4 ธ.ค. 2022 เวลา 15:03 • นิยาย เรื่องสั้น
รักวุ่นๆของวัยรุ่นนักประชาธิปไตย
สวัสดีครับ ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวก่อนนะครับ.. ผมชื่อ"ก้าว" ครับ ใครๆก็เรียกผมว่า.. ไอ้ก้าว ก้าวที่แปลว่าก้าวเดินนะครับ ไม่ใช่เลขเก้า จริงๆผมเกิดวันที่ 9 เดือน 9 ครับ แม่เลยตั้งชื่อว่าเก้า แต่ผมจะบอกเพื่อนๆเสมอ ว่าให้เรียกและเขียนขื่อผมว่าก้าวน่ะครับ ..
ก่อนที่แม่จะมีผมน่ะ ผมมีพี่ชายหนึ่งคน ชื่อหนึ่ง.. แต่พี่ผมเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ตั้งแต่สมัยเรียน แม่เล่าว่า ด้วยความเสียใจมาก ก็เลยให้หมอแก้หมันให้ แล้วปล่อยให้มีผมขึ้นมานี่ล่ะครับ ..
ผมเป็นเด็กต่างจังหวัดครับ เป็นเด็กใต้ ที่มาเรียนและได้ทำงานในบริษัทฯแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ผมจบพละศึกษาจากวิทยาลัยพละแห่งหนึ่งในภาคใต้ แล้วได้มาเรียนต่อ มหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯ เอกวิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา ตอนฝึกงานเนี่ย โอ้ย!! ผมล่ะเหนื่อยใจนะครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เพราะผมต้องไปฝึกงานกับฟิตเนสแห่งหนึ่ง
แบบว่าเป็นเทรนเนอร์ให้กับสาวๆที่มาออกกำลังกายที่ฟิตเนสน่ะครับ สาวน้อยสาวใหญ่ ชอบเรียกผมไปเทรนและให้ช่วยจัดระเบียบร่างกายให้ เวลาออกกำลังกายกับอุปกรณ์ฟิตเนส เรียกจนผมเหนื่อยล่ะครับ ไม่ได้นั่งพักเลย แต่ถึงผมจะเรียนด้านนี้ ผมก็ไม่เจ้าชู้นะครับ ซึ่งพอผมเรียนจบเนี่ย ผมไม่ได้ทำงานด้านการเป็นเทรนเนอร์ฟิตเนสนะครับ ผมทำงานในตำแหน่งที่เรียกให้เท่ห์ๆว่า Labor Relations หรือแรงงานสัมพันธ์นั่นแหละครับ
ด้วยความที่ผมพูดเก่ง บุคลิกเข้ากับคนง่าย และค่อนข้างจะหล่อเหลาเอาการอยู่ แหะๆ อันนี้ผมมโนเอาน่ะครับ ! แล้วผมก็มีพื้นฐานด้านกีฬา เวลาบริษัทจัดกิจกรรมเชื่อมความสัมพันธ์ให้กับพนักงานในองค์กรเนี่ย ก็ผมนี่ล่ะครับ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ เพราะเรียนจบสายแบบผมค่อนข้างเอนเตอร์เทนเก่ง ส่วนเวลาว่างๆในโรงงาน ผมก็เดินคุยกับพนักงาน (ขอใช้คำว่าโรงงานนะครับ เพราะส่วนใหญ่พนักงานระดับปฏิบัติการที่ผมคลุกคลี จะทำงานอยู่ตรงส่วนนี้มาก)
หน้าที่ผมคือเก็บข้อมูลต่างๆ รายงานต่อหัวหน้าฝ่ายบุคคลครับ เพราะในโรงงานมักจะมีพนักงานหัวโจก ที่เป็นตัวนำในหลายๆเรื่อง ผมจึงต้องมีปฏิสัมพันธ์กับพนักงานเหล่านี้ไว้ เพื่อทราบข้อมูล
แล้ววันนี้ก็เป็นวันเลิกงานสุดสัปดาห์ล่ะครับ ผมกำลังรอเพื่อนอยู่...
"เฮ้ย ไอ้ก้าว มึงรอกูนานยังวะ?
"เออ ไม่นานเลยมึง รีบๆเลย เดี๋ยวไปม็อบไม่ทัน รถติดอีก" ผมเร่งเพื่อน แล้วรีบพากันออกจากโรงงาน เพื่อนั่งแท็กซี่ไปม็อบทันที เพราะวันนี้เค้านัดรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
อ้อ ผมลืมแนะนำเพื่อนผมครับ มันชื่อไอ้เมษ เป็นเด็กใต้เหมือนผมนี่ล่ะครับ บ้านมันอยู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี อำเภอเคียนซา ที่เคยเป็นฐานของพรรคคอมมิวนิสต์สมัยก่อนนั่นแหละครับ มันชอบการเมืองเหมือนกันกับผมนี่แหละ วันดีคืนดี มันก็ชอบโม้ให้ผมฟังว่า พ่อมันเล่าว่าพี่ชายคนโตของพ่อ เคยเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ แต่โดนยิงตายตอนที่เค้ากวาดล้างคอมมิวนิสต์สมัยนั้น
พ่อมันซึ่งยังอายุไม่เท่าไหร่ จำได้ติดตา ว่าญาติๆพากันวิ่งหนีตายและช่วยกันลากร่างของพี่ชายพ่อมันหนีกระสุนในตอนนั้น พอมันเล่าทีไร ผมก็นั่งฟังหูห้อยทุกทีล่ะครับ ไอ้เมษมันจบวิศวะครับ ทำงานตำแหน่ง Vehicle maintenance ..
"เออ บ่นชิบหาย แล้วนี่น้องหวานของมึง รู้ป่าววะ ว่ามึงไปม็อบเนี่ย" ไอ้เมษถามผม
"ไม่รู้ว่ะ กูไม่กล้าบอก บอกแค่ว่าวันนี้กูมีโอที อาจจะเลิกดึก "
หวาน แฟนของผม เธอเป็นลูกสาวของนักการเมืองท้องถิ่น จังหวัดใกล้ๆกรุงเทพฯนี่แหละครับ มีพี่ชายหนึ่งคน เป็นตำรวจซะด้วย เรียกว่าไม่ทันไร ความรักของผมก็เจอสารพัดของแข็งเลยล่ะครับ เห้อ... พอคิดถึงอุปสรรคผมก็ชักหมดแรง แต่ไม่ ดีกว่า เพราะพอนึกถึงเรื่องดีๆของเราสองคน ผมก็มีกำลังใจขึ้นมาทุกที
ผมกับหวานพบกันบนรถไฟครับ เท่ห์และวินเทจมั๊ยล่ะครับ ผมหมายถึงรถไฟนะ !
ด้วยความที่บ้านผมก็ฐานะปานกลางครับ ทำงานมาก็หลายปี แต่ผมยังไม่คิดหาซื้อรถส่วนตัวมาใช้หรอกครับ มันเพิ่มภาระโดยใช่เหตุ ทำงานเก็บเงินไปเรื่อยๆดีกว่า พร้อมเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน ผมจึงมักนั่งรถไฟกลับบ้านก็ประมาณ 3-4 เดือน จะนั่งซักครั้งครับ ผมชอบนั่งริมหน้าต่าง มองดูเวลา รถไฟจอดเทียบชานชลา... มันให้อารมณ์หลากหลายมากสำหรับผม
เราจะเห็นผู้คนที่มารอ.. บางคนมารอรับพ่อแม่ คนรัก มารอรับลูก ที่กลับจากทำงานหรือมาเรียน
และในอีกมุมหนึ่ง บางคนก็มาส่งสามีหรือภรรยาขึ้นรถไฟ บางคนมาส่งญาติเพื่อนั่งรถไฟไปหาหมอตามจังหวัดใกล้เคียงก็มี เพราะด้วยค่าโดยสารที่ถูก เหมาะแก่รายได้และคุณภาพชีวิตของตนเอง คนไม่มีรถส่วนตัว ก็ใช้บริการรถไฟนี่แหละครับ .. แต่คุณภาพของมันก็เท่าที่เห็นนั่นล่ะครับ พอๆกับค่าโดยสาร ในความคิดของผม...
