6 ธ.ค. 2022 เวลา 09:59 • ข่าว
เปิดข้อเสนอ ให้สิทธิต่างชาติซื้อที่ดินในไทย สร้างรายได้ เสริมเศรษฐกิจประเทศ
โดย วิกรม กรมดิษฐ์
ผมมีเรื่องราวที่คนไทยให้ความสนใจอยู่เป็นจำนวนมาก กับประเด็นร้อนที่เกี่ยวข้องทั้งกับคนไทยในประเทศและชาวต่างชาติ และยังคงเป็นที่วิเคราะห์วิจารณ์กันอยู่ในหลายๆ เรื่อง
ตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมา ประเด็นนี้จึงเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจและน่าติดตามเป็นอย่างยิ่งคือ เรื่องของการให้สิทธิต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยในประเทศไทย และเป็นสิ่งที่คนไทยในส่วนของกลุ่มที่คัดค้านกังวล
เนื่องจากคิดว่าการกระทำดังกล่าวคือการขายชาติและในอนาคตต่างชาติอาจจะเข้ามายึดครองที่ดินในประเทศไทย เหมือนที่เคยเกิดเหตุการณ์ขึ้นที่ประเทศกัมพูชา ที่มีชาวจีนเข้าเข้าไปซื้อจนสามารถสร้างเป็นเมืองขึ้นมาได้ ในที่สุดชาวกัมพูชาในพื้นที่นั้นก็ถูกขับไล่ออกมา
จนเกิดการวิเคราะห์กันว่าในอนาคตกัมพูชาอาจจะตกเป็นเมืองขึ้นของจีน ซึ่งทำให้ในส่วนของประเทศไทยก็มีคนที่กังวลแบบนั้นเช่นเดียวกัน
ในเรื่องนี้ผมอยากให้เราลองมองย้อนกลับไปที่อดีตของประเทศไทย ที่เราเคยประสบความสำเร็จในสมัยที่พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี เคยได้มีการออกกฎกระทรวงให้ต่างชาติสามารถมีสิทธิซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อการอยู่อาศัยได้
แต่มีการกำหนดสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ที่สามารถซื้อได้ชัดเจน จนกระทั่งถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงกฏดังกล่าว และยังไม่เคยมีการพูดถึงประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการออกกฎกระทรวงฉบับนี้
ในขณะที่มองในมุมกลับกันลองดูประเทศที่เขาเปิดโอกาสให้ต่างชาติเข้าไปลงทุนซื้อที่ดินเพื่ออยู่อาศัยได้ เช่น อเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา สิงคโปร์ เป็นต้น
ประเทศเหล่านี้ล้วนแต่เป็นประเทศร่ำรวย ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศค่อนข้างมีฐานะดี รัฐบาลจึงไม่มีความกังวลในประเด็นเรื่องของประชากรในประเทศจะไม่มีที่อยู่อาศัย
แต่ประเทศไทยของเรา มีความใกล้เคียงกับกัมพูชาที่ประชากรของเราไม่ได้มีความร่ำรวย แบบประเทศที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น ดังนั้นเมื่อมีนโยบายเปิดพื้นที่ให้ต่างชาติเข้ามาซื้อที่ดินได้คนไทยจึงมีความกังวลว่าจะไม่มีที่อยู่อาศัยเกิดขึ้น
ในมุมมองของผมความกังวลของคนไทยที่กลัวไม่มีที่อยู่อาศัยเหล่านี้อาจจะก่อให้เกิดปัญหา เราจึงต้องนำปัญหาเหล่านี้มาเป็นตัวตั้งใช้ในการพิจารณา เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นความละเอียดอ่อนของสังคม โดยการพิจารณาอาจจะต้องวิเคราะห์ให้เกิดความชัดเจนในประเด็นหลัก
ข้อแรกคือ ประโยชน์ที่ไทยจะได้จากการที่ต่างชาติเอาเงินมาลงทุนตามเงื่อนไขของรัฐบาลคือ 40 ล้านบาท ให้สิทธิ์ในการซื้อที่ดิน 1 ไร่
