5 ธ.ค. 2022 เวลา 16:27 • นิยาย เรื่องสั้น
green tea
and the memory
“สวัสดีครับ รับอะไรดีครับ”
ผมกล่าวทักทายลูกค้าคนล่าสุดด้วยน้ำเสียงสดใส พร้อมกับรอยยิ้มเฉกกัน ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อย หรือเคร่งเครียดกับบางปัญหารายวันของชีวิตมาขนาดไหน ด้วยอาชีพนักบริการแล้ว มิตรไมตรีจิตคือสิ่งสำคัญจะผูกมัดลูกค้าในความประทับใจไม่มีวันลืม หากสบโอกาสอีกครา
“ชาเขียนเย็นแก้วหนึ่งครับ”
ขณะสายตาของเขากวาดไปที่แถวเค้กสามเหลี่ยมเรียงรายในตู้กระจกหน้าเคาน์เตอร์
“เพิ่งมาเปิดร้านใหม่ที่นี่เหรอครับ”
เขาเอ่ยถาม
“ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นน่ะครับ”
“ใช่ครับ”
เพียงแวบแรก ผมราวกับคุ้นเคยกับเขาอย่างน่าประหลาด เหมือนเคยได้เจอกันมาก่อน หากไม่รู้จักกับเขามาก่อน จะเป็นคนหน้าคล้ายในชีวิตก็ไม่ใช่ ผมจำไม่ได้หรอกว่าเคยเจอเขาที่ไหนมาก่อน
“รับเค้กด้วยไหมครับ”
ผมเอ่ยถาม เพื่อเรียกความสนใจของเขาในขณะนี้
“เค้กชาเขียวแล้วกันครับ”
เขาตอบรับ
“คุณชอบชาเขียวเหรอครับ”
ผมถาม
“ครับ เป็นชีวิตจิตใจเลยละครับ”
เขาตอบ
“หลังจากที่ได้เสี่ยงลองในสิ่งที่ไม่คิดจะกล้าลอง”
“กลัวว่ามันจะติดใจเหมือนเวลานี้เหรอครับ”
ผมกล่าวติดตลก ขณะเติมครีมเทียมลงไปทำให้ของเหลวที่กลั่นจากใบชาเขียวอบแห้งด้วยน้ำร้อนสีขุ่นๆ ในแก้วกลายเป็นสีเขียวข้น
“เปล่าหรอกครับ”
เขาแก้ต่าง
“คิดว่ากินไม่เป็น แล้วมันจะไม่ถูกปาก เลยไม่มีความสนใจอยากจะลองสักเท่าไร”
“แปลกนะครับ”
ผมกล่าวออกมา ทั้งที่จะเก็บไว้เป็นเพียงอาการคลุมเครือขมุกขมัวเหมือนมีเมฆหมอกภายในห้วงความคิด
เขาเลิกคิ้ว จับจ้องมาที่ผมอย่างใคร่สงสัย ระคนคิดว่าได้คุยกับตัวเองหรือไม่
“อย่างไรครับ”
“เหมือนประโยคเหล่านี้ มันคลับคล้ายคลับคลาอยู่ในหัวของผมเลยละครับ”
ผมกล่าว ก่อนจะชิงตัดบท เพราะไม่อาจหาคำตอบมาตอบอีกฝ่ายได้ จนกระจ่างด้วยกันทั้งคู่ เมื่อเห็นสีหน้าแววตาคิดไม่ตกของอีกฝ่ายแล้ว
“ช่างเถอะครับ อย่าสนใจอาการเพี้ยนๆ ของผมเลย”
หากเขาไม่คลายความใคร่รู้ตรงนี้ไป
“ว่าแต่คุณชอบชาเขียวมาตั้งแต่เมื่อไรกันครับ”
เขากำลังครุ่นคิดถึงช่วงเวลา คงจะจดจำได้ไม่แน่นอนเท่าไรก็เป็นไปได้ อาการเช่นนี้ใครๆ ก็คงเดาได้ไม่ยาก เมื่อต้องย้อนช่วงห่วงเวลาเล็กๆ ในชีวิตกลับไป ซึ่งไม่ได้เกิดเป็นความทรงจำที่ได้รับการจดจำ
“ผมเองก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร”
เขาไม่เชิงตอบ