และในวันนั้น วันที่พบกับหวานครั้งแรก ผมก็นั่งรถไฟกลับบ้านครับ ในรอบ 4 เดือน เป็นรถไฟขบวนจากกรุงเทพฯ ขาลงใต้ เที่ยวกลางวัน ในวันนั้นผู้โดยสารค่อนข้างจะมาก เพราะติดวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ระหว่างที่รถไฟวิ่งเข้าเขตอำเภอกุยบุรี เขาสามร้อยยอด ที่ซึ่งเป็นยอดเขาน้อยใหญ่กั้นทะเลเอาไว้ ผมนั่งริมหน้าต่าง กำลังนับยอดเขา ว่ามีสามร้อยยอดจริงหรือไม่
ซึ่งตามตำนานบอกไว้ว่า มีเรือสำเภาจีนขนาดใหญ่แล่นมาพร้อมลูกเรือจำนวนมาก และได้หลบพายุที่บริเวณเขาแห่งนี้ แต่เรือชนเข้ากับหินโสโครก ทำให้เรือแตก คนในเรือเสียชีวิตจำนวนมาก เหลือรอดเพียงแค่ 300 คน และได้ขึ้นฝั่งตั้งรกรากที่บริเวณเขาแห่งนี้ จึงเป็นที่มาของชื่อ เขาสามร้อยรอด ต่อมาเพี้ยนเป็นเขาสามร้อยยอดครับ ..
กำลังนั่งนับยอดเขาเพลินๆ หูก็ได้ยินเสียงเรียก "คุณคะ ตรงนี้มีคนนั่งมั๊ยคะ? ผมละสายตาจากยอดเขายอดที่ หนึ่งร้อยสิบสอง หันมองตามเสียงนั้น .. ผมนิ่งไปสิบวินาทีเห็นจะได้ .. ผู้หญิงผมหน้าม้า ปลายผมยาวประป่า คิ้วดกดำตาคม น่ารักสุดๆสำหรับผม เธอชะโงกหน้ามาถามผม ด้วยเสียงอันดัง แข่งกับเสียงลมเสียงวิ่งของรถไฟ จนหูผมอื้อแทบไม่ได้ยิน "ห๊า คุณว่าอะไรนะครับ?
"เราถามว่า ตรงนี้มีคนนั่งมั๊ยคะ "
เธอตะโกนซ้ำด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม จนผมรู้สึกตัว ตื่นจากการมองจ้องเธอ แล้วมองเลยไปยังเพื่อนๆของเธอ เธอมากันสี่คน และตรงที่ผมนั่ง เป็นตู้ท้ายสุดของขบวน ที่นั่งจึงยังว่างพอสมควรและล็อคที่ผมนั่ง มีผมอยู่คนเดียว ผมจึงบอกเธอไปว่า"ไม่มีครับ ผมนั่งคนเดียว เชิญคุณและเพื่อนๆนั่งตามสบายครับ"
หลังจากผมพูดจบลง เธอกล่าวขอบคุณ พร้อมเหวี่ยงกระเป๋าเป้ขึ้นไปเก็บไว้ด้านบนที่สำหรับเก็บสัมภาระ แล้วเลือกนั่งริมหน้าต่างตรงกันข้ามกับผม ส่วนเพื่อนของเธอคนหนึ่งนั่งกับเธอ อีกสองคนก็เลือกหาที่นั่งติดๆกัน.....
หลังจากที่ทุกคนได้ที่นั่งกันครบแล้ว ต่างคนก็ต่างนั่งโดยไม่ได้สนใจกันอีก นานๆจึงจะพูดกันซักครั้ง คงเป็นเพราะหน้าต่างที่เปิดไว้ ทำให้ทั้งเสียงรถไฟและเสียงลมที่อื้ออึง ทำให้พูดกันไม่ค่อยได้ยินนัก .. มีเพียงผมที่แอบมองเธอเป็นระยะ และเห็นว่าเพราะลมนอกหน้าต่างที่แรงมากเวลารถไฟวิ่ง
ผมของเธอปลิวสยายและเดี๋ยวเธอคงจะบ่นเพราะเส้นผมจะต้องพันกันยุ่งเหยิงแน่ๆ และแลดูเธอค่อนข้างจะวุ่นวายกับการจับรวบผมตัวเอง ทันทีนั้นความสุภาพบุรุษของผม ก็ออกมาทักทายสาวสวย ด้วยการชี้ไปที่หน้าต่างแล้วถามด้วยเสียงอันดัง แข่งกับลมว่า " ผมปิดหน้าต่างให้เอามั๊ยครับ ?" เธอพยักหน้าตอบรับ ..
เมื่อปิดหน้าต่างลง ทำให้เสียงลมพัดเข้ามาน้อยลง เราจึงคุยกันได้ยินถนัดขึ้น "ขอบคุณนะคะ" ..
"ไม่เป็นไรครับ ปกติเปิดหน้าต่าง ลมจะ แรงมากๆแบบนี้ล่ะครับ .. "
ผมและเธอได้มีโอกาสมองหน้ากันและกันถนัดขึ้น "พวกคุณจะไปลงไหนกันหรือครับ?" ผมเอ่ยถามหญิงสาวตรงหน้า
" อ๋อ เราจะไปบ้านเพื่อนที่สุราษฯค่ะ แล้วว่าจะไปเที่ยวสมุยกัน" "อ๋อ ผมลงก่อนพวกคุณตั้งไกล เดี๋ยวถึงชุมพร ผมก็ลงแล้วครับ "
ค่ะ ! เธอตอบกลับมาสั้นๆ พร้อมกับยิ้มให้ ด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ผมมองแล้ว หัวใจมันบอกเลยว่า ผู้หญิงคนนี้ ผมจะต้องจีบเอามาเป็นแฟนให้ได้ ....
รถไฟวิ่งมาได้สักระยะหนึ่ง ก็จอดสถานีประจวบคีรีขันธ์ มีแม่ค้าพ่อค้าเดินถือถาดข้าวกล่องและขนมต่างๆ ตะโกนอยู่ด้านล่าง มีแม่ค้าถือถาดไอศครีมเป็นถ้วยหยุดตรงหน้าต่างที่ผมและเธอนั่ง เห็นเธอหันไปถามเพื่อน ผมจึงชะโงกเรียกแม่ค้าให้หยุดและหยิบถ้วยไอศครีมส่งให้เธอและเพื่อนสี่แก้ว ของผมอีกหนึ่ง รวมเป็นห้า
เสร็จแล้วผมจ่ายเงินให้แม่ค้ารวมของเธอและเพื่อนๆด้วย เธอเปิดกระเป๋าพร้อมกับหยิบเงินคืนให้ผม "ไม่เป็นไรครับแค่นี้เอง ถือว่าผมเลี้ยงคุณและเพื่อนๆนะ"
เธอขอบคุณผม พร้อมกับพูดว่า "เราชื่อหวาน ส่วนนั่นเพื่อนเรา เอ๋ อ้น และ มายด์ นะ " " ยินดีที่ได้รู้จักครับผม ก้าว ครับ"
ถึงตอนนี้ หลังจากแนะนำชื่อกันแล้วพวกเราเริ่มพูดคุยกันมากขึ้น ดูเธอสนุกสนานหัวเราะ อย่างมีความสุข ตอนหนึ่ง หวานถือถ้วยไอศครีมใกล้หน้าต่าง ด้วยความที่ลมพัดแรงถึงแม้จะปิดหน้าต่างลงมาครึ่งหนึ่ง ด้วยความที่ถ้วยไอศครีมนั้นเบา หวานไม่ทันระวัง ทำให้ลมพัดถ้วยปลิวใส่หน้าผมเต็มๆ
เธอขอโทษผมเป็นการใหญ่ พร้อมกับควักผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำ ยื่นให้ผม ผมรับมาเช็ดหน้าที่เลอะไอศครีม พร้อมกับหน้าที่ดำเต็มไปด้วยฝุ่นของผม ทำให้ผ้าเช็ดหน้าของเธอเลอะดำไปหมด จนผมไม่กล้าคืนเธอ " เรายกให้ ก้าวเอาไปเถอะ ดำขนาดนั้นแล้ว ไม่ต้องคืนหวานแล้ว " พูดจบเธอก็หัวเราะ เราหัวเราะพร้อมๆกัน พร้อมกับสบตายิ้มให้กันอย่างรู้สึกเบิกบานในใจแปลกๆ .. ผมพับผ้าเช็ดหน้านั้นไว้ในกระเป๋าเสื้อ พร้อมกับตบที่อกเบาๆ อย่างใจเต้นแปลกๆ
และแล้วฟ้าก็เริ่มมืดลง อีกไม่ถึง 20 นาที รถไฟก็จะแล่นถึงสถานีชุมพร ซึ่งผมต้องลงแล้ว ผมกัดฟันรวบรวมความกล้า "เอ่อ หวานครับถ้าก้าวจะขอไลน์ หรือเบอร์โทรไว้จะได้มั๊ยครับ ? เผื่อมีโอกาสจะได้โทรคุยกัน "
"อ๋อ ได้สิ เอาโทรศัพท์ของก้าวมาสิ เดี๋ยวหวานกดเบอร์ให้ " ผมยื่นโทรศัพท์ให้เธอ เธอกดเบอร์ของเธอแล้วโทรออก ผมรีบรับคืนมาและเซฟเบอร์ไว้ ... "เดี๋ยวก้าวต้องลงสถานีข้างหน้านี้แล้ว ยังไงพรุ่งนี้ก้าวโทรหานะ"
ผมพูดพร้อมลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวลงสถานีข้างหน้า พอรถไฟจอดสนิท ผมเดินลงมาและยืนดูหน้าต่างช่องที่ผมและหวานนั่ง เธอและเพื่อนโบกมือให้ผม พร้อมๆกับรถไฟ ที่เคลื่อนขบวนออกไปอย่างช้าๆ จนลับหายไปกับความมืด เหมือนกับใจของผมที่ติดสอยห้อยตาม คนบนโบกี้รถไฟคนนั้นไปด้วย หวานจัง .. ผมนึกและยิ้มคนเดียว ...
