ดีจนกระทั่งปี 1956 มีการสร้างถนนตัดใหม่ ที่ทำให้ลูกค้าไม่ค่อยใช้ถนนเส้นที่ร้านของผู้พันตั้งอยู่ ทำให้ยอดขายเริ่มลดลงและเริ่มเป็นหนี้จนกระทั่งต้องขายร้านเพื่อปลดหนี้สิน จนแซนเดอร์สในวัย 65 ปี นั้นกลายเป็นบุคคลแทบล้มละลายกันเลยทีเดียว
โดยแซนเดอร์สในวัย 66 ปีนี้ ต้องยันชีพด้วยเงินช่วยเหลือจากสวัสดิการสังคมที่จ่ายให้เพียงเดือนละ 105 ดอลล่าร์เท่านั้น เขาเคยยอมรับว่าเขาคิดจะจบชีวิตของตัวเองลง พร้อมกับเขียนจดหมายลาตายไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ในระหว่างที่เขียนจดหมายนี่เอง ที่เขาคิดขึ้นมาได้ว่า ในชีวิตนี้ เขายังไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรในชีวิตที่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง ซึ่งมันทำให้เขาฮึดและลุกขึ้นสู้อีกครั้งหนึ่งเพื่อที่ว่า อย่างน้อยในช่วงชีวิตที่เหลือนี้ จะต้องประสบสำเร็จให้จงได้
เขาจึงใช้เงินก้อนแรกจำนวน 105 ดอลล่าร์ ที่ได้จากการช่วยเหลือของสวัสดิการสังคม นำไปเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปตระเวนขายสูตรไก่ทอดทั่วประเทศ สหรัฐอเมริกา แล้วนำอุปกรณ์การทำอาหาร เช่น หม้อแรงดันสูง และสูตรไก่ทอดติดตัวเขาไปด้วย เพื่อสาธิตวิธีการทอดไก่และขายสูตร โดยคิดค่าแฟรนไชส์จำนวน 5 cent ในไก่ทอดทุก ๆ ชิ้นที่ใช้เครื่องปรุงสูตรพิเศษของเขา โดยตระเวนไปเสนอสูตรตามร้านอาหารต่าง ๆ ทั่วประเทศสหรัฐ และกว่าที่จะได้รับการตอบรับจากร้านอาหารต่าง ๆ เขาต้องพูดคุยกับร้านอาหารกว่าพันร้าน
และเริ่มมีร้านอาหารที่ตอบรับมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งในปี 1960 ผู้พันแซนเดอร์มในวัย 70 ปี ก็มีสาขาแฟรนไชส์กว่า 400 ร้าน ทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาและแคนาดา โดยในปี 1963 มีรายงานว่า เขาสามารถทำกำไรได้กว่า 300,000 ดอลล่าร์
โดยสูตรสำเร็จที่ผู้พันแซนเดอร์สให้ความสำคัญมากที่สุด มีด้วยกัน 3 ข้อ ก็คือ
- คุณภาพของอาหาร
- ความสะอาดของอาหารและร้าน
- การให้บริการที่ดี
จนกระทั่งในวันที่ 6 มกราคม ปี 1964 ผู้พันแซนเดอร์สในวัย 74 ปี เขาก็ได้ตัดสินใจขายกิจการ Kentucky Fried Chicken ในประเทศสหรัฐอเมริกา ให้กับ John Y. Brown Jr. และ Jack Massey ที่เป็นนักธุรกิจในเคนทักกี เป็นจำนวนเงิน 2 ล้านดอลล่าร์ และได้รับเงินรายปีอีกประมาณปีละ 250,000 ดอลล่าร์ ซึ่งผู้พันได้รับเกียรติให้เป็นเสมือนโลโก้ของแบรนด์ Kentucky Fried Chicken
ซึ่งทุกครั้งที่มีการประชาสัมพันธ์แบรนด์ผู้พันก็ทำหน้าที่เป็นเหมือนโฆษกของแบรนด์ และปรากฏตัวในสื่อต่าง ๆ ด้วยตนเองอยู่ตลอด บริษัท Kentucky Fried Chicken ได้เติบโตอย่างรวดเร็ว จนในปี 1969 ก็ได้เข้าสู้การเป็นบริษัทมหาชน โดยการเข้าระดมทุนในตลาดหุ้น New York
แต่หลังจากนั้นสุขภาพของผู้พันก็แย่ลงเรื่อย ๆ จนตรวจพบว่า เขาได้เป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาวอย่างเฉียบพลัน ( acute leukemia ) ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนและเสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมในโรงพยาบาลที่เมือง Louisville รัฐ Kentucky เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ปี 1980 ในวัย 90 ปี โดยได้นำร่างของผู้พันไปฝังไว้ที่สุสานที่ Cave Hill Cemetery ใน Kentucky
แม้ว่าผู้พันจะจากไปแล้ว แต่การเติบโตของกิจการไก่ทอดของเขาก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น โดยในปี 1986 บริษัท Kentucky Fried chicken ก็ถูกบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง PepsiCo เข้าซื้อกิจการด้วยมูลค่ากว่า 840 ล้านดอลล่าร์ และในปี 1991 ก็เปลี่ยนชื่อเป็น KFC ซึ่งเป็นอักษรย่อจากชื่อเป็นแทน และต่อมาในปี 2002 KFC ก็ได้เข้าไปอยู่ในการบริหารของ Yum! Brands ซึ่งมีบริษัทฟาสต์ฟู้ดยักษ์ใหญ่อย่าง Pizza Hut ,Taco Bell ที่ PepsiCo ได้เข้าซื้อกิจการก่อนหน้านี้ ซึ่งกลายเป็นกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สุดในบรรดาบริษัทอาหารของทั้งโลก
ผู้พันแซนเดอร์สกล่าวไว้ว่า
* There's no reason to be the richest man in the cemetery. You can't do any business from there. *
แปลว่า * มันไม่มีประโยชน์อันใดเลยที่คุณจะกลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในสุสาน เพราะคุณไม่สามารถทำธุรกิจอะไรได้เลยในสุสานนั้น *
ที่มา Blue O'Clock
หากมีข้อผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
โฆษณา