“จำไม่ได้ว่าใครสักคนเหมือนให้ผมลองกิน เขาบอกผมประมาณว่า ผมอาจจะติดใจก็เป็นได้”
“คุณเคยเชื่อเขาไหมครับ”
“ไม่เคยเลยสักนิดครับ”
ผมหัวเราะน้อยๆ เขาก็หัวเราะตามผม
“แต่คุณก็กล้าวัดใจกับเขาไม่มากก็น้อย”
“คงประมาณนั้นละครับ”
“ไม่ได้เชื่อว่าเขาจะตัดสินความชอบของคุณต่อชาเขียวได้แม่นยำ เพียงเพราะความชอบของเขา”
“ผมเองก็ไม่มั่นใจเท่าไร”
เขาแก้ต่าง
“แต่มันก็ทำให้ผมประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน”
“เพราะชาเขียว”
ผมทายใจ
“หรือใครคนนั้นที่แนะนำให้คุณ”
“ทั้งคู่ละครับ”
เขากล่าว
“ผมอยากจะขอบคุณเขามากมายเหลือเกิน ไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
“ว่าแต่คุณจะทานที่นี่ หรือจะให้ผมแพ็กใส่กล่องเตรียมใส่ถุงให้เลยดีครับ”
“ทานนี่ละครับ”
เขาหันหลังไปกวาดสายตามองหาที่นั่งสักพัก แล้วจึงหันกลับมาจ่ายเงินค่าอาหารและเครื่องดื่ม รับจานเค้กชาเขียวและชาเขียวเย็นแก้วพลาสติกของร้าน ไปนั่งที่โต๊ะว่างตัวหนึ่ง
โต๊ะตัวนั้น ผมไม่คิดว่าเขาจะเลือกนั่งส่งๆ ผมอาจเดาไม่ผิด หรือไม่ได้คิดไปเองจากความรู้สึกบางอย่าง เพราะความเชื่อมั่นของตัวเองล้วนๆ เขาจะตั้งใจเลือกนั่งที่ตรงนั้น ก่อนจะหันมามองผม พร้อมกับรอยยิ้มของเขา
ผมเคยตกหลุมรักในรอยยิ้มแบบนั้นมาก่อน มันเป็นความประทับใจของเขาอย่างแน่นอน
ก่อนผมจะริเริ่มทำธุรกิจขนาดเล็กๆ ของตัวเอง ไม่ใหญ่มากจนเกินตัว พอจะดูแลด้วยตัวของตัวเองได้ไปก่อน หาจ้างแรงงานมาช่วยเหลือไม่กี่คนแบ่งเบาภาระที่ต้องรับผิดชอบทุกอย่างเพียงลำพังไปได้บ้าง ไม่หมดกำลังใจ เพราะความตรากตรำเสียก่อน กระนั้น ผมก็ไม่คิดจะทำให้มันกลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่เลยสักนิด อย่างการขยายสาขา ผมคิดเพียงว่าได้ลงมือทำในสิ่งที่ชอบเป็นพอ แค่นี้ก็สมใจอยากทั้งชีวิตแล้ว
ผมยื่นแก้วพลาสติกใบเล็กให้กับคนสัญจรแวะเข้ามาสนใจจะลองชิมฟรีด้วยฝีมือการชงชาเขียวของผม
ผมหวั่นใจต่อผลตอบสนองกลับมาอยู่บ้าง จะด้วยความเกรงใจต่อของฟรี หรือความตั้งใจของผู้ได้ลิ้มลองแล้วก็เอ่ยปากติชมช่วยทันที ถามไถ่ว่าทำไมผมถึงมาทำอะไรแบบนี้ ผมก็ได้ตอบความในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่ากับผู้คนมากหน้าหลายตา หลังจากความเพียรพยายามเรียนรู้อย่างหนักหน่วงกับการชงเครื่องดื่มมากมายให้ได้รสชาติที่คิดว่าดีที่สุดแล้ว
วันนี้เป็นเมนูเครื่องดื่มชาเขียว
จนกระทั่งชายร่างสูงโปร่งผ่านมา หยุดตัวเองและแวะเข้ามาเป็นคนสุดท้าย ตอนที่ผมเริ่มเก็บข้าวเก็บของเตรียมจะกลับบ้านแล้ว ก่อนบ่ายวันนี้จะหมดไป