แต่จะเป็นไปได้หรือไม่หากรัฐบาลมีข้อกำหนดเพิ่มเติมคือให้ต่างชาติมีสิทธิ์ที่จะซื้อที่ดินเฉพาะภายในหมู่บ้านจัดสรรเท่านั้น เพื่อใช้หมู่บ้านเป็นตัวกำหนดขอบเขตพื้นที่สำหรับชาวต่างชาติ เหมือนตอนสมัยตอนที่มีการออกกฎกระทรวงให้ต่างชาติมีสิทธิ์ซื้อคอนโดได้เมื่อสมัยก่อน
ประเทศไทยมีพื้นที่อยู่ทั้งหมดประมาณ 330 ล้านไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ทำการเกษตรประมาณ 130 ล้านไร่ เรายังเหลือพื้นที่อยู่อีกเกือบประมาณ 200 ล้านไร่ ที่เป็นภูเขาและเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ได้มีการใช้ประโยชน์
ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือต้องมีการพิจารณาและวิเคราะห์อย่างรอบคอบ หากพิจารณาไม่รอบคอบอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนในระดับรากหญ้าและระดับกลางในอนาคต ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีกำลังในการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง
วันนี้ในประเทศไทยมีหมู่บ้านจัดสรรอยู่เป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับการที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ทำในการตั้งนิคมอุตสาหกรรมต่างๆที่มีอยู่ทั่วประเทศ และมีการอนุมัติอนุญาตให้ต่างชาติมีสิทธิเข้ามาซื้อที่ดินภายในนิคมอุตสาหกรรมเพื่อการลงทุนได้
ซึ่งจะเห็นได้ว่าการลงทุนเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไร ทั้งที่มีการดำเนินการมาแล้วกว่า 40 ถึง 50 ปี
ดังนั้น รูปแบบในเรื่องของการให้ต่างชาติมีสิทธิ์ในการซื้อที่ดินโดยเฉพาะในหมู่บ้านจัดสรรที่มีมาตรฐานและถูกต้อง โดยกำหนดเปอร์เซ็นต์สัดส่วนในการซื้อที่ชัดเจน เช่นเดียวกับรูปแบบของการอนุญาตให้ซื้อคอนโด ซึ่งหากทำได้ผมเชื่อว่าธุรกิจของบ้านจัดสรรของไทยจะเติบโตเพิ่มมากขึ้น
ข้อ 2 คือหากเมื่อมีการลงทุนจากชาวต่างชาติเหล่านี้แล้วก็จะทำให้เกิดระบบการหมุนเวียนทางด้านเศรษฐกิจการเงินขึ้นภายในประเทศไทย
เงินเหล่านี้ผมมองว่าเป็นเงินที่เปรียบเสมือนการได้ฟรี ที่รัฐบาลไทยไม่ต้องไปกู้ยืมจากประเทศอื่นๆมา เพราะเป็นเงินที่ชาวต่างชาตินำเข้ามา ซื้อบ้าน ซื้อที่ดิน เท่ากับว่าเม็ดเงินตรงนี้เจ้าของที่ดินในหมู่บ้านจัดสรร เจ้าของโครงการหมู่บ้านจัดสรร บริษัทวัสดุก่อสร้าง รวมถึงแรงงาน ล้วนแต่ได้ประโยชน์
นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการซื้อขายสินค้าสาธารณูปโภค ต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่โดยรอบก็ได้ประโยชน์ตามมาอีกด้วย และที่สำคัญต้องไม่ทำให้เกิดความกังวลในกลุ่มคนในระดับรากหญ้าและระดับกลาง
โดยการนำกฎระเบียบของระบบการถือครองที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมและการจัดซื้อคอนโดเพื่อที่อยู่อาศัยในประเทศไทยที่เคยมีการใช้มาแล้วมาเป็นต้นแบบใช้กับชาวต่างชาติ เชื่อว่าน่าจะช่วยลดข้อกังวลสำหรับในกลุ่มคนที่ออกมาคัดค้านได้.