วันนี้ผมตื่นแต่เช้า นานๆทีจะกลับมาบ้าน เลยเดินดูอะไรรอบบ้านเสียหน่อย พ่อกับแม่คงออกไปดูคนงานเก็บน้ำยาง กว่าจะกลับก็คงสาย ผมนั่งจิบกาแฟ รอเวลาให้เหมาะสมอีกหน่อย ก็จะโทรหาหวาน จิบกาแฟไปนั่งมองโทรศัพท์ไป จนใจผมไม่อาจรั้งรอตามความเหมาะสมได้ ผมอยากพูดคุย อยากได้ยินเสียง จนแทบทนไม่ไหว จึงตัดสินใจกดเบอร์ที่บันทึกความหวาน ไว้ในโทรศัพท์ ทันที ..
โทรศัพท์ดังอยู่สามครั้ง ก็มีเสียงตอบรับจากเบอร์ที่ผมโทรหา ใจอยากจะคิดเข้าข้างตัวเองว่า หวานก็คงรอโทรศัพท์ผมอยู่เหมือนกัน " ฮัลโหล หวาน ... ก้าวโทรมารบ กวนแต่เช้ารึเปล่า ? "
"ไม่หรอก หวานตื่นพอดี " จากนั้นเราสองคนก็มีเรื่องให้คุยกันอีกมากมาย หลายเรื่องราวเรื่อยมา หัวเราะด้วยกัน มีงอนมีง้อ
และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของความรัก ระหว่าง ผมกับหวาน จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เราสองคนคบหาเป็นแฟนกันเกือบสองปีแล้ว หวานเรียนจบได้ปีกว่า แต่ช่วยพ่อแม่ดูแลร้านมินิมาร์ทอยู่ที่บ้าน ระหว่างรอหางานที่กรุงเทพฯ ซึ่งฐานะของหวาน ไม่จำเป็นต้องทำงานเป็นลูกจ้างใคร ซึ่งต่างกันกับผม แต่เราสองคนอยากอยู่ใกล้กันมากกว่านี้
หวานจึงแอบสมัครหางานทำไว้ ซึ่งช่วงสามสี่เดือนนี้ ผมไม่ค่อยได้เจอกับหวาน มีเพียงโทรศัพท์คุยกัน " ก้าว.. ช่วงนี้หวานคงไม่ค่อยว่างไปหาก้าวที่กรุงเทพฯนะ"
"อ้าว ทำไมล่ะครับ ก้าวกะว่าเงินเดือนออกสิ้นเดือน จะพาหวานไปกินหมูกะทะร้านโปรดของหวานซะหน่อย "
"พอดีพ่อของหวาน จะลงการเมืองท้องถิ่นน่ะก้าว หวานต้องช่วยพ่อแม่ดูแลมินิมาร์ทและออกพื้นที่ ก้าวก็รู้ พื้นที่ที่หวานอยู่ การเมืองค่อนข้างแข่งขันรุนแรง หวานไม่อยากให้พ่อลงตำแหน่งนี้เลย" หวานบ่นให้ผมฟัง ....
" เอาน่ะ เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เค้า หวานอยู่ช่วยทางบ้านเถอะ ไว้เสร็จงานเลือกตั้ง เราค่อยไปกันก็ได้นะครับ ก้าวเลี้ยงเต็มที่เลย"
"ก้าวน่ารักเสมอ สำหรับหวานเลยนะ"
"ก็เราเป็นแฟนกันนี่นา" ผมแหย่แฟนสาว..
ในช่วงที่หวาน ช่วยทางบ้านหาเสียงนั้น ทางผมก็ไปม็อบกับไอ้เมษถี่ขึ้น ไปทุกครั้งที่มีประกาศจัดม็อบ .. พูดถึงเรื่องการไปม็อบของผม หวานเอง ไม่ค่อยชอบให้ผมไปซักเท่าไหร่นัก ซึ่งผมก็เข้าใจ พี่ชายเค้าเป็นตำรวจ แถมครอบครัวก็เป็นนักการเมืองท้องถิ่นด้วย การแสดงตัวหรือเลือกข้างของผม
อาจจะทำให้หวานไม่ค่อยสบายใจนัก สำหรับผม ยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีนักกับความรักของผมกับหวาน เพราะตลอดเวลาที่เป็นแฟนกัน เราไม่เคยพูดเรื่องการเมืองใดๆเลย เพราะผมรู้ว่า หวานไม่ค่อยสนใจหรือให้ความสำคัญเท่าไหร่กับเรื่องการเมือง แต่เพราะความรัก ทำให้ผมมองข้ามความรู้สึกข้อนี้ไป...
วันนี้เป็นวันสุดสัปดาห์อีกวันหนึ่ง ที่ผมกับไอ้เมษ นัดกันจะไปม็อบ และวันนี้เป็นการรวมตัวม็อบที่ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว อีกฟากฝั่งหนึ่งเตรียมการสกัดกั้นอย่างใหญ่โต อึกทึก อีกเช่นเคย ด้วยการระดมกำลังพลเพื่อสกัดกั้น วันนี้ผู้คนหลั่งไหลมากันมากมายเป็นพิเศษ และดูจากสถานการณ์แล้ว อาจจะมีการปะทะกันอย่างแน่นอน ผมกับไอ้เมษ มาถึงม็อบตอนเวลาหกโมงเย็น
" วันนี้แม่งคนเยอะว่ะ "ไอ้เมษตะโกนแข่งกับรถเครื่องเสียงที่อยู่ใกล้ๆ "เออ กูก็ว่าน่ากลัวจะมีการปะทะ เป้มึงเตรียมน้ำพร้อมป่าววะ เผื่อพวกนั้นใช้แก๊สสลายชุมนุม " เออ! กูเตรียมมาพร้อมละ ตั้งแต่ออกจากโรงงานโน่นแน่ะ "
เวลาสองทุ่ม ผมกับไอ้เมษ ยืนฟังปราศรัย และผู้ชุมนุมกลุ่มอื่นเริ่มเคลื่อนตัว และเกิดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ ตามที่คาดการณ์ ฝั่งนั้นเริ่มปะทะและยิงแก๊สน้ำตาห่างๆ เพื่อสลายการชุมนุมบางจุด ผมกับไอ้เมษเริ่มขยับหาจุดปลอดภัย เพราะดูเหมือนเจ้าหน้าที่จะยิงแก๊สน้ำตาถี่ขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างนั้นผมได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังจากในเป้หลังของผมหลายครั้ง แต่ด้วยฝูงชนที่แออัดและเบียดเสียด
ทำให้ไม่ได้สนใจที่จะรับหรือดูมัน ผมกับไอ้เมษวิ่งถอยร่นลงมาเรื่อยๆ ห่างจากผู้ชุมนุมอยู่พอสมควร พวกเรานั่งรวมกลุ่มกับผู้ชุมนุมคนอื่นๆอยู่สักพัก ล้างหน้าล้างตา และช่วยดูคนอื่นๆที่โดนแก๊สน้ำตาอยู่สักครู่ มีน้องผู้หญิงคนหนึ่ง เดินมาขอขวดน้ำจากผมไปล้างหน้า ผมยื่นส่งให้เธอ เธอรับไปพร้อมกับกล่าวขอบคุณ " น้องมาคนเดียวหรือครับ " ผมถาม ..