“ฟรีเหรอครับ”
“ใช่ครับ”
ผมเอี่ยวตัวมาตอบส่งๆ ไปที
“ผมไม่เคยลิ้มลองอะไรที่เกี่ยวกับชาเขียวมาก่อนเลยน่ะครับ”
ผมหยุดจากการก้มจัดเก็บอุปกรณ์ และหันมาให้ความสนใจกับเขา
“สักครั้งในชีวิตของคุณ”
ผมกล่าวอย่างใคร่รู้
“ก็ไม่เคยเลยเหรอครับ”
“ใช่ครับ”
เขาพยักหน้าช่วยยืนยัน
“อย่างนี้แล้ว”
ผมเสนอทันควัน
“คุณอย่าได้เสียเวลาชีวิตไปกับชีวิตที่ไม่กล้าลองอะไรใหม่ๆ เข้าไปเพิ่มเติมในชีวิตของคุณเป็นประสบการณ์”
ผมว่าจบแล้วก็ยื่นชาเขียวแก้วสุดท้ายให้กับเขา
เขายังไม่รับไปทันที มีอาการชั่งใจกับตัวเอง
“คุณมั่นใจว่าผมจะไม่ถมมันทิ้งทีหลัง เมื่อรสชาติของมันไม่ถูกปากผมละครับ”
“คุณยังไม่ได้ลองมันเลยต่างหาก”
ผมกล่าว
“บางทีมันอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คุณคิดก็ได้นะครับ”
เขารับไป จดจ้องชาเขียวในแก้วพลาสติกใบเล็กนานสักพักหนึ่ง เขาคงชั่งใจว่าจะเอามันใส่ปากเลยดีไหม ทำอย่างกับว่ามันผสมยาพิษอย่างไรอย่างนั้น
ผมหัวเราะน้อยๆ
“คุณเอาแต่จดจ้องอย่างนั้น”
ผมกล่าว
“มันจะทำให้คุณรู้ได้ยังไงว่ามันจะถูกปากไม่ถูกปากกันละครับ”
“ผมไม่เคยให้เวลาตัวเองกับมันเลยด้วยซ้ำ”
“ผมไม่เห็นว่าคุณจะต้องคิดทบทวนนานขนาดนั้นเลย”
ผมทำท่าทำมือกำวัตถุประเภททรงกลม แล้วยกมือขึ้นหาปากราวกับกระดกบางอย่างเข้าไป มีเพียงแต่อากาศเท่านั้น
“แค่กระดกใส่ปากก็สิ้นเรื่องแล้วละครับ”
ผมบอก
มองนาฬิกาข้อมือ
“เออ --- ผมขอตัวก่อนนะครับ”
“ว่าแต่---”
เขาร้องทัก ตอนผมกำลังจะหันหลังจากไป
“ทำไมคุณถึงทำน้ำเครื่องแจกจ่ายคนผ่านไปผ่านมาละครับ”
“ผมกำลังคิดจะเปิดธุรกิจร้านคาเฟ่น่ะครับ”
ผมบอก
“ถ้าหากคุณติดใจชาเขียวของผม อย่าลืมแวะมาอุดหนุนร้านผมด้วยนะครับ”
เขาพยักหน้าตอบรับ
ผมโบกมือลาเขา
ผมไม่รู้ว่าเขาคือคนละแวกนี้หรือไม่ เป็นเวลาหลายเดือนกับการก่อร่างสร้างตัว สร้างความมั่นใจในอาชีพนักปรุงเครื่องดื่ม ผมเรียนรู้ และด้วยความชอบส่วนตัวอยากทำขนมเค้กควบคู่กันไปด้วย มิหนำซ้ำ ราวกับเป็นช่วงเวลาของผมในเวลาที่พร้อมพอดี ผมก็ได้เป็นเจ้าของร้านที่เพ่งเล็งมาตลอด อดีตเจ้าของร้านต้องย้ายที่อยู่ไปไกล
มีลูกค้าสัญจรและละแวกนี้ผ่านมาใช้บริการประปราย หากก็เกินความคาดหวัง ที่เคยคิดไว้ว่ากว่าจะมีใครกล้ามาใช้บริการ ช่วงแรกๆ ของการทำธุรกิจประเภทนี้ก็คงจะเงียบเหงา
“สวัสดีครับ รับอะไรดีครับ”
