7 ธ.ค. 2022 เวลา 14:26 • ไลฟ์สไตล์
สังคมเรามักให้ค่ากับคนขยัน ไม่อยู่เฉย ทำอะไรตลอด
มากกว่าคนที่นิ่ง ไม่ไหวติง หรือทำอะไรที่ไม่ถูกเรียกว่า
"Productive" เรามักจะเริ่มติเตียน หรือมองในแง่ลบทันทีเมื่อเห็นแบบนั้น หรือแม้กระทั่งตัวเราเอง ที่มักจะรู้สึกผิดที่ทำอะไรบางอย่างแล้วรู้สึกว่า 'ไม่ได้อะไรขึ้นมา'
อย่างการนอนเล่นมือถือ เลื่อนไถเฟซบุ๊ก ดูยูทูบราว 2-3 ชั่วโมงต่อวัน ในใจลึกๆ มักโทษตัวเองว่า เรานี่มันขี้เกียจจริงๆ หาอะไรทำที่มันมีประโยชน์บ้าง โดยลืมไปว่า ก่อนหน้านี้เราเหนื่อยมามากมายแค่ไหนแล้ว
ในช่วงวัยเด็ก แม่ๆ ทั้งหลาย มักบอกลูกๆ เสมอว่า
"หัดทำอะไรให้มันเป็นประโยชน์บ้าง" อยู่เสมอ
"ขี้เกียจสันหลังยาว" ทั้งๆ ที่เพิ่งทำการบ้านยากเย็นเสร็จ
หรือสังคมที่พยายามแข่งขันเป็นที่หนึ่ง ใครมีมากกว่า
ใครรู้มากกว่า คนนั้นย่อมได้รับการสรรเสริญ เชิดหน้า
และเป็นที่รักของสังคม
ความกดดันเหล่านี้ คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การอยู่เฉยเป็นเรื่องในแง่ลบ จนทำให้สภาพจิตใจถูกตั้งค่าโดยเดิมว่า เราต้องขยันตลอดเวลา หาอะไรทำที่มันส่งเสริมให้ชีวิตดีขึ้น
อย่างตอนอาบน้ำ ควรฟัง Podcast เสริมความรู้ไปด้วย
ก่อนนอน อ่านหนังสือสักบทสองบท
ตอนกินข้าว ฝึกลมหายใจไปด้วย
ต่างๆ นาๆ พวกนี้ คือสิ่งที่ดี ใช่ สังคม ยอมรับ
แต่ว่า เหนื่อยเกินไปหรือเปล่า? ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ไหม?
เราต้องทำอะไรแบบนั้นทุกครั้งเลยจริงหรือ
ถ้าเราเป็นคนนอกกระแส นั่งขี้เกียจ ทั้งวันไม่ทำอะไร
นอกจากกินและนอน เที่ยวและเล่น ไร้สาระไปวันๆ
ไม่ผิดหรอก ถ้าไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
ไม่ผิดหรอก ถ้าตัวเองก็ไม่ได้เดือดร้อนเหมือนกัน
บางทีเราต้องรู้จักให้ตัวเองได้ลดความขยันลง
เพื่อเพิ่มความขี้เกียจ เปรียบเสมือนชาร์จพลังต่อไป
ไม่ผิดหรอกที่เราจะไม่ได้อะไรสักอย่างในความขี้เกียจ
แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้ มันคือ 'ความพร้อม' ที่จะเริ่มในวันหน้า
...
หนังสือยังบอกให้เราเห็นอกเห็นใจคนขี้เกียจอีกด้วย
บอกว่า "เราไม่รู้หรอก ที่เราเห็นเขาขี้เกียจ ก่อนหน้าเขาต้องเจออะไรมาบ้าง" มันไม่มีหรอกที่จะขี้เกียจตลอดทุกเรื่อง ถ้าเรารับฟัง อย่างไม่ตัดสิน และเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่าย ประมาณว่า "ถ้าเราเป็นเขา เราอาจเป็นแบบนั้นก็ได้" ด้วยสภาพแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ การแข่งขัน ทุนนิยม บางทีถ้าเราเจอมาแบบนั้น เราไม่น่าต่างจากเขาสักเท่าไหร่
พอคิดได้แบบนี้ หนังสือทำให้เปลี่ยนมุมมองจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ไม่ใช่แค่มองคนอื่นที่ขี้เกียจในแว่บวกมากขึ้น แต่ยังมองว่า ตัวเองก็ควรขี้เกียจบ้างบางครั้ง ให้ตัวเองได้ให้เวลาจากความเหนื่อยยากที่เผชิญมา ใช่ เราจะไม่ได้อะไรเลยจากมัน แล้วไงล่ะ ในเมื่อขี้เกียจแล้ว
ก็แค่ขี้เกียจไปเรื่อยๆ พอเหนื่อยขี้เกียจ ค่อยกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ได้นิ
เราเป็นมนุษย์ มีพลังงาน ต้องหมดสักวัน
และที่สำคัญคือ มันยังเติมได้เสมอ
ความขี้เกียจ เป็นทางเลือกหนึ่งที่ทำได้ง่ายที่สุดแล้ว
...
เมื่อรู้สึกขี้เกียจ แล้วทำไม่ได้
ให้ล็อคเวลาไว้เลย ว่าตอนนี้จะขี้เกียจ
งาน การบ้าน เรื่องหนักใจ จะปล่อยให้หมด
ปิดมือถือ ปิดห้อง ไม่ไปไหน จะนอนทั้งวันเลยก็ได้
หรือไม่อาบน้ำเลยทั้งวัน ตื่นเช้ามา หน้าไม่ล้าง ฟังไม่แปลง ไม่ออกกำลังกาย หนังสือไม่อ่าน ไม่ทำตามใครอยาก ทำตามใจยากแทน
พอหมดวัน เราจะพร้อมที่จะขยันแบบเต็มสูบ
ไม่ฝืน ไม่เคือง ไม่ต่อต้านอีก
ให้เวลาตัวเอง รักตัวเอง
ไม่ต้องทำอะไรตลอดก็ได้
ไม่ต้องคาดหวังอะไรตลอดก็ได้
ตามใจตัวเอง สักวัน นิดหน่อย
ละทิ้งความรู้สึกอยากทำนู้นนี่นั่นตลอดเวลา
แค่ปล่อย ลอยไป...ลอยไป
...
ขี้เกียจพิมพ์แล้ว ไปดูยูทูบดีกว่า
งั้นทิ้งสรุปเลยก็แล้วกันว่า
"ขี้เกียจได้นะ เราเป็นแค่คนๆ หนึ่งเท่านั้น ไม่ต้องทำทุกอย่าง อย่างที่คนอื่นต้องการก็ได้ ขี้เกียจแบบพอประมาณ ขี้เกียจให้รู้สึกขยัน ไม่คาดหวังว่าจะได้อะไร แค่ขี้เกียจ พอ แค่นั้นแหละ"
โฆษณา