เพราะเห็นเธอยืนอยู่คนเดียวจริงๆ " เปล่าค่ะพี่ หนูมากับเพื่อน แต่เพื่อนวิ่งออกไปด้านโน้น แต่ติดต่อกันได้แล้วค่ะ กำลังเดินมาสมทบ"
ในระหว่างนั้น อีกด้านหนึ่ง เจ้าหน้าที่ยังคงระดมยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่ผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง เพื่อหวังให้ม็อบยุติการชุมนุมเพราะขณะนี้กินเวลาเกือบสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว "น้องครับ ยังไม่เห็นเพื่อนของน้องเดินมาสมทบเลย " เสียงไอ้เมษเพื่อนผม ถามน้องผู้หญิงที่เดินมาขอน้ำเมื่อสักครู่
"หนูก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะพี่ แต่เพื่อนบอกให้รออยู่ด้านนี้ อย่าไปไหน เดี๋ยวจะคลาดเคลื่อนกัน อีกสักพักก็คงมาค่ะ"
อ้อ! โน่นไงพี่.. เดินมาโน่นแล้ว...
"อ๋อ ครับ งั้นพวกพี่จะเคลื่อนไปด้านโน้นก่อน เพื่อนของน้องมาแล้ว งั้นพวกพี่ไปนะ" ไอ้เมษบอกกับน้องผู้หญิงคนนั้น...
"ค่ะ ขอบคุณพี่ทั้งสองคนมากค่ะ ที่ให้น้ำล้างหน้าตาเมื่อครู่นี้ แล้วก็อยู่รอเป็นเพื่อน .. หนูชื่อน้ำใสนะคะ พวกพี่ชื่ออะไรคะ?
"พี่ชื่อเมษครับ แล้วนั่น ไอ้ก้าว เพื่อนพี่ "
"อ๋อค่ะ ขอบคุณพี่สองคนอีกครั้งค่ะ ครั้งหน้าหวังว่าเราคงได้พบกันอีกในม็อบนะคะ " น้องพูดขอบคุณ และจ้องหน้าผมอยู่ครู่หนึ่ง ........
" ครับ พวกพี่ไปก่อนนะ"
หลังจากนั้น ผมกับไอ้เมษก็มาสมทบกับม็อบอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งเวลานั้นเจ้าหน้าที่เริ่มถอยร่นออกไปรวมทั้งม็อบก็ค่อยๆสลายการรวมตัวออกมากันแล้ว เราสองคนนั่งอยู่บริเวณนั้นอีกประมาณเกือบชั่วโมง ก็ตกลงกันว่าจะแยกย้ายกันกลับบ้าน ตรงจุดนั้นเลย ... "เฮ้ยเมษ เดี๋ยวมึงกะกูแยกกันตรงนี้เลยนะ กูว่าน่าจะสลายกันไปเยอะแล้ว "
"เออ ดีเหมือนกัน นี่ก็จะห้าทุ่มละ งั้นเราแยกกันตรงนี้ละกัน มึงกลับบ้านดีๆล่ะ พรุ่งนี้วันหยุด มีไรค่อยโทรหากัน "
"เออๆ โชคดีโว้ย "
หลังจากแยกกับไอ้เมษ ผมก็เดินออกมาเรียกรถเท็กซี่เพื่อกลับบ้าน ระหว่างนั่งในรถ ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาดู มีสายเรียกเข้าจาก หวาน... สิบสองสาย ผมรีบกดโทรศัพท์ โทรหาหวานทันที ... ปรากฏว่าเป็นการฝากข้อความ ... หวานปิดเครื่อง..
มีเรื่องอะไรนะ ถึงโทรหาหลายสายขนาดนี้ ผมชักร้อนใจ เอะใจขึ้นมาทันที .......
ผมกดโทรศัพท์หาหวานตลอดทั้งคืน จนอ่อนใจ " พรุ่งนี้ค่อยโทรอีกที" บอกกับตัวเองแล้วเดินไปอาบน้ำเข้านอน และหลับไปด้วยความเหนื่อยเพลียอย่างสุดๆ
รุ่งเช้า ผมโทรหาหวานอีกครั้ง คราวนี้โทรติด แต่คนรับสายไม่ใช่หวาน !! "ฮัลโหล ผมขอพูดกับหวานครับ "
"แล้วนายเป็นใคร ถึงต้องการจะพูดกับน้องสาวของชั้น ?
" เอ่อ ผมเป็นเพื่อนหวานครับ หวานโทรหาผม แต่พอดีไม่ได้รับสาย เลยโทรกลับครับ" อืม หวานและเรากำลังยุ่งเรื่องงานศพคุณพ่อ ไว้ชั้นจะบอกหวานให้นะ " ครับ ขอบคุณครับ " !!!!!
ผมกำโทรศัพท์แน่น ยังมึนงงกับคำบอกเล่า ของพี่ชายแฟนสาวของผม .. พ่อของหวานเสียชีวิต ! เป็นอะไร ? ผมงุนงงไปหมด นี่คงเป็นสาเหตุที่หวานโทรหาผมเป็นสิบสายเวลาเมื่อวานเย็น .. ผมนึกโมโหตัวเอง ที่ไม่ได้รับฟังความเศร้าเสียใจที่หวานคงจะต้องการระบาย และหาคนรับฟัง ณ เวลานั้น ... และดูเหมือนว่าหวานคงจะโกรธ เสียใจ กับผมมากๆในตอนนี้ จึงเลี่ยงที่จะรับโทรศัพท์ผม และกลายเป็นว่า ผมกลับได้รับฟังเรื่องนี้จากพี่ชายของเธอ แทนที่จะเป็นคนแรก ที่ได้รับฟังจากปากของเธอเอง..
หลังจากวันนั้น ผมเฝ้าโทรหาหวาน แต่หวานก็ไม่รับโทรศัพท์ของผม จนเข้าอาทิตย์ที่สองนับจากวันที่ทราบว่าพ่อของหวานเสียชีวิต...
ระหว่างนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หวาน.. โทรกลับมาหาผม
"ฮัลโหล หวาน.. เป็นไงมั่ง ก้าวขอโทษที่ไม่ได้รับโทรศัพท์ของหวาน ก้าวอยู่ในม็อบ ก้าวไม่ได้ยิน .. ฮัลโหล หวาน.. พูดอะไรบ้างสิ อย่างเงียบแบบนี้ ก้าวขอร้อง "
ผมกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก ที่หวานเป็นแบบนี้ ..
" ก้าว.. หวานว่าเราห่างกันสักพักเถอะนะ หวานเหนื่อย .. "
"ไม่อ่ะ หวาน.. หวานอย่าพูดแบบนี้ ก้าวขอโทษ ก้าวห่วงหวานมากนะ"
"ห่วงเหรอ ห่วงแล้วไปอยุ่ไหนมา ไปม็อบน่ะเหรอ ในเวลาที่หวานเสียใจ อยากมีใครซักคนรับฟัง หวานไม่เห็นเจอก้าวเลย "
"พ่อหวานถูกยิงเสียขีวิต จากนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม หวานกลัว หวานอยากมีใครรับฟัง ทำไมก้าวเพิ่งมาเอาตอนนี้ ?
" ก้าวเอาแต่ไปม็อบ อนาคตของก้าวอยู่ตรงไหน ก้าวคิดเหรอ ว่าไอ้การไปม็อบไร้สาระของก้าว มันจะเปลี่ยนสังคมประเทศนี้ได้ คนตัวเล็กๆอย่างก้าวน่ะเหรอ ??