ผมทักทายลูกค้าเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเปิดประตูเข้าร้านมา ขณะสายตาของเขากวาดมองไปรอบๆ ร้าน ดูรายละเอียดการจัดตกแต่งแบบเรียบง่ายสไตล์ที่ผมชอบ และให้มีบรรยากาศเหมาะแก่การมานั่งดื่มเครื่องดื่มสบายๆ ระหว่างวัน ให้เป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อน
“ร้านเพิ่งเปิดใหม่เหรอครับ”
“ใช่ครับ ไม่กี่เดือนมานี้เองครับ”
“ผมไม่ใช่คนแถวนี้น่ะครับ แต่มาทำธุระแถวนี้อยู่บ้าง”
“ครับ”
“ผมรับชาเขียวแก้วหนึ่งครับ”
สายตาของเขากวาดมองเค้กสามเหลี่ยมในตู้กระจกหน้าเคาน์เตอร์อยู่นั้น ผมจึงเอ่ยถามจุดสนใจของเขาทันใด
“รับเค้กเพิ่มด้วยไหมครับ”
“เอาเป็นเค้กชาเขียวแล้วกันครับ”
“คุณชอบชาเขียวเหรอครับ”
ผมเอ่ยถาม
“ครับ เป็นชีวิตจิตใจเลยละครับ”
เขาตอบ
“หลังจากที่ได้ลองเสี่ยงในสิ่งที่ไม่คิดจะลองเสี่ยงมาก่อนเลย”
“กลัวว่ามันจะติดใจเหมือนเวลานี้เหรอครับ”
ผมกล่าวติดตลก ขณะเติมครีมเทียมลงไปทำให้ของเหลวที่กลั่นจากใบชาเขียวอบแห้งด้วยน้ำร้อนสีขุ่นๆ ในแก้วกลายเป็นสีเขียวข้น
“เปล่าหรอกครับ”
เขาแก้ต่าง
“คิดว่ากินไม่เป็น แล้วมันจะไม่ถูกปาก เลยไม่มีความสนใจอยากเสี่ยงลองสักเท่าไร”
“เช่นนั้น”
“ครับ”
“ว่าแต่คุณชอบชาเขียวมาตั้งแต่เมื่อไรกันครับ”
เขาครุ่นคิดถึงช่วงเวลาที่คงจะจดจำได้ไม่แน่นอนเท่าไรก็เป็นไปได้ อาการเช่นนี้ใครๆ ก็คงเดาได้ไม่ยากนัก เมื่อต้องย้อนช่วงห่วงเวลาเล็กๆ ในชีวิตกลับไป ซึ่งไม่ได้เกิดเป็นความทรงจำที่ได้รับการจดจำ
“ผมเองก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร”
เขาไม่เชิงตอบ
“จำไม่ได้ว่าใครสักคนเคยให้ผมลองกิน เขาบอกผมประมาณว่า ผมอาจจะติดใจ”
“คุณเคยเชื่อเขาบ้างไหมครับ”
“ไม่เคยเลยสักนิดครับ”
ผมหัวเราะน้อยๆ เขาก็หัวเราะตามผม
“แต่คุณก็กล้าจะวัดใจกับเขาไม่มากก็น้อย”
“คงประมาณนั้นละครับ”
“ไม่ได้เชื่อว่าเขาจะตัดสินความชอบของคุณต่อชาเขียวได้แม่นยำ เพียงเพราะความชอบของเขา”
“ผมเองก็ไม่มั่นใจเท่าไร”
เขาแก้ต่าง
“แต่มันก็ทำให้ผมประหลาดใจไม่น้อย”
“เพราะชาเขียว”
ผมทายใจ
“หรือใครคนนั้นที่แนะนำให้คุณ”
“ทั้งคู่ละครับ”
เขากล่าว
“ผมอยากจะขอบคุณเขามากมายเหลือเกิน”
“ว่าแต่คุณจะทานที่นี่ หรือจะให้ผมแพ็กใส่กล่องเตรียมใส่ถุงให้เลยดีครับ”
“ทานนี่ละครับ”
เขาหันหลังไปกวาดสายตามองหาที่นั่งสักพัก แล้วจึงหันกลับมาจ่ายเงินค่าอาหารเครื่องดื่ม พร้อมกับรับจานเค้กชาเขียวและชาเขียวเย็นแก้วพลาสติกของร้าน ก่อนจะไปนั่งที่โต๊ะว่างตัวนั้น
“ว่าแต่---”
