11 ธ.ค. 2022 เวลา 03:57 • ธุรกิจ
เมื่อทายาทของไร่ชาวังพุดตาล ต้องการสร้างเอกลักษณ์ให้ทั่วโลกรู้ว่า ดอยแม่สลอง จ. เชียงรายก็มีของดี
จึงส่งชาที่ไร่เข้าประกวด สามารถคว้ารางวัล Grand Gold price รางวัลสูงสุดจากเวที World Green Tea Contest ที่ญี่ปุ่นในปี 2564 และตอกย้ำด้วยรางวัล Gold price อีกครั้งในปีล่าสุดจากเวทีเดียวกัน
1
"นคร ชีวินกุลทอง" เจ้าของไอเดียจะมาเผยเทคนิคสำคัญที่ทำให้ชาเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
ไร่ชาไทยที่ได้รางวัลระดับโลก
เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เป็นที่หนึ่งมักถูกจดจำและพูดถึง ไม่ว่าจะเป็นในเวทีการแข่งขันต่างๆ หรือในมุมของการทำธุรกิจการเป็นที่หนึ่งหรือเจ้าแรกอย่างน้อยก็ทำให้ผู้คนจดจำได้มากกว่าการทำตามผู้อื่น
เหมือนกับที่ทายาทไร่ชาวังพุดตาล มองว่า 20 ปีที่ผ่านมาการปลูกชาอู่หลงเพียงอย่างเดียว นอกจากไม่มีความหลากหลายแล้ว ชาอู่หลงยังมีต้นกำเนิดอยู่บนภูเขาสูงกว่า 1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มาจากทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน
“ถ้าเราทำชาอู่หลงไปเรื่อยๆ คงยากที่จะทำให้ดีกว่าต้นฉบับ เนื่องด้วยสภาพแวดล้อม อากาศ สภาพดิน ทุกอย่างมันต่างจากที่จีน แต่ในขณะที่ชาที่ปลูกบนพื้นที่ของบ้านรามันมีเอกลักษณ์เฉพาะที่เหมือนกัน คิดว่าน่าจะทำอะไรกับมันได้ ส่วนตัวผมเป็นคนชอบทดลอง ชอบหาอะไรใหม่ๆ จึงเริ่มศึกษากว่าจะได้ชาตัวนี้ก็ใช้เวลา 3-4 ปี”
ลองแล้วต้องวัดผล
วิธีหนึ่งที่จะทำให้รู้ว่าชาที่พัฒนาขึ้นมามีรสชาติดีเป็นที่ยอมรับก็คือ การเข้าประกวด ปี 2564 ชาจากดอยแม่สลองเดินทางสู่งานประกวด World Green Tea Contest งานเวทีชาระดับโลกที่จัดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นการเข้าร่วมประกวดเป็นครั้งแรก โดยการผลักดันจากสถาบันชาและกาแฟ ม.แม่ฟ้าหลวง
และในปีแรกชาดำคีรี (Black Tea Khiri) ของเขาก็สามารถคว้ารางวัล Grand Gold price รางวัลสูงสุดของเวทีมาได้สำเร็จจากจำนวนผู้ร่วมประกวดกว่า 80 แบรนด์ และตามมาด้วยชาขาวคีรี (White Tea Khiri) ไปคว้ารางวัล Gold price ในปีล่าสุดจากผู้เข้าประกวดกว่า 100 แบรนด์
1
นครเล่าว่าหลักเกณฑ์ตัดสินหลักๆ ในเวทีแห่งนี้ กรรมการจะพิจารณาจากเรื่องรสชาติซึ่งถือว่ามีคะแนนเยอะสุด ไม่ต่ำกว่า 30-40 คะแนน นอกจากนี้ก็ยังแบ่งคะแนนเป็นด้านอื่นๆ อาทิ ความหอมของชาทั้งก่อนชงและหลังชง, รสสัมผัส, Story แรงบันดาลใจของการปลูกชา, การออกแบบแพ็กเกจจิ้งที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม, รวมถึงการตั้งราคา ซึ่งทุกอย่างต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นไปได้ทางธุรกิจด้วย
เทคนิคคว้ารางวัล
นครเล่าว่าเริ่มจากการตั้งชื่อที่เขานำชื่อภูเขาสันติคีรีที่คนส่วนใหญ่รู้จักในชื่อดอยแม่สลอง มาตั้งเป็นชื่อชาทั้งชาดำคีรีและชาขาวคีรี
นอกจากนี้เขายังขายจุดดีของดอยแม่สลองว่าเป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การปลูกชา ด้วยความสูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่ต่ำกว่า 1,200 เมตร มีอากาศที่บริสุทธิ์ มีน้ำที่ดี เกษตรกรที่ใส่ใจที่ดี จนได้เป็นชาที่ดีออกมา
Story ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ วิธีการเก็บชา เขาจะเลือกเก็บในช่วงอากาศที่ดีที่สุดคือ หน้าหนาว เพราะทำให้ไม่เจอความชื้นจากฝน ไม่ต้องเจอแดดร้อนเกินไป ซึ่งการเก็บชาในช่วงเวลาดังกล่าวแล้วนำไปหมักก็จะได้ black tea ที่มีกลิ่นพิเศษเหมือนพวกผลไม้ที่ดอยแม่สลองปลูกด้วย เช่น พลัม พีช ลิ้นจี่
นั่นคือ story ของชาดำคีรี ที่มีส่วนทำให้เขาประสบความสำเร็จได้รางวัลสูงสุดในการประกวด แต่ด้วยความชอบศึกษาและไม่หยุดนิ่งนครคิดว่าเมื่อมีชาดำก็ต้องมีชาขาว ในปีนี้เขาจึงได้ส่งชาขาวคีรีไปประกวดอีกรอบ ซึ่งขาขาวคีรีของเขาเน้นไปที่การดื่มเพื่อสุขภาพ
“ชาขาวคีรีเป็นชาที่ไม่ผ่านกระบวนการเครื่องจักรในการผลิตเลย ทุกอย่างอาศัยความเป็นธรรมชาติ ทุกอย่างใช้ความพิถีพิถัน หนึ่งยอดหนึ่งใบใช้คนเก็บ จากนั้นก็มาผึ่งแสงแดดอ่อนๆ ลมบางๆ ค่อยๆ ตากให้มันแห้ง ต้องใช้เวลาประมาณ 3 วัน ถ้าแห้งเร็วเกินก็ไม่ดี เหมือนใบไม้แห้งไม่ได้กลิ่นอะไรเลย อากาศความชื้นเยอะเกินก็ไม่ได้ โดนความชื้นเกินจะทำให้แห้งช้าก็จะเกิดเชื้อรา ความหอมของชาบางชนิดอาจจะหายไป ถ้าแดดแรงไปต้องไเก็บในที่ร่ม จากนั้นก็มาผึ่งแดดอ่อนใหม่ ต้องทำแบบนี้วนไปจนกว่าชาจะเข้าที่”
#sme #smethailand #ไร่ชาวังพุดตาล #ชาไทย #เพื่อนคู่คิดธุรกิจเอสเอ็มอี #เรื่องธุรกิจต้องSMETHAILAND
.
ติดตามเราได้ที่
SME Thailand Online
โฆษณา