หึ... อย่าว่าแต่อนาคตของเราเลย เอาแค่อนาคตของก้าวเอง หวานยังมองไม่เห็นความชัดเจนตรงนั้นเลย ...
ผมนิ่งและอึ้งกับประโยคนี้ของแฟนผมนัก .. ใช่สิ ผมมันดูเหมือนคนไม่มีอนาคตจริงๆ อย่างที่หวานพูด รถยนต์ไม่มีขับ เงินเดือนก็ไม่มากมายอะไร ...
"เอาเถอะ หวานอาจจะกำลังโกรธก้าว ยังไงก้าวจะรอหวานนะ ถ้าเรื่องทางบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว.. ก้าวไม่ยอมรับ การเลิกคบกันของเรา ดังที่หวานพูดมา เราต้องเจอกันและพูดกันให้รู้เรื่อง ก้าวจะรอหวานมาหาที่กรุงเทพฯ นานเป็นเดือนก้าวก็จะรอ .....
จากวันสุดท้ายที่ได้คุยโทรศัพท์กัน จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบสามเดือน ผมก็แทบไม่ได้คุยกับหวานเลย โทรไป หวานก็ไม่รับสาย "หรือหวานจะตัดใจจากผมได้แล้วจริงๆ" ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งแทบเป็นบ้า ผมไม่กล้าไปหาหวานที่บ้าน เพราะเกรงว่าทางบ้านของหวานจะไม่ชอบ ผมอดทนทำงานอย่างคนหมดเรี่ยวแรงในแต่ละวัน จากไม่ค่อยดื่มเหล้าเบียร์ เดี๋ยวนี้ผมจะซื้อติดไม้ติดมือ กลับไปดื่มที่ห้องพักบ่อยครั้ง
ในระหว่างนี้ ผมก็ยังคงไปม็อบ ซึ่งบางครั้งก็เป็นกิจกรรมเล็กๆ และเจอกับน้ำใสบ่อยขึ้น .. "เฮ้ยก้าว วันนี้ไปกิจกรรม "ยืนหยุดขัง" กันนะ กูนัดน้ำใสไว้แล้ว " ไอ้เมษบอกกับผม ตอนพักเที่ยงกินข้าวที่โรงงาน
" อืม กูว่าวันนี้จะไปหาเหล้ากินที่ร้านหมูกะทะซะหน่อย เสร็จกิจกรรมแล้ว เราไปด้วยกันนะ " ก้าวพูดด้วยท่าทีที่นิ่งๆซึมๆ เมษ.. ผู้ซึ่งรู้เรื่องราวของเพื่อนกับแฟนสาวดี เอ่ยปลอบใจเพื่อน " ก้าว มึงอย่าคิดมากเลยวะ ให้เวลาหวานเค้าหน่อย บางทีเค้าอาจจะยังโกรธมึงอยู่ ไหนจะเพิ่งสูญเสียพ่อไปอีก มึงอดทนหน่อยนะ กูว่า เดี๋ยวหวานต้องมาหามึงเร็วๆนี้แหละ " เมษตบบ่าปลอบเพื่อนเบาๆ .. "เออก้าว มึงว่ากูจีบน้ำใสดีป่าววะ กูชอบเค้าว่ะ " ไอ้เมษเอ่ยถามความเห็นผม .. "มึงชอบเค้า มึงก็จีบเค้าสิวะ จะรออะไร "
"กูไม่กล้าว่ะ กลัวเค้าไม่ชอบกูเพราะว่า... "ไอ้เมษพูดจบแค่นั้น.. "เพราะว่าอะไรวะ " ผมเอ่ยถามเพื่อน ...
"เปล่า เพราะว่ากูกลัวเค้าอาจจะมีคนที่ชอบอยู่แล้วน่ะ ไม่มีอะไรหรอก "
"มึงไม่ลอง แล้วมึงจะรู้ได้ไงวะ เอาน่า กูจะช่วยเชียร์มึง ให้น้องเค้าชอบมึงให้ได้ "
ผมบอกกับเพื่อนไปแบบนั้น .. ไอ้เมษมองสบตาผมนิ่งนาน ....
สรุปวันนี้ ผมกับไอ้เมษ ก็มาถึงจุดจัดกิจกรรมพร้อมกับเจอน้ำใสและเพื่อน ตามที่ไอ้เมษได้นัดไว้ หลังจากเสร็จกิจกรรม ซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก ผมกับไอ้เมษ ก็ชวนน้ำใสกับเพื่อน ไปกินหมูกะทะร้านเดิม ร้านที่ผม หวาน และไอ้เมษ มากันบ่อยๆ เราสั่งอาหารและหมูกะทะ พร้อมเหล้าเบียร์มาเต็มโต๊ะ จนไอ้เมษร้องทักขึ้น
" เฮ้ยก้าว มึงสั่งเหล้ามา มึงกินคนเดียวนะ สั่งมาซะเยอะ กูไม่ช่วยนะโว้ย เดี๋ยวมึงเมา กูเมา ใครจะพาใครกลับบ้านวะ " "เออน่า กูกินคนเดียวหมด มึงอย่าห่วง ไอ้เมษ.. หรือถ้ากูเมา พากูกลับด้วยก็แล้วกัน " น้ำใสซึ่งแอบมองก้าวอยู่ก่อนแล้ว "พี่ก้าวดื่มบ่อยหรือคะ" น้ำหวานเอ่ยถาม..
" ป่าวหรอก ไอ้ก้าวมันงอนกับแฟนมันนิดหน่อยน่ะ แม่งกินยังกับคนอกหัก "
ไอ้เมษแซวผม ส่วนน้ำใส ได้แต่แอบมองหน้าผมเงียบๆ...
คืนนั้น ผมดื่มไปมากจนเมา ไอ้เมษคงเห็นท่าไม่ดี ก็ชวนกลับ ไอ้เมษมาส่งผมบริเวณหน้าหอพักราวๆสี่ทุ่ม "เฮ้ยมึงไหวนะไอ้ก้าว แน่ใจนะ ไม่ให้กูขึ้นไปส่งข้างบน "
" เออไหวน่า เดี๋ยวกูเดินขึ้นไปเอง มึงรีบไปส่งน้ำใสเถอะ เดี๋ยวจะดึกเกินไป "
"เออ เอาๆ ตามใจมึง งั้นกูไปนะ "
พอไอ้เมษกลับไปแล้ว ผมก็เดินขึ้นพ้องพักคนเดียว เมื่อถึงหน้าห้อง ผมแทบหายเมาเป็นปลิดทิ้ง หวาน .. ยืนอยู่หน้าห้องของผม ผมขยี้ตาด้วยความมึน ....
" หวาน.. หวานจริงๆด้วย หวานหายโกรธก้าวแล้วใช่มั๊ย ? " ด้วยความดีใจ ผมรีบเปิดประตูห้องแล้วดึงหวานเข้าไปข้างใน
" กลับซะดึกเลยนะก้าว ไปกินของอร่อยๆกับใครมาเหรอ ไปม็อบอย่างมีความสุข สนุกมากสินะ " "หวาน ไม่เอาน่า อย่าพูดประชดก้าวแบบนี้ ก็ไปกับไอ้เมษเหมือนเคยนั่นแหละ " หวานมาหาก้าว หวานหายโกรธก้าวแล้วใช่มั๊ย "
" เปล่าก้าว .. หวานมาเพื่อยืนยันคำเดิม ให้ก้าวได้ยินจากปาก ตามที่ก้าวต้องการ แล้ว หวานก็จะกลับ เราห่างกันสักพักนะ ทิ้งทุกอย่างไว้ตรงนี้... ตลอดเวลาที่เราคบกันมา ก้าวไม่เคยพูดถึงอนาคตของเรา ก้าวมีแต่ม็อบและการเมืองบ้าบออะไรนั่น สุดท้ายก้าวก็คงต้องกลับไปอยู่บ้านเกิดกับสวนยางป่ารกๆนั้นอยู่ดี รักอย่างเดียว มันไม่ทำให้ชีวิตคู่อยู่รอดหรอกนะ
เพราะนี่มันคือชีวิตจริง มันไม่ใช่นิยาย ..ขอให้ก้าวโชคดี กับสิ่งที่ชอบ .. หวานมาบอกแค่นี้ และหวานก็จะกลับแล้ว หวานไม่ได้ทำงานที่กรุงเทพฯนะ บริษัทที่หวานยื่นใบสมัครไป เค้าตอบรับ แล้ว และหวานก็ปฏิเสธเค้าไปแล้วด้วย หวานคงต้องทำงาน ดูแลธุรกิจของครอบครัวและใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านตลอดไป .. หวานไปนะก้าว .... " ทุกๆคำพูดของคนรักผมพรั่งพรูเหมือนน้ำตกในเหวนรก
สำหรับผมจริงๆ.. พูดจบหวานก็หันตัวกลับทำท่าจะเปิดประตูเดินออกไป .. ด้วยความงุนงง ตกตะลึง ไม่ทันได้ตั้งตัวกับคำพูดทั้งหลายนั้น ผมกระชากข้อมือน้อยๆของหวาน แล้วกอดและจูบอย่างรุนแรง ด้วยหนึ่งอารมณ์ของฤทธิ์เหล้า และความสับสน พร้อมกับความรู้สึกอยากกระชากสิ่งอันเป็นที่รัก ที่ผมกำลังจะสูญเสียไป กลับคืนมา..