ผมกล่าว
“คุณพอจะช่วยดื่มมันต่อหน้าผม และบอกความรู้สึกของคุณต่อชาเขียวของผมจะได้ไหมครับ”
เขาดูงุนงงและยังไม่เข้าใจสิ่งที่ผมต้องการจะสื่อ สักพักเขาก็เข้าใจได้เองจนได้
“ตกลงครับ”
เขายกแก้วขึ้น ปลายหลอดสีดำจ่อเข้ากับปาก ดูดชาเขียวหนึ่งอึก พลางทำหน้าครุ่นคิดบางอย่าง
“ผมรู้สึกแตกต่างจากชาเขียวที่อื่นๆ”
เขาบรรยายความรู้สึก
“ดีไหมครับ”
“ดีครับ แต่---”
ผมเฝ้ารอคำอธิบายเพิ่มเติมของเขาอย่างใจจดใจจ่อ
“รู้สึกคุ้นเคยแปลกๆ --- แต่ก็ช่างเถอะครับ”
เขากล่าวปัดๆ ไปนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่ง หันมายิ้มให้ผม ผมยิ้มตอบกลับ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือจากในกระเป๋ากางเกงดึงความสนใจของเขาไป แล้วเขาก็ถือจานเค้กมาหาผม
“วานใส่กล่องให้ได้ไหมครับ”
เขาเอ่ยถามอย่างเกรงใจ
“พอดีผมมีธุระด่วนต้องรีบเดินทางน่ะครับ”
ผมจัดการตามความเร่งรีบของเขา เขาหันมารับถุงเค้กชาเขียวไปจากมือของผม ก็รีบหุนหันออกจากร้านของผมไปโดยเร็วไว คงเป็นธุระสำคัญมากทีเดียว ต้องไปให้ทันตามเวลากำหนด พอดีกับที่ลูกค้าอีกคนเดินสวนเขาเข้ามาในร้าน ได้พรากเขาไปจากสายตาของผมแล้ว
ไม่รู้ผ่านมานานเท่าไร แต่ก็ทำให้ฝังลึกอยู่ในความทรงจำของผม จนรู้สึกยากจะทำใจให้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต ที่ไม่ได้คาดฝันไว้เลยจะเกิดขึ้นได้ เพราะผมไม่เคยจะคำนึงถึงมันต่างหากหนึ่ง ผมกะจะให้สถานที่แห่งนี้เป็นหลักเป็นฐานไปตลอดกาล
ก็ถึงคราวที่ต้องพลัดพรากจากกันไปในที่สุด ผมก็ได้เปิดร้านใหม่ เมื่อย้ายมาอยู่ที่อยู่ใหม่ ไม่นานเกินรอคอยกับการตามหาอีกครั้ง
ผมออกแบบให้บรรยากาศมันคล้ายเดิมมากที่สุด แม้จะต่างสถานที่ แต่จะทำให้ภายในร้านโดยภาพรวมทุกองค์ประกอบเหมือนกับร้านเดิมอันคุ้นเคยมากที่สุด ยามทอดสายตามองออกไปข้างนอกร้านผ่านผนังกระจกจะทำให้รู้สึกแปลกใหม่ไปบ้างที่เผลอลืม เปลี่ยนไปเป็นภาพถนนใหญ่ มีรถราคับคั่งบางช่วงเวลาอย่างเช่นตอนเช้าและเย็นจวบจนค่ำมืด
เที่ยงวันนี้ ลูกค้าสัญจรประปรายนั่งกันภายในร้าน คงจะแวะเข้ามาหลบแดดร้อนแรงกล้าเข้ามาตากลมเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศสบายๆ ผมที่เพิ่งจะว่างจากลูกค้าได้ไม่นาน ประตูร้านถูกผลักเปิดเข้ามา
ผมกล่าวทักทายลูกค้าคนล่าสุดด้วยน้ำเสียงสดใส พร้อมกับรอยยิ้มเฉกกัน ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อย หรือเคร่งเครียดกับบางปัญหารายวันของชีวิตมาขนาดไหน ด้วยอาชีพนักบริการแล้ว มิตรไมตรีจิตคือสิ่งสำคัญจะผูกมัดลูกค้าในความประทับใจไม่มีวันลืม หากสบโอกาสอีกครา
