Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Eat . Pray . Live
•
ติดตาม
6 ธ.ค. 2022 เวลา 11:43 • ไลฟ์สไตล์
กลิ่นอาย…วินเทจ
ในสมัยยังเด็ก…คนเขียนเคยได้รับของขวัญ ที่ห่อด้วยผ้าขนหนูผืนเล็ก เมื่อแกะออกมาข้างในคือ สบู่ห่อด้วยกระดาษสีเขียว พร้อมกลิ่นหอมเหมือนสมุนไพรโชยออกมา และนั่นคือ สบู่พฤกษา ‘นกแก้ว’ ที่ในตอนนั้น แม้แต่เด็กตัวเล็กๆ อย่างคนเขียนยังรู้จักมักคุ้นเลย
วันนี้…เลยขอนำเรื่องราวที่น่าสนใจของสบู่พฤกษา ‘นกแก้ว’ ที่ได้ชื่อว่าเป็นสบู่ยี่ห้อแรกของคนไทย มานำเสนอเพื่อให้ได้รู้ถึงเบื้องลึกของสบู่ยี่ห้อนี้ที่ยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน
สบู่พฤกษา ‘นกแก้ว’ เกิดขึ้นในเมืองไทยภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองเมื่อปี พ.ศ. 2490 ผู้ที่คิดค้นสูตรสบู่ตัวนี้ก็คือ มิสเตอร์วอลเตอร์ เลโอ ไมเยอร์ ประธานกรรมการบริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ในเวลานั้น…เบอร์ลี่ฯ เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจทางด้านสั่งสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายในเมืองไทย และส่งออกสินค้าข้าวและไม้สักไปขายต่างประเทศ โดยที่ไม่ได้เป็นผู้ผลิตสินค้าขายเองเลย
แม้มิสเตอร์วอลเตอร์ จะไม่ใช่คนไทย แต่เป็นชาวสวิสที่ได้เข้ามาตั้งรกรากในเมืองไทย และรักเมืองไทยอย่างมาก ที่สำคัญเขาเป็นคนที่มองเห็นคุณค่าของสมุนไพรไทย และคิดที่จะทำสบู่สูตรสมุนไพรเพื่อคนไทยขึ้นมา โดยใช้หัวน้ำหอมจากประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสินค้าที่ทางบริษัทเบอร์ลี่ฯ นำเข้ามาจากฝรั่งเศส เพื่อเข้ามาขายอยู่แล้วเป็นส่วนผสม
ในสมัยนั้น…สบู่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งของคนไทย นิยมใช้เพื่อชำระล้างทำความสะอาดร่างกายมากกว่าบำรุงผิว และที่วางขายอยู่ในท้องตลาดในช่วงเวลานั้น มักจะเป็นสบู่หอมทั้งสิ้น มิสเตอร์วอลเตอร์จึงมั่นใจอย่างมากว่าคุณสมบัติของสบู่ตัวใหม่ที่เขาคิดค้นขึ้นมานี้ ต้องมีความเป็นไปได้อย่างแน่นอน โดยมีจุดแข็งของเนื้อสบู่ที่แข็ง ไม่เปื่อยยุ่ย และใช้ได้ดีกับทุกสภาพน้ำ เหมาะสำหรับการอาบน้ำตามแม่น้ำลำคลอง ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของคนไทยส่วนใหญ่ในช่วงเวลานั้น
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศเยอรมนีแพ้สงคราม ทรัพย์สินต่างๆ ถูกนำมาขายทอดตลาดซึ่งมีเครื่องจักรผลิตสบู่ยี่ห้อ COLIBRITA ซึ่งแปลว่า นกฮัมมิ่งเบิร์ด ถูกขายทอดตลาดด้วย ทางบริษัทลีเวอร์ บราเธอร์ เจ้าของสบู่ลักส์ได้ซื้อแบรนด์ COLIBRITA ไป ในขณะที่ทางมิสเตอร์วอลเตอร์ ได้ตกลงซื้อเครื่องจักรนี้มา
สบู่พฤกษา ‘นกแก้ว’ จึงได้ผลิตขึ้นเป็นครั้งแรก ในนามบริษัทรูเบียอุตสาหกรรม มีโรงงานตั้งอยู่ในซอยรูเบีย เขตกล้วยน้ำไท โดยมีบริษัทเบอร์ลี่ฯ เข้ามาช่วยในเรื่องการจัดจำหน่าย โดยทางรูเบียอุตสาหกรรมดูแลรับผิดชอบเรื่องของการวางคอนเซ็ปท์ให้กับผลิตภัณฑ์
ชื่อ ‘นกแก้ว’ นั้น…มิสเตอร์วอลเตอร์เป็นผู้ตั้งชื่อให้ เนื่องจากในสมัยหนุ่มๆ เป็นคนที่ชอบเดินป่าล่าสัตว์มาก และติดใจในความสวยงามของนกแก้วที่ได้เจอในป่า จึงนำมาใช้เป็นยี่ห้อของสบู่ ในยุคแรก…สบู่พฤกษา ‘นกแก้ว’ ห่อในกล่องกระดาษสีเขียว มีรูปนกแก้วสีเขียวจัดจ้าน 3 ตัวเกาะอยู่บนคอน เป็นสินค้าราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับสบู่หอมยี่ห้ออื่นๆ เป็นราคาเพื่อคนไทย โดยเริ่มขายก้อนละ 3 บาท ถึง 5 บาท
ในสมัยนั้น นอกจากสบู่พฤกษา ‘นกแก้ว’ แล้ว รูเบียอุตสาหกรรมยังผลิตสบู่ยี่ห้ออื่นๆ เช่น ตรานกยูง ออกมาหลายรุ่นด้วยกัน แต่ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่าสบู่พฤกษา ‘นกแก้ว’ ได้รับความนิยมสูงสุด ยี่ห้ออื่นๆ ก็เลยหยุดผลิตไปโดยปริยาย