ตลอดเวลาที่ผมกับหวานคบกัน ผมไม่เคยล่วงเกินเธอเลย มีเพียงจับมือถือแขนธรรมดาตามประสาหนุ่มสาว ถึงแม้ตลอดชีวิตวัยเรียนของผม จะเคยผ่านผู้หญิงมาไม่น้อยก็ตาม แต่กับหวาน ผมไม่เคยแตะต้อง ผมให้เกียรติคนที่ผมรักคนนี้เสมอ .. ด้วยความตกใจ หวานผลักผมพร้อมกับสะบัดฝ่ามือเล็กๆแต่น้ำหนักดีนั้น ลงบนหน้าผมอย่างแรง จนผมแทบหายเมา... " หวาน ก้าวขอโทษ .. ผมเห็นหวานร้องไห้ ตาแดงก่ำ " "
หวานเงียบ ไม่พูดอะไรอีก แล้ววิ่งออกจากห้องผมไปอย่างรวดเร็ว ผมทั้งเมาทั้งมึน กว่าจะตั้งหลักตั้งสติได้ ซึ่งก็วิ่งตามออกมาแทบไม่ทันแล้ว เมื่อถึงห้องพักชั้นล่าง ก็เห็นหวานขึ้นแท็กซี่หน้าหอพักออกไปอย่างรวดเร็ว ส่วนผมเวลานี้ ไร้เรี่ยวแรง กว่าจะเกาะบันไดพาร่างตัวเองเข้ามาถึงในห้อง ผมแทบคลานเหมือนสุนัข ทั้งเมาทั้งมึนงง สับสน ปะปนมั่วไปหมด ..
ผมนั่งพิงประตูห้อง อย่างคนที่ไม่มีหัวใจอีกต่อไปแล้ว เพราะมันบินตามคนรักของมันไป ความรู้สึกมันเหมือนตอนแรกที่เราพบกัน เพียงแต่ครั้งนี้ มันบินตามไปด้วยความโหยหา เจ็บช้ำ อย่างที่ผมไม่เคยรู้สึกกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน ...
ผมคิดทบทวน แบบสมองของคนเมาๆ ..
.. หรือว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่ผมควรจะปล่อยเธอไป .......
นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ก็เป็นเวลาสองปีกว่าๆแล้ว ที่หวานไม่ติดต่อผม ไม่ติดต่อไอ้เมษเพื่อนผม ส่วนผมน่ะเหรอ โทรหาแทบทุกวันในระยะแรกๆ จนผมอ่อนใจ ทุกคนอาจจะคิดว่า ถ้าผมรักหวานจริง ทำไมผมไม่ไปหาเธอที่บ้าน ? ไม่หรอกครับ ผมยังไม่พร้อมขนาดนั้น ถ้าผมจะไป ผมต้องพร้อมทุกอย่าง ทั้งความเป็นอยู่ หน้าที่การงาน และที่สำคัญ ผมไม่รู้ ว่าหวานจะยังรักผมอยู่หรือเปล่า เมื่อถึงเวลานั้น ...
ส่วนผม ยังคงรักเธอ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ...
วันนี้ก็อีกเช่นเคย กิจกรรมที่ผมและเพื่อน ยังขาดไม่ได้ คือการไปทำกิจกรรมการเมืองที่ม็อบ ช่วงระยะสองปีมานี้ น้ำใสเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหลายๆกิจกรรม ของผมและไอ้เมษ ทั้งการไปม็อบ เที่ยว ดูหนัง กินข้าว น้ำใสจะมีส่วนร่วมเสมอ และวันนี้ก็อีกเหมือนกัน หลังจากไปทำกิจกรรมย่อยๆกับม็อบเสร็จ เราก็ชวนกันไปกินข้าว ระหว่างนั่งรออาหาร
" เฮ้ยก้าว เดี๋ยวกูขอตัวไปคุยกับลูกค้านอกเวลางาน ที่ห้างฝั่งตรงข้ามโน้นซักแป๊บนะ พอดีลูกค้าเค้ามีบินพรุ่งนี้เช้า และมาทำธุระแถวนี้พอดี ยังเคลียร์รายละเอียดงานกับกูไม่จบ จะโทรคุยก็ไม่เคลียร์ กูไปแป๊บเดียว มึงสั่งอะไรมานั่งกินกับน้ำใสไปก่อนนะ... แต่ระหว่างกูไม่อยู่ มึงห้ามจีบน้องเค้านะโว้ย กูต่อยมึงหน้ายับแน่ " ไอ้เมษแซวผม ....
"มึงจะบ้าเรอะไอ้เมษ พูดอะไร เดี๋ยวกูเตะขาหัก มึงรีบๆไปเลย ขืนช้า มึงคงได้แทะแต่กระดูกหมูแน่ "
ว่าแล้วไอ้เมษก็กระโดดหลบเท้าผม ไปยืนหัวเราะ แล้วรีบเดินไปห้างฝั่งตรงข้ามทันที...
พูดจบ ผมหันมามองน้ำใส ซึ่งเธอกำลังจ้องมองผมอยู่ก่อนแล้ว .. "พี่ก้าวกับพี่เมษ เป็นเพื่อนกันนานแล้วเหรอคะ " น้ำใสเอ่ยถามผมเสียงต่ำๆ " ครับ ใช่แล้ว พี่กับไอ้เมษเป็นเพื่อนกันตั้งแต่สมัยมัธยมปลายน่ะครับ พี่สนิทและรักมันมาก เราเรียน เที่ยว แถมยังทำงานที่เดียวกันอีก "
" แล้วพี่เมษ เค้ามีแฟนหรือยังคะ " น้ำใสถาม.. ผมคิดในใจ เอาล่ะวะ ไอ้เมษ ดูทีน้องเค้าจะตกหลุมรักมึงซะแล้ว ..
" ยังครับ ไอ้เมษมันไม่มีใครเลย แต่มันเคยบอกพี่ ว่าแอบชอบผู้หญิงคนหนึ่ง มันยังมาปรึกษาพี่อยู่เลย ว่ามันจะบอกเค้าดีมั๊ย !
"หรือคะ ทำไมพี่เมษขี้ขลาดจังเลย ถ้าเป็นน้ำใส น้ำใสบอกไปนานแล้วค่ะ จะได้ชัดเจน รู้เรื่องไปเลย นิสัยของน้ำใส เป็นแบบนี้แหละ ไม่ชอบอ้ำอึ้ง " " ครับ ดีครับ " ผมเริ่มรู้สึกอึดอัด เมื่อต้องสนทนา และมองหน้าน้ำใสนานๆ
" พี่ก้าวคะ " ครับ !
" น้ำใสชอบพี่ก้าวค่ะ ! ชอบมานานแล้ว ตั้งแต่ที่เราเจอกันในม็อบครั้งแรก พี่ก้าวรู้สึกอะไรกับน้ำใสบ้างมั๊ยคะ " !!! ตะเกียบคีบหมูในมือผมแทบร่วง กับคำถามยิงตรง ไม่มีอ้อมของน้ำใส ประโยคนั้น !