“ชาเขียนเย็นแก้วหนึ่งครับ”
ขณะสายตาของเขากวาดไปที่แถวเค้กสามเหลี่ยมเรียงรายในตู้กระจกหน้าเคาน์เตอร์
“เพิ่งมาเปิดร้านใหม่ที่นี่เหรอครับ”
เขาเอ่ยถาม
“ผมเพิ่งจะสังเกตเห็นน่ะครับ”
“ใช่ครับ”
เพียงแวบแรก ผมราวกับคุ้นเคยกับเขาอย่างน่าประหลาด เหมือนเคยได้เจอกันมาก่อน หากไม่รู้จักกับเขามาก่อน จะเป็นคนหน้าคล้ายในชีวิตก็ไม่ใช่ ผมจำไม่ได้หรอกว่าเคยเจอเขาที่ไหนมาก่อน
“รับเค้กด้วยไหมครับ”
ผมเอ่ยถาม เพื่อเรียกความสนใจของเขาในขณะนี้
“เค้กชาเขียวแล้วกันครับ”
เขาตอบรับ
“คุณชอบชาเขียวเหรอครับ”
ผมถาม
“ครับ เป็นชีวิตจิตใจเลยละครับ”
เขาตอบ
“หลังจากที่ได้เสี่ยงลองในสิ่งที่ไม่คิดจะกล้าลอง”
“กลัวว่ามันจะติดใจเหมือนเวลานี้เหรอครับ”
ผมกล่าวติดตลก ขณะเติมครีมเทียมลงไปทำให้ของเหลวที่กลั่นจากใบชาเขียวอบแห้งด้วยน้ำร้อนสีขุ่นๆ ในแก้วกลายเป็นสีเขียวข้น
“เปล่าหรอกครับ”
เขาแก้ต่าง
“คิดว่ากินไม่เป็น แล้วมันจะไม่ถูกปาก เลยไม่มีความสนใจอยากจะลองสักเท่าไร”
“แปลกนะครับ”
ผมกล่าวออกมา ทั้งที่จะเก็บไว้เป็นเพียงอาการคลุมเครือขมุกขมัวเหมือนมีเมฆหมอกภายในห้วงความคิด
เขาเลิกคิ้ว จับจ้องมาที่ผมอย่างใคร่สงสัย ระคนคิดว่าได้คุยกับตัวเองหรือไม่
“อย่างไรครับ”
“เหมือนประโยคเหล่านี้ มันคลับคล้ายคลับคลาอยู่ในหัวของผมเลยละครับ”
ผมกล่าว ก่อนจะชิงตัดบท เพราะไม่อาจหาคำตอบมาตอบอีกฝ่ายได้ จนกระจ่างด้วยกันทั้งคู่ เมื่อเห็นสีหน้าแววตาคิดไม่ตกของอีกฝ่ายแล้ว
“ช่างเถอะครับ อย่าสนใจอาการเพี้ยนๆ ของผมเลย”
หากเขาไม่คลายความใคร่รู้ตรงนี้ไป
“ว่าแต่คุณชอบชาเขียวมาตั้งแต่เมื่อไรกันครับ”
เขากำลังครุ่นคิดถึงช่วงเวลา คงจะจดจำได้ไม่แน่นอนเท่าไรก็เป็นไปได้ อาการเช่นนี้ใครๆ ก็คงเดาได้ไม่ยาก เมื่อต้องย้อนช่วงห่วงเวลาเล็กๆ ในชีวิตกลับไป ซึ่งไม่ได้เกิดเป็นความทรงจำที่ได้รับการจดจำ
“ผมเองก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร”
เขาไม่เชิงตอบ
“จำไม่ได้ว่าใครสักคนเหมือนให้ผมลองกิน เขาบอกผมประมาณว่า ผมอาจจะติดใจก็เป็นได้”
“คุณเคยเชื่อเขาไหมครับ”
“ไม่เคยเลยสักนิดครับ”
ผมหัวเราะน้อยๆ เขาก็หัวเราะตามผม
“แต่คุณก็กล้าวัดใจกับเขาไม่มากก็น้อย”
“คงประมาณนั้นละครับ”
“ไม่ได้เชื่อว่าเขาจะตัดสินความชอบของคุณต่อชาเขียวได้แม่นยำ เพียงเพราะความชอบของเขา”