(ตอน 2)
วันนี้เราจะคุยกันต่อเรื่องของการที่รัฐบาลจะเปิดให้โอกาสชาวต่างชาติมีสิทธิ์ถือครองที่ดินในประเทศไทย โดยมีเงื่อนไขต้องลงทุนภายในประเทศไทยมีมูลค่า 40 ล้านบาทขึ้นไป
ประเทศไทยจะได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์มากกว่ากัน อย่างไรก็ตาม ผมยังคงเชื่อว่าวันนี้หากเรามีการวางระบบให้ถูกต้องด้วยการกำหนดโซน จำนวน หรือขนาดของพื้นที่ให้เป็นขั้นตอนที่ชัดเจนก่อนให้สิทธิ์แก่ชาวต่างชาติซื้อเพื่อถือครอง โดยค่อยๆ เริ่มจากพื้นที่เล็กๆ ก่อนที่จะขยายไปพื้นที่อื่นๆ ต่อไป
ผมอยากยกตัวอย่างประเทศจีนที่ นายเติ้ง เสี่ยว ผิง ผู้นำจีนเคยทำไว้กับกลุ่มนักลงทุนที่เข้าไปลงทุนในประเทศจีน เคยมีการทดลองใช้รูปแบบนี้กับมืองทีเป็นเมืองเศรษฐกิจของจีนอย่างเช่นเซินเจิ้น
โดยตั้งเมืองเซินเจิ้นให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษและมีแต่งตังคณะกรรมการเข้ามากำกับตลอดมีการประเมนผลงานดูการเติบโต 3-5 ปี เมื่อพบว่าประสบความสำเร็จมีเศรษฐกิจที่เติบโตขึ้น ก็เปิดโอกาสขยายพื้นที่ไปยังพื้นที่ติดทะเล และขยายเข้าสู่แผ่นดินใหญ่ของจีนต่อไป
เพราะฉะนั้นผมยังคงมองว่าหากมีการกำหนดมาตรการที่ชัดเจน มีการทดสอบ การตั้งกฎเกณฑ์ให้รัดกุมและก่อเกิดความยั่งยืนต่อการลงทุน ประเทศของเราก็น่าจะทดลองเช่นทดลองเริ่มจากกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองเศรษฐกิจและมีพื้นที่อยู่ประมาณ 1,600 ตารางกิโลเมตร ถือว่าใหญ่กว่าประเทศสิงคโปร์ถึง 2 เท่า
หรืออาจจะทดลองเริ่มที่ พัทยา ภูเก็ต หรือเชียงใหม่ เน้นเมืองที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจหลักๆ ของประเทศไทยก่อน และลองติดตามดูว่าผลภายในระยะเวลา 3-5 ปีว่าเป็นอย่างไร
หากมีความเติบโตทางด้านเศรษฐกิจหรือประสบความสำเร็จ ค่อยขยายไปพื้นที่อื่นๆ ต่อไป โดยยึดโมเดลรูปแบบจากเมืองเซินเจิ้นของจีน ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับรายละเอียดที่เราจะเป็นผู้กำหนด
เมื่อมีการกำหนดขอบเขตในการให้สิทธิ์แก่ชาวต่างชาติซื้อพื้นที่ของประเทศไทยที่ชัดเจนได้แล้วผมยังคงเชื่อว่าประเทศไทยน่าจะได้ประโยชน์มากกว่าเสียประโยชน์
รูปแบบนโยบายเกี่ยวกับด้านการส่งเสริมการลงทุนเช่นนี้ ยังมีอีกหลายประเทศที่ประเทศไทยน่าจะสามารถนำมาเป็นกรณีศึกษาได้อย่างเช่น ประเทศสิงคโปร์ ที่มีเรื่องของความโปร่งใส ความน่าลงทุน และผลประโยชน์ที่ประเทศสิงคโปร์ได้จากการเปิดรับนักลงทุนเข้าไปภายในประเทศ
ผมเคยลองศึกษาเกี่ยวกับตัวเลขการเงินของประเทศสิงคโปร์โดยหาข้อมูลได้ว่าหากมีเม็ดเงินลงทุนอยู่ในประเทศสิงคโปร์ 100 เหรียญดอลลาร์ เป็นเงินของคนสิงคโปร์เพียงแค่ 30 เหรียญดอลลาร์
นอกนั้นเป็นของนักลงทุนจีนจากประเทศอินโดนีเซีย ด้วยการมาลงทุนซื้อที่ดิน ซื้ออสังหาริมทรัพย์ ทำให้มูลค่าทรัพย์สินเหล่านี้มีราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกันที่ประเทศสิงคโปร์เองก็มีโครงการบ้านของการเคหะที่รัฐบาลดูแลอยู่และเป็นโครงการที่มีความเข้มแข็งทำให้คนระดับรากหญ้ามีที่อยู่อาศัย