" ขอบคุณน้ำใส ที่มอบความรู้สึกดีๆให้กับพี่นะครับ แต่พี่มีคนที่พี่รักมากอยู่แล้ว และถึงแม้ว่าตอนนี้ พี่กับเค้าจะไม่ได้พบกัน แต่พี่ก็ยังรักเค้ามาก จนพี่ไม่สามารถมอบความรู้สึกนี้ให้กับใครได้อีก พี่ต้องขอโทษน้ำใสนะ แต่พี่รักน้ำใสเหมือนเป็นน้องสาวคนหนึ่ง พี่เป็นลูกชายคนเดียว ไม่มีพี่มีน้อง ให้พี่รักและดูแลน้ำใส อย่างน้องสาวคนหนึ่งเถิดนะครับ "
ผมเห็นแววตาความเจ็บปวดของน้ำใสเพียงแวบเดียว ก็รีบกลบเกลื่อนอาการได้อย่างรวดเร็ว ดูเธอแข้มแข็ง ปรับสีหน้า ได้อย่างเป็นปกติ สมกับเป็นผู้หญิงที่มีแนวคิดและอุดมการณ์ทางการเมือง ที่ชัดเจนและแข้มแข็ง แถมเคยเผชิญม็อบและแก๊สน้ำตามาแล้ว ..
พี่ก้าว .. ขอน้ำให้น้ำใสขวดหนึ่งค่ะ " "น้ำใสเป็นอะไรหรือเปล่า " ผมรีบถามด้วยความตกใจ " เปล่าค่ะ สงสัยแก๊สน้ำตามันจะลอยมาจากไหนก็ไม่รู้ น้ำตาของน้ำใสไหลแล้วเนี่ย เร็วๆเข้า " พูดจบเธอก็หัวเราะขึ้น ผมจากที่ตกตะลึง ก็พลอยหัวเราะไปด้วย พร้อมส่งส่งกระดาษทิชชู่ให้เธอ มองด้วยความเข้าใจและเห็นใจ อย่างไม่รู้จะทำเช่นไร "พี่ก้าวไม่ต้องซีเรียสนะคะ น้ำใสได้บอกสิ่งที่อยากบอกไปแล้ว ถือว่าน้ำใสบรรลุทุกสิ่งที่อยากทำแล้ว ผู้หญิงคนนั้นโชคดีมากค่ะ ที่พี่ก้าวยังรักเธออยู่ตลอดเวลา ....
ผมกับน้ำใส มองหน้ากัน สบตาด้วยความเข้าใจ สักพักไอ้เมษก็กลับมา ... "เห้ย เรียบร้อย หมูกูยังอยู่ป่าววะ " ไอ้เมษหันไปมองน้ำใส แคลงใจในสีหน้าและดวงตาของน้ำใส แต่เมษก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทั้งสามคนนั่งกินต่อไปอย่างเงียบๆ บรรยากาศที่โต๊ะอาหาร เริ่มอึมครึมอีกครั้ง .....
จากวันเวลาที่เดินไปอย่างเชื่องช้าสำหรับผมนั้น ฟากหนึ่งผมยังเจ็บปวดกับความรัก และในขณะเดียวกัน ผมเติบโตขึ้นทั้งจิตใจ ความเป็นผู้ใหญ่ สุขุมมากขึ้น การไปม็อบของผม ก็เป็นเพียงไปสังเกตการณ์ ไม่ได้มุทะลุอยู่แนวหน้าเหมือนเมื่อก่อน ผมไป เพียงเพราะผมยังคงหวัง ที่จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของประชาธิปไตย อย่างแท้จริงเสียที
ส่วนหน้าที่การงานของผม ก็เติบโตขึ้นเป็นลำดับ จนผมได้ขึ้นตำแหน่งผู้จัดการฝ่าย นับว่าดีมากๆแล้วสำหรับผมกับตำแหน่งนี้ เพราะองค์กรที่ผมอยู่ เป็นบริษัทใหญ่ระดับประเทศ ผมมีรถประจำแหน่งขับแล้ว เงินเดือนก็มากพอที่จะมีคอนโดดีๆ เป็นของตัวเอง... ระหว่างนั่งทำงานในห้องคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แม่ผมโทรมา" ครับแม่!!! ก้าว เสาร์นี้ก้าวว่างมั๊ย กลับมาที่บ้านหน่อย และลางานซักสองวันนะ "
"แม่มีอะไรครับ " ผมถามแม่ด้วยความประหลาดใจ เพราะแม่ไม่ค่อยโทรมาเรื่องการกลับบ้านของผมมากนัก ด้วยรู้ว่าผมค่อนข้างที่จะงานยุ่ง " แม่กับพ่ออายุมากแล้วนะ และมีก้าวเป็นลูกเพียงคนเดียว แม่จะโอนที่ดินสวนยางของเราให้ก้าวทั้งหมด พ่อกับแม่จะได้หมดห่วง เพราะยังไง มันก็เป็นของก้าวอยู่แล้ว "
" ครับแม่ เดี๋ยวก้าวจะลางานสักสองวัน ก้าวกลับไปวันเสาร์นี้เลยนะแม่ ว่าจะนั่งรถไฟไป ก้าวไม่ได้นั่งรถไฟนานมากแล้ว เกือบสามปีแน่ะ "
"แม่จะรอนะ "
"ครับแม่" ผมวางสายจากแม่แล้ว ก็นั่งทำงานต่อ ผมต้องเคลียร์งานให้เสร็จวันนี้ เพราะพรุ่งนี้วันเสาร์ ผมต้องเดินทางแล้ว ...
วันนี้ผมนั่งรถไฟจากกรุงเทพฯ ในรอบเกือบสามปี เที่ยวขาลงใต้สุดในเวลาเช้า วันนี้เป็นวันเสาร์ คนจะไม่ค่อยมากนัก เพราะส่วนใหญ่ คนจะเริ่มเดินทางตั้งแต่เย็นวันศุกร์ โบกี้ที่ผมนั่ง ค่อนข้างจะไม่มีคนเลย เพราะเป็นโบกี้ท้ายขบวน ...
รถไฟวิ่งผ่านสถานีแล้วสถานีเล่า ผมนั่งคิดอะไรเพลินๆ มีงีบหลับบ้าง วันนี้ฝุ่น ค่องข้างเยอะ ลมแรง ผมดึงแว่นตาดำขึ้นมาใส่กันลม และตามเคย เมื่อเข้าเขตอำเภอสามร้อยยอด ผมก็เริ่มนับยอดเขายอดที่หนึ่ง คราวนี้ ผมตั้งใจจะนับให้ครบสามร้อยยอดให้ได้ ยอดเล็กยอดน้อยผมนับหมด มันจะได้หมดความคลางแคลงใจเสียที ระหว่างนับยอดเขาไปเรื่อยๆ
ความทรงจำหนึ่งในอดีต ก็ล่องลอยมาในสมองของผม แต่ผมพยายามขจัดความคิดนั้นออกไป มุ่งมั่นจะนับยอดเขาให้ครบให้ได้ " สองร้อยเก้าสิบเจ็ด .... สองร้อยเก้าสิบแปด ... สองร้อยเก้าสิบเก้า .......... สามร้อย ...... เห้ย สามร้อยยอดจริงๆ ครบแล้ว ... ผมดีใจที่ความมุ่งมั่นเล็กๆนี้สำเร็จจนได้
ขณะนึกดีใจ ผมก้มหน้าถอดแว่นกันแดด เพื่อเช็ดฝุ่นกับชายเสื้อ .. พลันนั้นก็ได้ยินเสียงเรียกแข่งกันกับเสียงลมนอกหน้าต่าง " คุณคะ ตรงนี้มีคนนั่งมั๊ยคะ"
ผมรีบสวมแว่น พร้อมตอบเสียงนั้น โดยยังไม่เงยหน้า พร้อมกับพูดว่า " ว่างครับ เชิญคุณนั่งตามสบายครับ"
พอหญิงสาวนั่งลงตรงหน้าผม พร้อมๆกับที่ผมเงยหน้า และเธอเองก็มองหน้าผมเต็มๆ
ให้ตายเถอะ หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าพ่อสามร้อยยอดจะดีใจ ที่ผมนับยอดเขาได้จนครบ จึงส่งผู้หญิงคนนี้ มาเป็นรางวัลแก่ผม ..
หวาน.... ผมตะลึง อยากหยิกตัวเองแรงๆ ว่าผมไม่ได้ฝันไป แต่คงไม่ต้อง เพราะลมนอกหน้าต่าง พัดแรงจนตาหูจมูกผม แทบจะไหลมารวมกันแล้ว .