“ผมเองก็ไม่มั่นใจเท่าไร”
เขาแก้ต่าง
“แต่มันก็ทำให้ผมประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน”
“เพราะชาเขียว”
ผมทายใจ
“หรือใครคนนั้นที่แนะนำให้คุณ”
“ทั้งคู่ละครับ”
เขากล่าว
“ผมอยากจะขอบคุณเขามากมายเหลือเกิน ไม่มีโอกาสอีกแล้ว”
“ว่าแต่คุณจะทานที่นี่ หรือจะให้ผมแพ็กใส่กล่องเตรียมใส่ถุงให้เลยดีครับ”
“ทานนี่ละครับ”
เขาหันหลังไปกวาดสายตามองหาที่นั่งสักพัก แล้วจึงหันกลับมาจ่ายเงินค่าอาหารและเครื่องดื่ม รับจานเค้กชาเขียวและชาเขียวเย็นแก้วพลาสติกของร้าน ไปนั่งที่โต๊ะว่างตัวหนึ่ง
โต๊ะตัวนั้น ผมไม่คิดว่าเขาจะเลือกนั่งส่งๆ ผมอาจเดาไม่ผิด หรือไม่ได้คิดไปเองจากความรู้สึกบางอย่าง เพราะความเชื่อมั่นของตัวเองล้วนๆ เขาจะตั้งใจเลือกนั่งที่ตรงนั้น ก่อนจะหันมามองผม พร้อมกับรอยยิ้มของเขา
ผมแอบเฝ้ามองเขาเป็นระยะๆ กำลังครุ่นคิดถึงบางเรื่องราวอย่างเลือนรางเกี่ยวกับอีกฝ่าย ขณะเขาสนใจอยู่แต่กับสิ่งที่แสดงอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขา ไม่แม้จะรู้ตัวว่าถูกจับตามองอยู่ นิ้วโป้งของเขาก็ใช้มันเขี่ยหน้าจอขึ้นๆ ลงๆ ไปด้วย บางทีก็สนใจอยู่นานเป็นนาทีสองนาที จนผมเองก็อยากจะรู้ว่าอะไรที่ทำให้เขาดูสนใจมันมากขนาดนั้น
ผมไม่ปฏิเสธความรู้สึกที่มีต่ออีกฝ่ายได้เลย ทันทีที่เขากำลังจะออกจากร้านของผมไป
ผมร้องเรียกเขาไว้ก่อน หลังจากที่ยื่นเครื่องดื่มให้กับลูกค้าคนล่าสุดกำลังตรงออกจากร้านไปแล้ว
“เดี๋ยวก่อนครับ คุณ”
เขาหยุดยืนมองมาที่ผม ผมเดินตรงเข้าไปหาเขา
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“พอดีผมนึกถึงใครบางคนได้”
ผมรีบบอก ไม่อยากเสียมารยาทรบกวนเวลาของเขามากไป
“คือคุณทำให้ผมนึกถึงใครบางคนที่คล้ายๆ กับคุณที่เคยเจอมาก่อนน่ะครับ”
“อย่างไรเหรอครับ”
“เขาคนนั้นที่ไม่เคยลองกินอะไรที่เกี่ยวกับชาเขียวเลยในชีวิตของเขา และก็น่าจะเป็นคนเดียวกันที่ผมสันนิษฐานเคยบอกกับผมว่า เขาชอบชาเขียวเป็นชีวิตจิตใจ หลังจากที่ได้ลองลิ้มลองมันแล้ว”
เขายิ้มรับ
“ผมว่าระหว่างคุณกับเขาคงได้กลับมาเจอกันอีกครั้งแล้วละครับ”
“ว่าแต่ผมจะได้เจอเขาอีกครั้งเมื่อไรอีกละครับ”
ผมกล่าว รู้และเข้าใจแล้วว่าคงได้กลับมาเจอคนคนเดียวกันกับวันนั้นอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาร่วมสองถึงสามปี ที่จำกันแทบไม่ได้เลย
“คงจะเรื่อยๆ ละมังครับ เพราะเขาคนนั้นอาศัยอยู่แถวๆ นี้พอดีครับ”
ติดตามงานเขียนเรื่องสั้นอื่นๆ ได้ที่
โฆษณา