ในวันนี้นิคมอุตสาหกรรมอมตะก็เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่มีการใช้ที่ดินของประเทศไทยให้เป็นประโยชน์โดยการให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน ภายใต้กฏเกณฑ์ที่รัฐบาลกำหนดโดยมีหน่วยงานการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นผู้ควบคุมดูแลอย่างเคร่งครัด
และในวันนี้อมตะมีที่ดินรวมอยู่กว่า 300,000 ไร่ คาดว่าในปี 2566 จะมีที่ดินถึง 400,000 ไร่ ซึ่งที่ดินเหล่านี้เป็นที่ดินของประเทศไทย และอมตะได้ทำให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทยจากการดำเนินธุรกิจของอมตะด้วยเช่นเดียวกัน
ที่ผ่านมาการดำเนินธุรกิจของอมตะมีส่วนร่วมสนับสนุนการเติบโตของตัวเลข GDP ของประเทศ รวมถึงมีหน่วยงานส่วนท้องถิ่นที่อยู่โดยรอบนิคมอุตสาหกรรมของอมตะได้รับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากโรงงานอุตสาหกรรมที่เข้ามาลงทุนอยู่ภายในนิคมฯ สูงถึงเกือบ 20,000 ล้านต่อปี
สิ่งที่ผมต้องการบอกเกี่ยวกับประเด็นนี้คือ เราทำไมไม่ใช้จุดเด่นของประเทศไทยให้เป็นประโยชน์เช่นเดียวกับที่ประเทศสิงคโปร์ หากลองคิดให้ดี ประเทศไทยยังมีทรัพย์สินที่น่าจะนำมาใช้ได้คือที่ดินที่มีอยู่จำนวนกว่า 330 ล้านไร่
โดยประเทศไทยสามารถที่จะนำที่ดินที่มีอยู่นี้มาก่อให้เกิดประโยชน์หรือสร้างรายได้จากการนำมาให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนได้ ภยใต้เงื่อนไขต้องไม่ทำให้คนในระดับรากหญ้าหรือผู้ที่มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบ
ประเทศสิงคโปร์มีการเปิดกว้างให้นักลงทุนชาวต่างชาติเข้าไปมีสิทธิ์ในการซื้อที่ดินซื้ออสังหาริมทรัพย์ ซึ่งคนสิงคโปร์จะไม่มีความรู้สึกว่านโยบายดังกล่าวคือเรื่องของการขายชาติ หรือกลัวชาวต่างด้าวเข้ามายึดประเทศของตนเอง
นั่นเป็นเพราะ ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่ร่ำรวยแล้วประชากรของประเทศมีฐานะค่อนข้างดี จึงไม่มีความวิตกเกี่ยวกับนักลงทุนที่เข้ามาภายในประเทศ เช่นเดียวกับประเทศอเมริกา ออสเตรเลีย หรือญี่ปุ่น ที่มีการเปิดกว้างให้นักลงทุนเข้าไปซื้อที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ได้
หรือหากยังมีประเด็นปัญหาเรื่องการคัดค้านนโยบายดังกล่าวประเทศไทยก็ยังมีทางเลือกเพิ่มเติมทีสามารถจะนำมาพิจารณาปรับเปลี่ยนได้ คือใช้หลักการ “เซ้ง” หรือ “ให้เช่าระยะยาว” ในโซนพื้นที่ที่กำหนด เช่น พื้นที่ในหมู่บ้านจัดสรร กำหนดระยะเวลาการเซ้งเป็นระยะเวลา 99 ปี และสามารถให้ต่อสัญญาได้
ซึ่งหลักการนี้ก็มีหลายๆ ประเทศทำเช่นเดียวกันยกตัวอย่างจากประเทศเพื่อนบ้านของไทย อาทิ จีน เวียดนาม ลาว พม่า แต่ระยะเวลาในการเซ้งของแต่ละประเทศก็จะกำหนดระยะเวลาที่แตกต่างกันไปอยู่ระหว่าง 50-90 ปี เป็นต้น
ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ
โฆษณา