ผมเรียกเธอด้วยเสียงตันในลำคอ ไม่รู้ตัว ว่ามันจะผ่านออกมาจากปากผมได้หรือไม่ แต่ที่รู้ๆ หัวใจผมเรียกชื่อเธอจนห้องแทบแตกแล้ว...
" จะให้ผมปิดหน้าต่างให้มั๊ยครับ "
" ไม่ต้องค่ะ ขอบคุณ "
พูดจบ เธอก็ลุกขึ้น แล้วหันมานั่งเก้าอี้ตัวเดียวกับผม ไหล่ชนกัน เธอกอดแขนผม และแนบใบหน้าลงกับไหล่ ผมอึ้ง นั่งเงียบ ทำอะไรไม่ถูก " " เอ้า ปิดหน้าต่างได้แล้วค่ะ ขี้เกียจตะโกนคุยด้วย " ผมรีบลุกขึ้นปิดหน้าต่างลงมาจนเกือบสนิท แง้มไว้นิดหน่อยเพื่อรับลมเย็นๆ ที่ใกล้จะค่ำลง..
"หวาน หวานมาได้ยังไง แล้วกำลังจะไปไหน "
ผมถามเธอด้วยเสียงงุนงงไม่หาย
" หวานจะนั่งรถไฟไปยะลา หาพี่ชายของหวานน่ะ พี่ชายหวานถูกย้ายไปที่โน่น แต่กะว่าจะลงสถานีชุมพร หาที่พักที่เที่ยวก่อนซักสองวัน ค่อยนั่งรถไฟไปต่อ แต่ยังไม่รู้จะพักที่ไหน " หวานพูดด้วยหน้าตาท่าทางจริงจัง ผมสังเกตหวานเปลี่ยนไปพอสมควร สวยขึ้นมาก คมคายกว่าแต่ก่อน ดูจะมีเนื้อเพิ่มขึ้นมานิดหนึ่ง แต่ยังคงเป็นหวานที่สวยมากๆสำหรับผม .....
ไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว กับกิริยาอาการ การกอดแขนผมไว้ การนั่งเอาใบหน้าซบไหล่ตลอดทางของหวาน ผมก็รู้ความรู้สึกทั้งหมดแล้ว ...
หวานบอกผมว่า พี่ขายของเธอ ตามสืบคดีของพ่อ เพราะคดีไม่มีความคืบหน้า และการสืบนี้ ทำให้มีปัญหาหลายๆอย่าง เกิดขึ้นในหน่วยงาน พี่ของเธอ จึงถูกย้ายไปอยู่จังหวัดทางชายแดนใต้ ...
" แล้วหวานมาได้ยังไง จนเจอก้าวเนี่ย "
"ก็หวานถามพี่เมษสิ ถึงรู้ว่าก้าวจะกลับบ้านวันนี้ "
"นี่หมายความว่า ไอ้เมษรู้และคุยกับหวานตลอดเลยเหรอ กลับไปจะไล่เตะมันให้หนักเลย ....
" ใช่ คุยกันเกือบสามเดือนแล้ว รู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับก้าวเลยด้วย ......หวานไม่เคยลืมก้าวหรอก แต่เวลานั้น อะไรหลายๆอย่างทำให้หวานไม่เข้าใจ ไม่ได้คิด จนเราโตพอในระดับหนึ่งนั่นล่ะ หวานจึงรู้ว่า ถ้าเรารักใครซักคน ต่อให้เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไกลแค่ไหน เราก็ยังคงคิดถึงคนๆนั้นได้เสมอ ..
" หวาน .. "
"หืมม มีอะไรหรือก้าว "
"ต่อไปนี้หวาน เรียกพี่ได้ไหม แล้วพี่จะให้กินขนมหมื่นห้า ... "
"บ้าเหรอก้าว จะโรแมนติคทั้งที ยังหยอดมุขตลกอยู่นั่นแหละ คารมแบบนี้นี่เอง สาวๆถึงชอบนัก" หวานหัวเราะพร้อมกับทุบไหล่ผม .... ผมหัวเราะพร้อมพูดว่า
" ไม่ใช่ ทีนี้ก้าวจริงจังนะ .. ก้าวอยากให้📖หวานเรียกพี่ เพราะต่อไปนี้ ก้าวจะไม่เป็นแฟน ไม่เป็นเพื่อน แต่จะเป็นคนปกป้อง ดูแลหวานอย่างคนรักและเหมือนพี่ชาย และอีกอย่าง ถ้าหวานเรียกก้าวว่าพี่ .. หวานจะได้ข่มก้าวไม่ลงไง"
"แค่เนี้ยนะ ประเด็นคือกลัวโดนข่ม ไหนบอกเป็นนักประชาธิปไตยไง หญิงชายต้องเท่าเทียม แต่เอาเถอะ จะเรียกก็แล้วกันนะ
"พี่ก้าว"
"นี่วันนั้นที่ตบพี่ พี่ยังไม่ได้เอาคืนเลยนะ เจ็บจนตาบวมเลยรู้รึเปล่า "
"เหรอ งั้นหวานขอโทษนะ จะลงโทษก็ได้ "
.. พูดจบหวานก็จูบผม สัมผัสนิ่งและนานเป็นการขอโทษที่ผมมีความสุขที่สุด เพราะการจูบนี้ เป็นการจูบด้วยความรัก ท่ามกลางความเข้าใจที่มีให้กัน ....
"พี่ก้าว ไปม็อบครั้งหน้าและครั้งต่อไป หวานจะไปด้วยนะ หวานต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศนี้ อย่างน้อยก็ในองค์กรของพี่ชายหวาน และคดีของพ่อ ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม หวานจะเป็นส่วนหนึ่ง ของการเปลี่ยนแปลงนี้ "
"ได้ครับ สาวน้อยนักประชาธิปไตย ของพี่ก้าว .....
คืนนี้หวานลงสถานีชุมพรกับพี่ก้าวนะ "
"ตกลงค่ะ ต่อไปนี้ หวานจะตามพี่ก้าวไปทุกที่ ไม่ให้คลาดสายตา อย่าร้องก็แล้วกัน " "ตกลงครับ พี่จะให้หวาน เป็นเจ้าของชีวิตพี่แต่เพียงผู้เดียวนะ" พูดจบผมก็กอดหวานไว้แนบไหล่ ท่ามกลางฟ้าด้านนอกหน้าต่างที่มืดลง แต่ในใจเราสองคนกลับสว่างไสว ด้วยความรักและเข้าใจตลอดไป.........
... แล้วมันก็จบลงแบบนี้ล่ะครับ ความรักของผมกับหวาน ส่วนไอ้เมษ ผมคิดว่า มันคงเอาชนะใจน้ำใสได้ไม่ยาก เพราะมันเองสมัยเรียน มันก็ตัวพ่ออยู่ครับเรื่องสาวๆ .. แต่จากนี้ไป ผมต้องทุ่มเททุกอย่างเพื่ออนาคตของผมล่ะครับ ผมไม่อยากพลาดโอกาสดีๆนี้ไปอีก และดูเหมือนทุกอย่าง กำลังไปได้สวย ความรักของผมลงตัวอย่างงดงามแล้ว เหลือแต่ประชาธิปไตย โอกาส ความเท่าเทียม สิทธิและเสรีภาพในประเทศที่ผมอยู่นี่แหละครับ ที่ผมจะต้องอดทนเพื่อให้ได้มา
ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งครับ ที่ติดตามเรื่องราวของผมตลอดมา หวังว่าต่อไป ทุกคนจะได้นั่งรถไฟความเร็วสูง ที่สะดวก สะอาด รวดเร็ว เทคโนโยลีล้ำๆ อย่าต้องมานั่งแบบผมกับหวานเลยครับ แต่จะว่าไปมันก็มีข้อดีนะครับ ที่ทำให้เราสองคนพบกัน .. สำหรับเรื่องนี้ พอแค่นี้ก่อนนะครับ ... หวานสะกิดผมจะเข้าห้องน้ำ ผมคงต้องไปนั่งเฝ้าเธอหน้าห้อง เห้อ ... นี่ล่ะครับ ห้องน้ำรถไฟไทย ... ขอบคุณทุกคนอีกครั้งครับ❤️❤️
โฆษณา