ในปี พ.ศ. 2496 สบู่พฤกษา ‘นกแก้ว’ ได้เริ่มมีโฆษณาผ่านสื่อโปสเตอร์ สปอตโฆษณาวิทยุ และสิ่งพิมพ์ต่างๆ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2514 เริ่มมีสื่อโฆษณาทางโทรทัศน์เป็นครั้งแรก ตัวเลขจากบริษัทรูเบียฯ ระบุว่าในปีนั้นยอดรายได้จากการขายสบู่สูงถึง 25 ล้านบาท และมีแนวโน้มชัดเจนว่าต้องโตขึ้นแน่นอน
การเปลี่ยนแปลงทางด้านการผลิตครั้งใหญ่ก็เลยเกิดขึ้นในปีนั้น จากโรงงานเล็กๆ แถวกล้วยน้ำไท มีพนักงานไม่ถึงยี่สิบคน ขยับขยายมาเป็นโรงงานผลิตแถวปู่เจ้าสมิงพรายบนเนื้อที่กว่าสิบไร่ และมีพนักงานเพิ่มขึ้นเกือบร้อยคนในปี พ.ศ. 2517
การทำตลาดในยุคสองเริ่มทวีความเข้มข้น ชื่อของสบู่พฤกษา ‘นกแก้ว’ เริ่มเป็นที่ติดปากผู้คนมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นลูกค้าต่างจังหวัดเช่นเดิม ดังนั้นการนำดารานักแสดง มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในงานโฆษณาของสบู่นกแก้ว เช่น พุ่มพวง ดวงจันทร์ เลยประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย
ในปี พ.ศ. 2537 เป็นยุคเฟื่องฟูของเศรษฐกิจเมืองไทย สบู่พฤกษา ‘นกแก้ว’ ได้รับผลกระทบอย่างจัง เพราะผู้คนหันไปนิยมสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้น ภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ของสบู่หอมนกแก้ว จึงได้มีแนวคิดที่ชัดเจน ในเรื่องของการรณรงค์ใช้ของไทย เรื่องของวัฒนธรรมประเพณีและวิถีชีวิตแบบไทยๆ ในแคมเปญหนึ่งได้ดึงเอาคุณสันติสุข พรหมศิริ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ในตอนนั้น คุณสันติสุขกำลังโด่งดังอย่างมากในบทบาทของเจ้าหนุ่มบ้านนอก ‘บุญชู’ ภาพลักษณ์อันเป็นที่ยอมรับของทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่
การโปรโมทมีส่วนช่วยสร้างยอดขายของสบู่พฤกษา ‘นกแก้ว’ ให้เพิ่มขึ้นจาก 25 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2514 มาเป็น 100 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2539 แต่หากมองกันในแง่ของส่วนแบ่งทางการตลาด สบู่พฤกษา ‘นกแก้ว’ ยังทิ้งห่างแบรนด์อื่นๆ เช่น ลักส์ ของค่ายยูนิลีเวอร์ และ ปาล์มโอลีฟ ของบริษัทคอลเกตปาล์มโอลีฟ โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพียง 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของสบู่พฤกษา ‘นกแก้ว’ เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อปี พ.ศ. 2540 ปีที่เศรษฐกิจไทยเจอกับวิกฤต ‘ต้มยำกุ้ง’ ที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ปัญหาเรื่อง ‘ไอเอ็มเอฟ’ ทำให้คนไทยส่วนใหญ่เริ่มมีความรู้สึกว่ากำลังถูกเอารัดเอาเปรียบจากต่างชาติ สบู่พฤกษา ‘นกแก้ว’ จึงพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ด้วยการออกแคมเปญโฆษณา สร้างอารมณ์ ‘ไทยทำ ไทยใช้’ ให้กับคนไทย ด้วยการผลิตภาพยนตร์โฆษณา แสดงนำโดย ‘โก๊ะตี๋’ พร้อมคำพูดปิดท้ายที่ว่า "ถ้าใช้ของไทย ใครก็สั่งคุณไม่ได้ นิยมไทย ใช้สบู่หอมนกแก้ว"
หลังจากนั้น…สบู่พฤกษา ‘นกแก้ว’ ได้มีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ขยายไลน์สินค้าออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง โดยปัจจุบัน มีผลิตภัณฑ์ออกมาถึง 8 กลิ่น ได้แก่ พฤกษานานาพรรณ กุหลาบ มะลิ บุปผชาติ ไม้หอม ลีลาวดี ทานาคา และ ลิลลี่พีช ทั้งในรูปแบบของสบู่ และครีมอาบน้ำ จนถึงวันนี้…มียอดขายโดยรวมอยู่ในหลักระดับพันล้าน และมีผลจากการสำรวจทางการตลาดล่าสุดพบว่าสบู่พฤกษา ‘นกแก้ว’ สามารถสร้างการรับรู้ได้มากถึง 96% นั่นหมายความว่า เดินไปถามคนไทยตามท้องถนน 100 คน มีคนรู้จักสบู่นกแก้ว 96 คน
ถึงจะเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงมาก แต่ลึกๆแล้ว ยังแอบอดสงสัยอยู่ในใจไม่ได้ว่าที่เหลืออีก 4 เปอร์เซ็นต์นั้น เป็นใครกันหนอ ถึงไม่รู้จักสบู่ยี่ห้อนี้ ที่อยู่คู่กับคนไทยมานานถึง 75 ปีแล้ว น่าโมโหเสียจริงๆ
………………………………
เนื้อหาดัดแปลงมาจากบทความในเพจ เจาะเวลาหาอดีต
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย